สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi) บทที่ 9 โพรงมรณะ

กระทู้สนทนา
บทที่ 1-2 http://ppantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://ppantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/34730781


          บทที่ 9 โพรงมรณะ

          การเห็นพ่อแม่ดิ้นรนกรีดร้องอยู่ในรถที่มีเปลวไฟลุกท่วมก่อให้เกิดบาดแผลขนาดใหญ่ในจิตใจจนเก็บไปฝันและทนทรมานกับความเจ็บปวดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งยามหลับตา เมื่อแก้ปัญหาด้วยการฝืนไม่ยอมนอนภาพหลอนของปิศาจก็เริ่มปรากฏขึ้น เขาต้องเบิ่งตามองมือที่พวกมันพยายามยื่นลงมาไขว่คว้าพร้อมกับเสียงเขย่าขวัญที่เฝ้าเรียกชื่อทุกคืน

          สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความรู้สึกหลากหลายแต่ไม่เคยทำให้ฟุรุคาวะ ฟุบุกิ กลัวเลยสักนิดผิดจากการพบกับคนที่เรียกตนเองว่าเป็นญาติแท้ๆ การมาของคนที่เขาเรียกว่า ลุง กลับทำให้เด็กหนุ่มตกอยู่ในอาการหวาดผวาจนเกือบจะถึงขั้นขวัญกระเจิง

          ทำไมเขาถึงมาที่นี่

          เขาร้องถามอยู่ในใจและยังคงยืนนิ่งตรงประตูต่างจากคนเป็นลุงที่พอเห็นหน้าเด็กหนุ่มก็ทำเป็นปั้นหน้าฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เหมือนดีใจ

          “ฟุบุกิ” ไม่เท่านั้นยังเดินเข้ามาดึง ‘หลาน’ เข้าไปกอด “เป็นยังไงสบายดีหรือเปล่าทำไมถึงไม่ยอมไปหากันบ้างรู้ไหมว่าป้าเขาคิดถึงแกแค่ไหน”

          พูดพล่ามออกมายาวยืดโดยยังกอดฟุรุคาวะแน่นไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเม้มปากอย่างนึกรังเกียจก่อนดันเขาออก

          “ผมเคยบอกแล้วไงว่าจะไม่มีการติดต่อกันอีก”

          ดวงตาชั้นเดียวลอกแลกไม่น่าไว้ใจเหลือบไปทางอาจารย์ใหญ่ซึ่งนั่งจับตาดูอยู่ที่โต๊ะก่อนตวัดกลับไปทางฟุรุคาวะ

          “พูดอะไรแบบนั้นฉันมีแกเป็นหลานแค่คนเดียวทำยังไงก็ทิ้งกันไม่ลง”

          “คนทิ้งน่ะผมต่างหาก เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่า....”

          “เลิกตัดพ้อต่อว่ากันได้แล้ว ลุงรู้ว่าหลานโกรธที่ไม่อนุญาตให้เอาป้ายชื่อพ่อแม่ของหลานเข้าบ้าน ตั้งแต่วันนั้นลุงเองก็คิดมากส่วนป้าคิดถึงหลานจนไม่เป็นอันกินอันนอน เมื่อวานเราสองคนคุยกันและตกลงว่าจะรับหลานไปอยู่ด้วยเหมือนเดิม”

          “ผมไม่กลับ” ฟุรุคาวะสวนคำทันควันพร้อมกับหันไปทางอาจารย์ใหญ่ “ขอโทษนะครับผมต้องรีบเข้าห้องเรียน”

          เขาโค้งน้อยๆเพื่อแสดงความเคารพก่อนหมุนตัวไปที่ประตูแต่ถูกผู้เป็นลุงยื้อเอาไว้

          “อย่าหนีกันสิฟุบุกิฟังลุงอธิบายก่อน”

          “ไม่จำเป็น” เด็กหนุ่มบอกปัดโดยไม่มองหน้าเปิดประตูเดินออกจากห้องไปอย่างไม่ไยดี คิตายามะ ผู้เป็นลุงแสร้งทำเป็นน้ำตาคลอ

          “อย่างที่ผมบอก เขาโกรธพวกเรามาก” น้ำเสียงสั่นเครืออย่างน่าสงสารพลางเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ “ผมรักเขาเหมือนลูกแท้ๆอยากให้กลับไปอยู่ด้วยกันแต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเขาถึงจะยอมให้อภัย”

          เดินคอตกไปนั่งเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังกับท่าทางอันแสนเศร้าสร้อยทำให้คนในห้องรู้สึกเวทนาจนนึกคำปลอบใจไม่ออก นั่งเงียบกันอยู่นานซากุรางิซึ่งมีน้ำตาคลอเบ้าจึงวางมือลงบนบ่าของคิตายามะ

          “ผมจะหว่านล้อมเขาให้”

          “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ผมรู้ดีว่าโดนฟุบุกิเกลียดแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ที่มานี่ก็เพื่อจะกล่าวขอโทษเผื่อเขาเห็นใจให้อภัยจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่อย่างที่อาจารย์เห็น” เขาถอนลมหายใจยาว “แบบนี้ผมจะบอกน้องชายกับน้องสะใภ้ที่อยู่บนสวรรค์ว่ายังไงดี”

          เขาหยุดพลางเช็ดน้ำตาป้อย ซากุรางิเหลือบตามองอาจารย์ใหญ่แวบหนึ่งก่อนตัดสินใจพูด

          “ผมมีวิธี”

          คิตายามะกลืนก้อนสะอื้นลงคอก่อนถามเสียงแห้ง “ยังไงหรือครับ”

          “ตอนนี้ฟุรุคาวะยังจัดว่าเป็นเยาวชน ต้องมีผู้ปกครองคอยให้ความดูแลถ้าเขาไม่ยอมไปดีๆทางเราจะใช้กฎหมายบังคับ”

          “แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาก็ยิ่งโกรธผมเข้าไปใหญ่สิครับ” คิตายามะแย้ง ซากุรางิสั่นศีรษะ

          “แรกๆคงดื้อดึงบ้างแต่ถ้าเห็นความจริงใจของพวกคุณแล้วผมเชื่อแน่ว่าเขาจะต้องยอมรับได้”

          พูดพลางชำเลืองไปทางอาจารย์ใหญ่เหมือนต้องการคนสนับสนุน โอกาโมโต้มีท่าทีอิดเอื้อนคล้ายไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่แต่ก็ผงกศีรษะ

          “ถ้าด้วยวิธีนั้นละก็ได้ แต่พวกคุณต้องไม่ลืมว่าเด็กในวัยนี้มีความคิดค่อนข้างรุนแรง การบังคับยิ่งจะทำให้เขาเตลิดหนักเข้าไปอีก”

          “ผมไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด” คิตายามะรีบพูดก่อนหันกลับไปทางซากุรางิ “ฝากอาจารย์ด้วยนะครับ”

          “ไว้ใจได้เลย” อีกฝ่ายรับคำอย่างหนักแน่นทำให้สีหน้าของคิตายามะดีขึ้น เขากล่าวคำขอบคุณคนทั้งสองด้วยการโค้งแล้วโค้งอีกจากนั้นจึงเดินออกจากห้องด้วยความอิ่มเอมใจ เมื่อลุงของฟุรุคาวะไปแล้วโอกาโมโต้ก็เอ่ยปากถาม

          “แน่ใจหรือว่าไม่เป็นไร”

          “ครับ” ซากุรางิรับคำด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น อาจารย์ใหญ่จึงกล่าวเตือน

          “งั้นก็ตามใจ” ตาเลื่อนลงไปยังซองจดหมายที่มีตราประทับรูปจิ้งจอก “แต่ขอให้คุณระมัดระวังหน่อยเพราะผมได้ยินมาว่าฟุรุคาวะ ฟุบุกิมีอาการทางจิตและซาคาโมโตะ เคียวยะให้ความสนใจเด็กคนนี้เป็นพิเศษ”

          “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณโอกาโมโต้ ผมมั่นใจว่าพอกลับไปอยู่กับลุงแล้วเด็กคนนี้ก็จะเลิกเป็นคนโรคจิต ส่วนเจ้าซาคาโมโตะคงเป็นพวกขี้เบื่อไม่ชอบอยู่กับอะไรนานๆ เดือนสองเดือนก็คงจะเลิกไปเอง”

          โอกาโมโต้ประสานมือจบไว้ใต้คางระหว่างฟังซากุรางิพล่าม พออีกฝ่ายพูดจบเขาก็หลุดปากออกมาเบาๆ

          “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”

          การพบลุงอย่างไม่นึกไม่ฝันทำให้จิตใจที่เริ่มเข้าที่เข้าทางของฟุรุคาวะกลับมาฟุ้งซ่านอีกครั้ง ภาพพฤติกรรมอันเลวร้ายของทั้งป้าและลุงที่เขากำลังจะลืมผุดขึ้นมาหลอกหลอนซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งวันทำให้เขาไม่มีสมาธิในการเรียน แถมตอนเย็นยังถูกซากุรางิบอกให้กลับไปอยู่ที่บ้านลุงกับป้าโดยยกเรื่องกฎหมายขึ้นมาขู่ เรื่องเลวร้ายที่วกกลับเข้ามาหาตัวอีกครั้งสร้างความคับแค้นใจกับเด็กหนุ่มเป็นอย่างมากจนเขานึกภาวนาว่าหากเจอคาวาเบะกับพวกอีกครั้ง เขาเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายตอบสนองอารมณ์ปรนเปรอเจ้าตัวร้ายทุกอย่างเพื่อเป็นการประชดชีวิต

          ถ้าจะต้องกลับไปมีสภาพเหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว เขาควรกระโจนลงไปด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นลากไปเหมือนตุ๊กตาไร้ค่าแบบนี้

          เดินพลางกลืนน้ำตาลงคอด้วยความเจ็บแค้น พอถึงหน้าประตู ทาคุซึ่งเดินเตร่รออยู่แถวนั้นจึงตรงรี่เข้ามาหาพร้อมกับกล่าวทัก

          “ไง...” คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้นเมื่อเห็นดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ “เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าโดนเจ้าพวกนั้นทำร้ายมาอีกแล้ว”

          “มีคุณอยู่ด้วยแบบนี้ไม่มีใครกล้าหรอกครับ” ฟุรุคาวะตอบก่อนเดินไปขึ้นรถ สารถีหนุ่มมองตามด้วยความเป็นห่วงแต่เพราะรู้นิสัยว่าอีกฝ่ายเป็นพวกไม่ช่างพูดจึงนั่งประจำที่ วิ่งรถไปได้สักพักเขาก็เปรยขึ้นเป็นเชิงถาม

          “เรียนวันนี้เป็นยังไงสนุกมั้ย”

          ....เงียบ....

          “ฉันแอบได้ยินว่าวันนี้มีการสอบเก็บคะแนน นายทำได้หรือเปล่า”

          เงียบอีกเช่นเคย

          “ชั่วโมงพละเห็นเด็กเล่นฟุตบอลกันแต่ไม่ยักเห็นนาย วันนี้ไม่มีเรียนหรือไม่ลงมาเล่นเอง”

          ยังคงเงียบแถมเบือนหน้ามองออกไปนอกรถ ทาคุยิ้มมุมปากก่อนหยอดไม้สุดท้าย

          “เจ้าเคียวยะฝากบอกว่าคิดถึงแน่ะ”

          “จริงหรือครับ” เผลอตัวหันหน้าแถมหลุดปากถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พอเห็นแววตาที่กำลังเต้นระริกของทาคุเด็กหนุ่มจึงรู้ว่าถูกหลอก “คุณแกล้งผม”

          “เปล่าซักหน่อย แค่จี้ใจดำนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่านายจะดีใจคิดถึงเจ้าเคียวยะเหมือนกันละสิท่า”

          “เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันจะคิดถึงไปทำไม”    

          ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระด้างเหมือนไม่ใส่ใจกับคนที่พูดถึงเท่าไหร่ ปากกับใจไม่ตรงกัน สารถีหนุ่มนึกและอมยิ้มน้อยๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด

          ดวงหน้าอันงดงามที่กำลังปั้นปึ่งอย่างกระเง้ากระงอดผุดขึ้นมาอย่างเลือนรางในความทรงจำ ทาคุสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่มันออกไป

          ห้ามคิดแบบนั้นอีกเป็นอันขาดเพราะเด็กคนนี้เป็นของเจ้าเคียวยะ

          เขาพร่ำเตือนตัวเองอย่างปวดร้าวพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเพื่อกลืนภาพอันแสนสวยนั้นลงไปก่อนเปลี่ยนเรื่องพูด

          “มีอะไรหรือเปล่า”

          คราวนี้เด็กหนุ่มมองหน้าเขาด้วยสีหน้าก้ำกึ่งระหว่างรำคาญกับลังเล “ไม่มีนี่ครับถามทำไม”

          “ตานายแดง”

          “ผงเข้าตาเท่านั้นเองครับ”

          ฟุรุคาวะแก้ตัวและรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เชื่อเพราะทาคุหัวเราะหึ หึ ในลำคอ

          “ฉันผ่านอะไรมามากแยกออกว่าอะไรคือฝุ่นและอะไรคือเรื่องกวนใจ ที่ถามเพราะความเป็นห่วงซึ่งนายคงไม่เชื่อแต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะเล่าก็ไม่เป็นไรเอาไว้วันหลังก็ได้”

          “กลัวว่าจะไม่มีวันนั้นน่ะสิ” เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ทาคุถึงกับเบิกตาโพลง

          “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

          “ก็...”ฟุรุคาวะทิ้งคำพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนทอดสายตามองออกไปนอกรถจ้องภาพอาคารบ้านเรือนที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็วนิ่งอยู่นานก่อนตัดสินใจสารภาพ “วันนี้ลุงมาที่โรงเรียน”

          “เอ๋ แล้วไม่ดีหรือครับ” ทาคุถามเพราะรู้มาเลาๆว่าฟุรุคาวะเสียพ่อแม่ไปกับอุบัติเหตุและมีลุงกับป้ามารับไปอุปถัมภ์ พอโตขึ้นมาหน่อยก็แยกตัวมาอยู่คนเดียว “เขาคงคิดถึงน่ะอย่าคิดมาก”

          “ที่คิดถึงไม่ใช่ผมหรอก” เด็กหนุ่มแย้งมือทั้งสองข้างบีบกระเป๋านักเรียนแน่นแทนการระบายความคับแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจ “เขาอยากให้ผมกลับไปอยู่ด้วย”

          น้ำเสียงที่ใช้ราบเรียบจนเดาไม่ออกว่าคนพูดมีความรู้สึกเช่นใดแต่พอทาคุเหลือบตามองทางกระจกและเห็นใบหน้าที่มีทั้งความหวาดกลัว ชิงชังคั่งแค้นแล้วจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มเกลียดชังลุงกับป้ายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด

          “ถ้าไม่ชอบก็ปฏิเสธเขาไปสิครับ”

          “ผมทำแล้วแต่ซากุรางิเอาเรื่องกฎหมายมาขู่ เขาบอกว่าผมยังเด็กต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลไม่อย่างนั้นจะโดนจับส่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ก็โดนยัดเข้าคุกข้อหาคนจรจัด”

          ทาคุนิ่งฟังเงียบๆพอถึงประโยคสุดท้ายเขาก็หัวเราะเบาๆในคอ

          “เขาไม่มีสิทธิทำแบบนั้นหรอกครับอย่างเก่งก็แค่โยนเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” คิ้วเข้มหนามุ่นเข้าหากัน “ได้ยินจากเจ้าเคียวยะเล่าว่านายออกจากบ้านมาอยู่ตัวคนเดียวตามลำพัง ถ้ารักกันจริงตาลุงนั่นก็ไม่น่าจะปล่อยให้ออกมาตั้งแต่แรกหรือถ้าเป็นห่วงก็น่าจะตามกลับ นึกยังไงถึงได้มาเอาป่านนี้”

          “อย่างที่บอกเขาไม่ได้มาเพราะผม” ฟุรุคาวะพูดพลางชี้ไปที่แมนชั่นสิบชั้นสีฟ้าอ่อนที่เคลื่อนใกล้เข้ามา “เขาต้องการสิ่งนั้นต่างหาก”

          “หมายความว่ายังไง” สารถีหนุ่มถามด้วยความสงสัยและเริ่มจะพอเดาอะไรได้ลางๆ

          “มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อแม่” เด็กหนุ่มตอบ ทาคุพยักหน้าช้าๆก่อนเปรย

          “และนายคิดว่าลุงคิดจะฮุบมันไว้เอง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่