บทที่ 1-2
http://ppantip.com/topic/34581823
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5
http://ppantip.com/topic/34657924
บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/34686112
บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 การมาของคนที่ไม่อยากพบ
กลิ่นชื้นของหมอกปลุกผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทราให้ลืมตาตื่นขึ้นพอเห็นว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนพื้นกระดานแข็งๆรอบตัวมีแต่ความขาวโพลนของละอองน้ำ ฟุรุคาวะจึงลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนกแต่ความหนาทึบของหมอกทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวไปไหน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นวิตกก้มลงมองปลายเท้าด้วยความอยากรู้ว่าจุดที่ยืนอยู่คืออะไรแต่เขาเห็นได้แค่เพียงช่วงเอวของตัวเองเท่านั้นส่วนที่เหลือถูกหมอกปกคลุมจนมิดคล้ายโดนอสุรกายกลืนกินไปครึ่งตัว เมื่อมองไม่เห็นเด็กหนุ่มจึงลองใช้เท้ากระแทกพื้นเบาๆ พอได้ยินเสียงเขาก็เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นไม้ แต่สถานที่ใดกันล่ะที่เป็นแบบนั้น
มือยื่นออกไปข้างหน้าและจมหายไปในหมอกเช่นเดียวกัน แต่ฟุรุคาวะยังคงดึงดันควานไปรอบๆอย่างไม่ยอมแพ้ พอพบกับความว่างเปล่าเขาก็ขยับตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและใจชื้นขึ้นเมื่อการวางแต่ละครั้งเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด เด็กหนุ่มเคลื่อนตัวไปทีละนิดด้วยหวังว่าจะพบกับแสงสว่างหรือจุดหมายปลายทาง ระหว่างที่กำลังเดาไปเรื่อยว่าสถานที่แห่งนั้นคือที่ไหนฟุรุคาวะต้องสะดุ้งสุดตัวที่จู่ๆมีมือปริศนารวบข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้แล้วดึงเขาเข้าไปกอด พอจะร้องปากกลับถูกปิดด้วยริมฝีปากของใครบางคน ความอบอุ่นอันลึกล้ำแผ่ซ่านเข้ามาในกายผ่านปลายลิ้นที่แทรกเข้ามาอย่างเร่าร้อน สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำให้เด็กหนุ่มเย็นวาบไปทั้งร่างแต่ความคุ้นเคยในรสสัมผัสทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ร่างกายที่แข็งเกร็งจากอาการตื่นตกใจเมื่อครู่อ่อนปวกเปียกราวขี้ผึ้งไร้แรงขัดขืนใดๆ ฟุรุคาวะปล่อยใจเผลอไผลไปกับรสจูบอันหวานล้ำอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นเองภาพอันน่าขยะแขยงของคาวาเบะเมื่อตอนเย็นก็ผุดขึ้นในห้วงสำนึก ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เขากำลังถูกล่วงเกินอีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดอย่างตระหนก จะผลักออกก็ทำไม่ได้เนื่องจากมือทั้งสองข้างถูกคนผู้นั้นกุมแน่น ครั้นจะเบี่ยงหน้าหนีก็ทำไม่ได้อีกเช่นกันเพราะร่างกายของเขาถูกแขนอีกข้างของชายปริศนาโอบกอดเอาไว้จนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้
เมื่อหมดหนทางฟุรุคาวะจึงใช้วิธีสุดท้ายคือกัดลิ้นแต่ยังไม่ทันได้ทำอีกฝ่ายกลับถอนริมฝีปากออกราวกับรู้
“ใจร้ายจังเลยนะ” กล่าวอย่างตัดพ้อพร้อมกับประทับจุมพิตบนหน้าผาก “ทั้งที่ข้าคิดถึงเจ้าขนาดนี้”
“พูดอะไรของนาย” เด็กหนุ่มโต้พร้อมกับออกแรงดิ้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะเจ้าบ้า”
วงแขนกระชับแน่นขึ้นขณะที่บุรุษผู้นั้นก้มลงกระซิบแผ่ว “ไม่”
ไม่พูดเปล่ายังใช้ปากแตะเบาๆที่แก้มอย่างโหยหา การแสดงออกที่แสนประหลาดทำให้ฟุรุคาวะขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“หยุดทำเรื่องบ้าๆนี่เสียที” เด็กหนุ่มร้องพลางเงยหน้าขึ้นจ้องด้วยความรังเกียจขณะที่เดียวกันก็นึกฉงนกับการกระทำแต่ต้องมุ่นคิ้วอย่างขัดใจที่ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกหมอกบังจนมิด “นายเป็นใครกันแน่?”
ทันทีที่สิ้นคำถาม หมอกทึบเมื่อครู่จางลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ฟุรุคาวะมองหน้าผู้อุกอาจได้เต็มตา
“ซาคาโมโตะ!!!”
แก้มทั้งสองข้างปวดแปลบขึ้นมาอย่างฉับพลัน เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นกุมพร้อมกับร้องโอย
“เจ็บจังเลย” เขาบ่นพึมพำและเปิดตาขึ้นแทนที่จะเห็นใบหน้าเคร่งขรึมหล่อเหลาของคนที่ละม้ายคล้ายซาคาโมโตะ กลับเป็นเพดานที่มืดสลัวในห้องของเขาเอง
“อะไรกันเนี่ย” อุทานด้วยความงงงันและยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง “ห้องเราเองหรือนี่ แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดตามองไปรอบห้องโดยมือข้างหนึ่งลูบแก้มที่บวมช้ำไปด้วย แสดงว่าเหตุการณ์ที่ขึ้นขึ้นเมื่อกี้เป็นเพียงความฝัน แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ตั้งคำถามด้วยความสงสัยเพราะจากที่จำได้หลังเลิกเรียนเขาเจอกับกลุ่มของคาวาเบะและเกือบโดนปล้ำพอขัดขืนก็ถูกทำร้ายจนหมดแรง ก่อนจะสิ้นสติเขาจำได้ลางๆว่าเห็นคนขับรถของซาคาโมโตะและพอรู้สึกตัวก็มาอยู่บนเตียง แสดงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนช่วยเขาออกมา แต่เพื่ออะไร
คำถามในหัวถูกแทรกด้วยเสียงแกรก แกรกเหมือนมีคนใช้เล็บลากไปบนพื้นดังมาจากข้างตู้พอหันไปดูก็ทันเห็นมือขาวซีดกำลังหดเข้าไปกำแพง ไม่ใช่แค่นั้น เหนือศีรษะ บนเพดานที่เขามองเมื่อครู่ตอนนี้เริ่มมีเงาเลือนรางของภูตผีปรากฏขึ้นแต่จิ้งจอกสีเงินตัวเดียวกับเมื่อวานขึ้นไปจัดการกับพวกมันจนแตกกระเจิง
“ยังอยู่อีกหรือนี่” ฟุรุคาวะเปรยอย่างลืมตัวพลางจ้องจิ้งจอกสีเงินตัวนั้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่ากันตามจริงจิ้งจอกตัวนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับภูตผีพวกนั้นคำถามคือการที่มันเข้ามาช่วยเพราะเหตุบังเอิญหรือต้องการจะเล่นงานเขาเอง เหมือนรู้ความกังวลที่ก่อตัวอยู่ในใจ จิ้งจอกเงินตัวจ้อยลอยตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับอกแล้วทำหูรี่พร้อมกระดิกหางเพื่อแสดงออกถึงความเป็นมิตร แถมย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่ามันมาดีด้วยการแลบลิ้นเลียจมูกของฟุรุคาวะหนึ่งแผลบ ความขี้ประจบของเจ้าตัวเล็กทำให้ความวิตกคลายลง เด็กหนุ่มหัวร่อคิกคักอย่างถูกอกถูกใจ
“จั๊กจี้น่า” เขาพูดเบาๆพลางแตะจิ้งจอกเงินด้วยปลายนิ้วและเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความทึ่งเมื่อพบว่ามันทั้งอุ่นและนุ่มเหมือนตุ๊กตา แสดงว่าจิ้งจอกตัวนี้มีตัวตน เขานึก แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง จะบอกว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่อย่างนั้นหรือ คิดแล้วก็ใช้อีกมือหยิกหมับเข้าที่ต้นแขนของตัวเอง
“โอ๊ย!”
ฟุรุคาวะร้องออกมาเบาๆ ลองเจ็บแบบนี้ไม่ใช่ความฝันแน่ ทั้งจิ้งจอกตัวนี้กับภูตผีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นล่ะคืออะไรเพราะถ้าเป็นแค่ความฝันทำไมถึงเหมือนจริงนัก ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นตอนอยู่ในอ้อมกอดหรือรสสัมผัสตอนจุมพิต กระทั่งตอนนี้ภายในปากของเขายังมีความร้อนจากปลายลิ้นที่ชอนไชรุกล้ำกรุ่นอยู่เลย
ก้อนเนื้อภายใต้หน้าอกเต้นแรงขึ้นสูบฉีดเลือดในกายให้วิ่งพล่าน นี่เขากำลังใจเต้นกับการถูกผู้ชายด้วยกันจูบอย่างนั้นหรือ ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพอได้ยินคำตอบจากหัวใจ หน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความละอาย
ใช่ ถ้าจูบนั้นเป็นของซาคาโมโตะ เคียวยะ
ภาพใบหน้าอันหล่อเหลาผุดขึ้นในมโนสำนึก เด็กหนุ่มอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ตอนนี้เขาอยู่ในห้องเลยหยิบหมอนขึ้นมาแล้วเอาหน้าซุกลงไปแทน แรงกดทำให้แก้มที่แดงช้ำจากการทำร้ายของคาวาเบะแผลงฤทธิ์อีกหนจนเขาต้องร้องโอยออกมาดังๆทำให้จิ้งจอกน้อยพลอยตกใจไปด้วย ทีแรกมันคิดว่าฟุรุคาวะถูกปิศาจทำร้ายจึงวิ่งวนรอบตัวค้นหาจ้าละหวั่นพอรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรแล้วมันก็หยุดลอยตัวอยู่ตรงหน้าและใช้เท้าเล็กๆแตะบนแก้ม ความเย็นฉ่ำดุจกระป๋องน้ำอัดลมที่อยู่ในตู้เย็นทำให้อาการปวดบรรเทาลง เสร็จจากข้างหนึ่งมันก็ย้ายไปทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง ไม่กี่อึดใจรอยช้ำบนแก้มทั้งสองข้างก็หายไป
“ปี๊~”
เสียงเล็กๆดังขึ้นเหมือนบอกให้เด็กหนุ่มตรวจแก้มของตัวเองอีกครั้ง เขาทำตามและมุ่นคิ้วเมื่อพบว่ามันกลับกลายเป็นปรกติไม่เหลือทั้งรอยช้ำและความเจ็บปวด
“เหลือเชื่อ” หลุดปากออกมาตามความรู้สึกพลางมองจิ้งจอกน้อยอย่างนึกทึ่ง “ขอบใจมากนะเจ้าจิ้งจอกน้อย”
เขากล่าวออกมาอย่างจริงใจ กิซึเนะตัวจ้อยโบกพวงหางอีกครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นดวงแสงลอยกลับไปที่กระเป๋าตามเดิม ฟุรุคาวะมองตามด้วยความแปลกใจเพราะกระเป๋าของเขาไม่ห้อยพวงกุญแจหรือของกระจุกกระจิกอะไรเลยสักอย่าง ตัวเขาเองก็ไม่เคยไปทั้งศาลเจ้าไม่เคยเข้าวัด อย่าว่าแต่เครื่องรางเลยสายสิญจน์สักเส้นก็ไม่เคยพกแล้วเจ้าจิ้งจอกนี่มาจากไหน มาได้ยังไงหรือใครเป็นคนส่งมา
ไม่รอให้คำถามค้างคาอยู่แบบนั้นฟุรุคาวะหยิบกระเป๋ามาสำรวจจนเจอกระดาษพับซุกอยู่ตรงซอกพอหยิบขึ้นมาดูถึงรู้ว่ามันเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆสีขาวซึ่งมีลายแต้มแบบเดียวกัน เด็กหนุ่มจึงเดาว่าเจ้าตัวเมื่อครู่คือกระดาษพับนี่เอง แต่ใครเป็นคนทำและเอามาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะปรกติแล้วเขาไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครและไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับข้าวของเครื่องใช้ของเขา ระยะนี้จะมีก็แต่ซาคาโมโตะเท่านั้นที่เข้ามาวอแวด้วย
ฟุรุคาวะจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนมาส่งวันแรกหมอนั่นเป็นคนหยิบกระเป๋าอาจฉวยโอกาสนั้นยัดกระดาษพับนี้ใส่มาด้วย แสดงว่าจิ้งจอกเวทตัวนี้เกิดจากฝีมือของซาคาโมโตะ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเรื่องแบบนี้มันควรจะอยู่แค่ในการ์ตูนหรือนิทานหลอกเด็กเท่านั้นไม่ใช่หรือ อีกอย่างหมอนั่นเป็นแค่ลูกชายกลุ่มอิทธิพลเท่านั้นไม่มีทางทำอะไรแบบพวกพระหรือนักพรตได้อยู่แล้ว บางทีสิ่งที่เห็นมาโดยตลอดอาจเป็นเพียงภาพหลอนที่ตัวเขาเองสร้างขึ้นเท่านั้น พอคิดแบบนี้ก็มีเสียงแย้งในหัว แล้วที่เห็นเมื่อครู่นี้ล่ะ พอลองแตะดูนายเองยังคิดว่ามันนุ่มเหมือนตุ๊กตาไม่ใช่เหรอ
จิ้งจอกนั่นมีตัวตนจริงๆรวมถึงผีพวกนั้นด้วย เด็กหนุ่มคิด แต่ทำไมจำเพาะต้องมาปรากฏตัวให้เขาเห็นและถ้าซาคาโมโตะเป็นคนยัดกระดาษพับใส่กระเป๋าไว้จริงทำไมถึงต้องทำแบบนั้นทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันเอง
เด็กหนุ่มเฝ้าวนเวียนอยู่กับคำถามจนถึงเช้าพอจะไปโรงเรียนก็เจอทาคุที่ยืนรออยู่หน้าห้องแต่เมื่อเดินไปที่รถเขาต้องผิดหวังเมื่อไม่เห็นซาคาโมโตะสารถีหนุ่มจึงชี้แจงสั้นๆว่ามีธุระและยังบอกอีกด้วยว่าเขาได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่รับ-ส่งฟุรุคาวะจนกว่าเจ้านายจะกลับ ทีแรกเด็กหนุ่มไม่ยอมแต่พอได้ยินชื่อคาวาเบะเท่านั้นเขาก็เข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี ระหว่างทางเขาอยากจะถามเรื่องตุ๊กตากระดาษกับทาคุอยู่หลายครั้งแต่พอคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะเป็นเพียงคนขับรถ เขาจึงนั่งเงียบๆและตั้งใจจะเก็บไว้ถามกับตัวต้นเรื่องโดยตรง
ซาคาโมโตะขาดเรียนไปหลายวัน ตัวฟุรุคาวะเองก็ถูกพวกคาวาเบะทำร้ายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่อาจารย์ทากาอิกับอาจารย์ซากุรางิเข้ามาห้ามเอาไว้ทัน สำหรับคนแรกเขาไม่แปลกใจเท่าไหร่แต่คนหลังถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อเพราะนักเรียนส่วนใหญ่รู้ดีว่าซากุรางิเป็นคนขี้ขลาด วันๆนอกจากการสอนตามหน้าที่แล้วเขาก็แทบไม่ทำอะไรยกเว้นเดินตามก้นอาจารย์ใหญ่หรือผู้อำนวยการ แต่ช่างเถอะเพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนคนนี้น้อยมากจนนับครั้งได้ผิดกับทากาอิและทาคุ มีหลายครั้งที่เขาถูกคาวาเบะลากเข้าไปเพื่อทำมิดีมิร้ายในที่ปลอดตาคนทาคุก็จะโผล่มาอัดพวกมันจนแตกกระเจิง
สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi) บทที่ 8 การมาของคนที่ไม่อยากพบ
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://ppantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 การมาของคนที่ไม่อยากพบ
กลิ่นชื้นของหมอกปลุกผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทราให้ลืมตาตื่นขึ้นพอเห็นว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนพื้นกระดานแข็งๆรอบตัวมีแต่ความขาวโพลนของละอองน้ำ ฟุรุคาวะจึงลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนกแต่ความหนาทึบของหมอกทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวไปไหน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นวิตกก้มลงมองปลายเท้าด้วยความอยากรู้ว่าจุดที่ยืนอยู่คืออะไรแต่เขาเห็นได้แค่เพียงช่วงเอวของตัวเองเท่านั้นส่วนที่เหลือถูกหมอกปกคลุมจนมิดคล้ายโดนอสุรกายกลืนกินไปครึ่งตัว เมื่อมองไม่เห็นเด็กหนุ่มจึงลองใช้เท้ากระแทกพื้นเบาๆ พอได้ยินเสียงเขาก็เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นไม้ แต่สถานที่ใดกันล่ะที่เป็นแบบนั้น
มือยื่นออกไปข้างหน้าและจมหายไปในหมอกเช่นเดียวกัน แต่ฟุรุคาวะยังคงดึงดันควานไปรอบๆอย่างไม่ยอมแพ้ พอพบกับความว่างเปล่าเขาก็ขยับตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและใจชื้นขึ้นเมื่อการวางแต่ละครั้งเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด เด็กหนุ่มเคลื่อนตัวไปทีละนิดด้วยหวังว่าจะพบกับแสงสว่างหรือจุดหมายปลายทาง ระหว่างที่กำลังเดาไปเรื่อยว่าสถานที่แห่งนั้นคือที่ไหนฟุรุคาวะต้องสะดุ้งสุดตัวที่จู่ๆมีมือปริศนารวบข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้แล้วดึงเขาเข้าไปกอด พอจะร้องปากกลับถูกปิดด้วยริมฝีปากของใครบางคน ความอบอุ่นอันลึกล้ำแผ่ซ่านเข้ามาในกายผ่านปลายลิ้นที่แทรกเข้ามาอย่างเร่าร้อน สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำให้เด็กหนุ่มเย็นวาบไปทั้งร่างแต่ความคุ้นเคยในรสสัมผัสทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด ร่างกายที่แข็งเกร็งจากอาการตื่นตกใจเมื่อครู่อ่อนปวกเปียกราวขี้ผึ้งไร้แรงขัดขืนใดๆ ฟุรุคาวะปล่อยใจเผลอไผลไปกับรสจูบอันหวานล้ำอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นเองภาพอันน่าขยะแขยงของคาวาเบะเมื่อตอนเย็นก็ผุดขึ้นในห้วงสำนึก ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เขากำลังถูกล่วงเกินอีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดอย่างตระหนก จะผลักออกก็ทำไม่ได้เนื่องจากมือทั้งสองข้างถูกคนผู้นั้นกุมแน่น ครั้นจะเบี่ยงหน้าหนีก็ทำไม่ได้อีกเช่นกันเพราะร่างกายของเขาถูกแขนอีกข้างของชายปริศนาโอบกอดเอาไว้จนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้
เมื่อหมดหนทางฟุรุคาวะจึงใช้วิธีสุดท้ายคือกัดลิ้นแต่ยังไม่ทันได้ทำอีกฝ่ายกลับถอนริมฝีปากออกราวกับรู้
“ใจร้ายจังเลยนะ” กล่าวอย่างตัดพ้อพร้อมกับประทับจุมพิตบนหน้าผาก “ทั้งที่ข้าคิดถึงเจ้าขนาดนี้”
“พูดอะไรของนาย” เด็กหนุ่มโต้พร้อมกับออกแรงดิ้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะเจ้าบ้า”
วงแขนกระชับแน่นขึ้นขณะที่บุรุษผู้นั้นก้มลงกระซิบแผ่ว “ไม่”
ไม่พูดเปล่ายังใช้ปากแตะเบาๆที่แก้มอย่างโหยหา การแสดงออกที่แสนประหลาดทำให้ฟุรุคาวะขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“หยุดทำเรื่องบ้าๆนี่เสียที” เด็กหนุ่มร้องพลางเงยหน้าขึ้นจ้องด้วยความรังเกียจขณะที่เดียวกันก็นึกฉงนกับการกระทำแต่ต้องมุ่นคิ้วอย่างขัดใจที่ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกหมอกบังจนมิด “นายเป็นใครกันแน่?”
ทันทีที่สิ้นคำถาม หมอกทึบเมื่อครู่จางลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ฟุรุคาวะมองหน้าผู้อุกอาจได้เต็มตา
“ซาคาโมโตะ!!!”
แก้มทั้งสองข้างปวดแปลบขึ้นมาอย่างฉับพลัน เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นกุมพร้อมกับร้องโอย
“เจ็บจังเลย” เขาบ่นพึมพำและเปิดตาขึ้นแทนที่จะเห็นใบหน้าเคร่งขรึมหล่อเหลาของคนที่ละม้ายคล้ายซาคาโมโตะ กลับเป็นเพดานที่มืดสลัวในห้องของเขาเอง
“อะไรกันเนี่ย” อุทานด้วยความงงงันและยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง “ห้องเราเองหรือนี่ แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดตามองไปรอบห้องโดยมือข้างหนึ่งลูบแก้มที่บวมช้ำไปด้วย แสดงว่าเหตุการณ์ที่ขึ้นขึ้นเมื่อกี้เป็นเพียงความฝัน แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ตั้งคำถามด้วยความสงสัยเพราะจากที่จำได้หลังเลิกเรียนเขาเจอกับกลุ่มของคาวาเบะและเกือบโดนปล้ำพอขัดขืนก็ถูกทำร้ายจนหมดแรง ก่อนจะสิ้นสติเขาจำได้ลางๆว่าเห็นคนขับรถของซาคาโมโตะและพอรู้สึกตัวก็มาอยู่บนเตียง แสดงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนช่วยเขาออกมา แต่เพื่ออะไร
คำถามในหัวถูกแทรกด้วยเสียงแกรก แกรกเหมือนมีคนใช้เล็บลากไปบนพื้นดังมาจากข้างตู้พอหันไปดูก็ทันเห็นมือขาวซีดกำลังหดเข้าไปกำแพง ไม่ใช่แค่นั้น เหนือศีรษะ บนเพดานที่เขามองเมื่อครู่ตอนนี้เริ่มมีเงาเลือนรางของภูตผีปรากฏขึ้นแต่จิ้งจอกสีเงินตัวเดียวกับเมื่อวานขึ้นไปจัดการกับพวกมันจนแตกกระเจิง
“ยังอยู่อีกหรือนี่” ฟุรุคาวะเปรยอย่างลืมตัวพลางจ้องจิ้งจอกสีเงินตัวนั้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่ากันตามจริงจิ้งจอกตัวนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับภูตผีพวกนั้นคำถามคือการที่มันเข้ามาช่วยเพราะเหตุบังเอิญหรือต้องการจะเล่นงานเขาเอง เหมือนรู้ความกังวลที่ก่อตัวอยู่ในใจ จิ้งจอกเงินตัวจ้อยลอยตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับอกแล้วทำหูรี่พร้อมกระดิกหางเพื่อแสดงออกถึงความเป็นมิตร แถมย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่ามันมาดีด้วยการแลบลิ้นเลียจมูกของฟุรุคาวะหนึ่งแผลบ ความขี้ประจบของเจ้าตัวเล็กทำให้ความวิตกคลายลง เด็กหนุ่มหัวร่อคิกคักอย่างถูกอกถูกใจ
“จั๊กจี้น่า” เขาพูดเบาๆพลางแตะจิ้งจอกเงินด้วยปลายนิ้วและเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความทึ่งเมื่อพบว่ามันทั้งอุ่นและนุ่มเหมือนตุ๊กตา แสดงว่าจิ้งจอกตัวนี้มีตัวตน เขานึก แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง จะบอกว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่อย่างนั้นหรือ คิดแล้วก็ใช้อีกมือหยิกหมับเข้าที่ต้นแขนของตัวเอง
“โอ๊ย!”
ฟุรุคาวะร้องออกมาเบาๆ ลองเจ็บแบบนี้ไม่ใช่ความฝันแน่ ทั้งจิ้งจอกตัวนี้กับภูตผีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นล่ะคืออะไรเพราะถ้าเป็นแค่ความฝันทำไมถึงเหมือนจริงนัก ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นตอนอยู่ในอ้อมกอดหรือรสสัมผัสตอนจุมพิต กระทั่งตอนนี้ภายในปากของเขายังมีความร้อนจากปลายลิ้นที่ชอนไชรุกล้ำกรุ่นอยู่เลย
ก้อนเนื้อภายใต้หน้าอกเต้นแรงขึ้นสูบฉีดเลือดในกายให้วิ่งพล่าน นี่เขากำลังใจเต้นกับการถูกผู้ชายด้วยกันจูบอย่างนั้นหรือ ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพอได้ยินคำตอบจากหัวใจ หน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความละอาย
ใช่ ถ้าจูบนั้นเป็นของซาคาโมโตะ เคียวยะ
ภาพใบหน้าอันหล่อเหลาผุดขึ้นในมโนสำนึก เด็กหนุ่มอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ตอนนี้เขาอยู่ในห้องเลยหยิบหมอนขึ้นมาแล้วเอาหน้าซุกลงไปแทน แรงกดทำให้แก้มที่แดงช้ำจากการทำร้ายของคาวาเบะแผลงฤทธิ์อีกหนจนเขาต้องร้องโอยออกมาดังๆทำให้จิ้งจอกน้อยพลอยตกใจไปด้วย ทีแรกมันคิดว่าฟุรุคาวะถูกปิศาจทำร้ายจึงวิ่งวนรอบตัวค้นหาจ้าละหวั่นพอรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรแล้วมันก็หยุดลอยตัวอยู่ตรงหน้าและใช้เท้าเล็กๆแตะบนแก้ม ความเย็นฉ่ำดุจกระป๋องน้ำอัดลมที่อยู่ในตู้เย็นทำให้อาการปวดบรรเทาลง เสร็จจากข้างหนึ่งมันก็ย้ายไปทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง ไม่กี่อึดใจรอยช้ำบนแก้มทั้งสองข้างก็หายไป
“ปี๊~”
เสียงเล็กๆดังขึ้นเหมือนบอกให้เด็กหนุ่มตรวจแก้มของตัวเองอีกครั้ง เขาทำตามและมุ่นคิ้วเมื่อพบว่ามันกลับกลายเป็นปรกติไม่เหลือทั้งรอยช้ำและความเจ็บปวด
“เหลือเชื่อ” หลุดปากออกมาตามความรู้สึกพลางมองจิ้งจอกน้อยอย่างนึกทึ่ง “ขอบใจมากนะเจ้าจิ้งจอกน้อย”
เขากล่าวออกมาอย่างจริงใจ กิซึเนะตัวจ้อยโบกพวงหางอีกครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นดวงแสงลอยกลับไปที่กระเป๋าตามเดิม ฟุรุคาวะมองตามด้วยความแปลกใจเพราะกระเป๋าของเขาไม่ห้อยพวงกุญแจหรือของกระจุกกระจิกอะไรเลยสักอย่าง ตัวเขาเองก็ไม่เคยไปทั้งศาลเจ้าไม่เคยเข้าวัด อย่าว่าแต่เครื่องรางเลยสายสิญจน์สักเส้นก็ไม่เคยพกแล้วเจ้าจิ้งจอกนี่มาจากไหน มาได้ยังไงหรือใครเป็นคนส่งมา
ไม่รอให้คำถามค้างคาอยู่แบบนั้นฟุรุคาวะหยิบกระเป๋ามาสำรวจจนเจอกระดาษพับซุกอยู่ตรงซอกพอหยิบขึ้นมาดูถึงรู้ว่ามันเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆสีขาวซึ่งมีลายแต้มแบบเดียวกัน เด็กหนุ่มจึงเดาว่าเจ้าตัวเมื่อครู่คือกระดาษพับนี่เอง แต่ใครเป็นคนทำและเอามาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะปรกติแล้วเขาไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครและไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับข้าวของเครื่องใช้ของเขา ระยะนี้จะมีก็แต่ซาคาโมโตะเท่านั้นที่เข้ามาวอแวด้วย
ฟุรุคาวะจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนมาส่งวันแรกหมอนั่นเป็นคนหยิบกระเป๋าอาจฉวยโอกาสนั้นยัดกระดาษพับนี้ใส่มาด้วย แสดงว่าจิ้งจอกเวทตัวนี้เกิดจากฝีมือของซาคาโมโตะ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเรื่องแบบนี้มันควรจะอยู่แค่ในการ์ตูนหรือนิทานหลอกเด็กเท่านั้นไม่ใช่หรือ อีกอย่างหมอนั่นเป็นแค่ลูกชายกลุ่มอิทธิพลเท่านั้นไม่มีทางทำอะไรแบบพวกพระหรือนักพรตได้อยู่แล้ว บางทีสิ่งที่เห็นมาโดยตลอดอาจเป็นเพียงภาพหลอนที่ตัวเขาเองสร้างขึ้นเท่านั้น พอคิดแบบนี้ก็มีเสียงแย้งในหัว แล้วที่เห็นเมื่อครู่นี้ล่ะ พอลองแตะดูนายเองยังคิดว่ามันนุ่มเหมือนตุ๊กตาไม่ใช่เหรอ
จิ้งจอกนั่นมีตัวตนจริงๆรวมถึงผีพวกนั้นด้วย เด็กหนุ่มคิด แต่ทำไมจำเพาะต้องมาปรากฏตัวให้เขาเห็นและถ้าซาคาโมโตะเป็นคนยัดกระดาษพับใส่กระเป๋าไว้จริงทำไมถึงต้องทำแบบนั้นทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันเอง
เด็กหนุ่มเฝ้าวนเวียนอยู่กับคำถามจนถึงเช้าพอจะไปโรงเรียนก็เจอทาคุที่ยืนรออยู่หน้าห้องแต่เมื่อเดินไปที่รถเขาต้องผิดหวังเมื่อไม่เห็นซาคาโมโตะสารถีหนุ่มจึงชี้แจงสั้นๆว่ามีธุระและยังบอกอีกด้วยว่าเขาได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่รับ-ส่งฟุรุคาวะจนกว่าเจ้านายจะกลับ ทีแรกเด็กหนุ่มไม่ยอมแต่พอได้ยินชื่อคาวาเบะเท่านั้นเขาก็เข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี ระหว่างทางเขาอยากจะถามเรื่องตุ๊กตากระดาษกับทาคุอยู่หลายครั้งแต่พอคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะเป็นเพียงคนขับรถ เขาจึงนั่งเงียบๆและตั้งใจจะเก็บไว้ถามกับตัวต้นเรื่องโดยตรง
ซาคาโมโตะขาดเรียนไปหลายวัน ตัวฟุรุคาวะเองก็ถูกพวกคาวาเบะทำร้ายอยู่หลายครั้ง โชคดีที่อาจารย์ทากาอิกับอาจารย์ซากุรางิเข้ามาห้ามเอาไว้ทัน สำหรับคนแรกเขาไม่แปลกใจเท่าไหร่แต่คนหลังถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อเพราะนักเรียนส่วนใหญ่รู้ดีว่าซากุรางิเป็นคนขี้ขลาด วันๆนอกจากการสอนตามหน้าที่แล้วเขาก็แทบไม่ทำอะไรยกเว้นเดินตามก้นอาจารย์ใหญ่หรือผู้อำนวยการ แต่ช่างเถอะเพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนคนนี้น้อยมากจนนับครั้งได้ผิดกับทากาอิและทาคุ มีหลายครั้งที่เขาถูกคาวาเบะลากเข้าไปเพื่อทำมิดีมิร้ายในที่ปลอดตาคนทาคุก็จะโผล่มาอัดพวกมันจนแตกกระเจิง