บทที่ 18
http://ppantip.com/topic/35117580
บทที่ 19 คำท้าทายของจอมวายร้าย
ทาคุลำเลียงมื้อเช้าที่ลงทุนลุกขึ้นมาทำตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น โดยแยกเป็นสามชุดสำหรับแต่ละคน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถอยมายืนเอียงคอมองผลงานของตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจจนเสียงประตูห้องนอนเปิด ฟุรุคาวะซึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมที่ยังชื้นก้าวออกมา พอได้กลิ่นอาหารเด็กหนุ่มก็เอ่ยปากพูด
“หอมจัง เช้านี้มีปลาย่างด้วยเหรอ”
ถามพร้อมกับหันไปทางเชฟตัวใหญ่ที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อน แต่พอเห็นภาพวาดฝีมือตัวเองบนใบหน้าอีกฝ่ายแล้ว เด็กหนุ่มก็ขำพรวดออกมาอย่างสุดกลั้น ทาคุทำหน้าบูดทันที
“หัวเราะทำไม” เขาถามกึ่งงอนในขณะเดียวกันก็นึกขำตัวเองไปด้วย จากนั้นจึงอธิบายเมนูที่เพิ่งทำสดๆร้อนๆ “ทีแรกว่าจะทำข้าวหน้าไข่แต่เมื่อเช้าเจอปลาอาจิสดน่ากินเลยซื้อมาน่ะ”
สารถีหนุ่มสาธยายอย่างภาคภูมิ ฟุรุคาวะยืนมองชุดอาหารเช้าบนโต๊ะอันประกอบด้วย ปลาอาจิย่าง ซุปมิโสะ สาหร่ายฮิจิคิกับผักดองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มน้อยๆ
“น่ากินจัง” พูดจบเดินไปตากผ้าขนหนูที่ระเบียงก่อนกลับมานั่งโต๊ะแต่ยังไม่ลงมือ ทาคุจึงเตือน
“ไม่รีบกินเดี๋ยวข้าวจะเย็นหมดนะ”
“รอเคียวยะ” ตอบสั้นๆแต่สื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน สารถีหนุ่มพยักหน้าช้าๆพลางมองเด็กหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ ทั้งที่เมื่อคืนดูตกอกตกใจกับความฝันแท้ๆแต่ตอนนี้กลับทำท่าเหมือนลืมทุกอย่างไปหมดแถมยังดูอารมณ์ดีขนาดนั่งฮัมเพลงเบาๆ แสดงว่าเมื่อคืนนี้คงเจอเรื่องดีๆหรือบางทีเจ้าเคียวยะจะ....
“อารมณ์ดีจังนะ เมื่อคืนฝันเรื่องอะไรเหรอ”
ทาคุแซวเพื่อหยั่งเชิงพอเห็นแก้มของฟุรุคาวะมีสีแดงระเรื่อ เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเพื่อนรักคง ‘กิน’ เจ้าหนูคนสวยนี่ไปแล้ว กำลังคิดว่าจัดการกันอิท่าไหนอยู่นั้นตัวต้นเรื่องก็ก้าวเข้ามาในครัวในชุดนักเรียนที่ดูเฉียบไปทั้งตัวเหมือนทุกครั้ง พอเห็นอาหารบนโต๊ะเขาก็เลิกคิ้ว
“ปลาย่าง”
“ไม่ชอบหรือไง” ทาคุย้อนถามทั้งที่ปากคันยิบๆอยากพูดอย่างอื่นมากกว่าเช่น หรือนายอยากให้เป็นฟุบุกิราดโชยุ แต่ขืนโพล่งออกไปแบบนั้นมีหวังจบชีวิตพร้อมลวดลายอันน่าอัปยศบนใบหน้า เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอินุผู้ทรงเกียรติหมด
“แล้วนายล่ะ ชอบหรือเปล่า” ซาคาโมโตะไม่ตอบทาคุแต่กลับหันไปถามเด็กหนุ่มที่กำลังหยิบตะเกียบ อีกฝ่ายยักไหล่
“ฉันชอบกินปลาทุกชนิด”
“งั้นฉันก็ชอบ”
เป็นคำตอบที่คนได้ยินอยากเอากระทะฟาดสักเปรี้ยง สารถีหนุ่มเบ้หน้าอย่างนึกหมั่นไส้ก่อนหยิบนมมารินใส่แล้วให้ฟุรุคาวะ พอถึงตาซาคาโมโตะ เขากลับก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับถามเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “หมายถึงอะไร”
“ก็ฟุบุกิน่ะสิ เมื่อคืนกลัวจนตัวสั่นแต่เช้านี้กลับอารมณ์ดี นายทำอะไรเขาเหรอ”
“ก็นิดหน่อย” ซาคาโมโตะตอบพลางคีบปลาส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆเหมือนจงใจแกล้ง ซึ่งได้ผลเพราะทาคุโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด
“เฮ้ย นั่งอมพะนำอยู่ได้ พูดสักทีสิเว้ย!”
ท่าทางอยากรู้ของสารถีหนุ่มไม่เท่าไหร่ แต่พอเห็นหน้าที่มีลายหมาใส่แว่นกำลังมุ่นคิ้วยุ่ง มันดูตลกเสียจนซาคาโมโตะหลุดหัวเราะ พอรู้ตัวว่ากำลังโดนล้อ อีกฝ่ายก็ทำเสียงคำรามในคออย่างนึกฉุน
“เคียวยะ!”
“ขอโทษ” ชายหนุ่มพูดทั้งที่ยังขำ “นายจะออกไปข้างนอกทั้งแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ”
ทาคุเหลือบตาไปทางฟุรุคาวะที่นั่งกินข้าวเงียบๆด้านตรงกันข้าม พอเห็นเด็กหนุ่มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ได้ยินคำถามเต็มสองหู เขาก็ถอนใจออกมาเบาๆ “เออ”
คำตอบของเพื่อนทำให้ซาคาโมโตะชำเลืองไปด้านตรงกันข้ามและอมยิ้มเมื่อเห็นมุมปากของฟุรุคาวะยกขึ้นน้อยๆอย่างคนกำลังสนุก ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มอดหวนนึกถึงวันเก่าๆไม่ได้ อดีตอันแสนสุขตอนที่อยู่กับฟูจิน
สาวน้อยแสนสวยที่ขยันหาเรื่องแกล้งเขาทั้งสองได้ตลอดเวลา
“ทำไมฉันถึงโดนแกล้งอยู่เรื่อย” เสียงทาคุบ่นข้างตัว ซาคาโมโตะมองหน้าจ๋อยๆของเพื่อนด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและสมน้ำหน้า
“เพราะนายมันน่าแกล้งไง”
สารถีหนุ่มค้อนประหลับประเหลือกแต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรออกไปก็ต้องหยุดเมื่อฟุรุคาวะรวบช้อน ดื่มนมและน้ำก่อนลุกขึ้นถือจานเข้าครัว เขารีบร้องบอกทันที
“วางไว้เถอะเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย เขาเปิดตู้เย็นปลิดองุ่นใส่ปากลูกหนึ่งก่อนเดินไปนั่งรอให้ห้องรับแขก พอได้โอกาสทาคุจึงหันไปไล่บี้เจ้านาย
“ว่าไง”
“อะไร”
“สารภาพมาดีๆว่าเมื่อคืนนายทำอะไรฟุบุกิ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆอย่างอ่อนใจกับความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่เข้าท่าของเพื่อน เขาจัดการข้าวคำสุดท้าย ดื่มนม ตบท้ายด้วยน้ำก่อนตอบเสียงเรียบ
“ก็แค่สะกดให้เขาลืมเรื่องความฝันแล้วใส่ภาพมายาลงไปแทน”
เป็นคำตอบที่ไขข้อสงสัยให้กระจ่างในบัดดล ทาคุผงกศีรษะพร้อมกับทำเสียงอือในลำคอแต่พอนึกถึงหน้าแดงๆของฟุรุคาวะตอนที่เขาถามเรื่องความฝัน คิ้วก็มุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
“นายป้อนภาพอะไรให้เขา”
ซาคาโมโตะลุกขึ้นโดยไม่ตอบคำถามเป็นอันรู้กันว่าจบเรื่องพูด ถึงจะไม่ได้รับคำตอบทาคุก็พอจะเดาออกว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบให้ฟุรุคาวะเห็นภาพอะไร
บรรยากาศในตอนเช้าผ่านไปได้ด้วยดี เพราะฟุรุคาวะเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายเพื่อนร่วมห้องก่อน เล่นเอาหลายคนถึงกับขนลุกซู่เพราะนึกว่าเกิดปาฏิหาริย์ ความเปลี่ยนแปลงที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือของเด็กหนุ่มสร้างความพอใจต่อซาคาโมโตะเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึงบางส่วนของฟูจินได้กลับมาแล้ว
เขามองฟุรุคาวะที่กำลังนั่งอยู่ในวงล้อมของเพื่อนและหัวเราะกับเรื่องที่ผลัดกันเล่า ภาพในอดีตผุดซ้อนทับขึ้นมา ที่ชิรายูกิยาชิกิ ในเทศกาลชมดอกไม้ที่ตระกูลของเขาจัดขึ้นทุกปี ใต้ต้นซากะรุขนาดใหญ่คนของกินกิซึเนะจะมาล้อมวงรวมกันนั่งดื่มกินพูดคุยสรวลเสเฮฮา โดยมีภูตสาวแสนสวยฟูจินเป็นจุดศูนย์กลาง นางมักหาเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่ทุกคนอย่างสนุกสนานในขณะเดียวกันก็จะคอยฟังเรื่องเล่าของคนอื่นอย่างตั้งอกตั้งใจ จะมีก็แต่ไรโชมารุเท่านั้นที่นั่งดื่มเหล้าคนเดียวเงียบๆ ใช่ว่าเขาจะทำตัววางท่าให้ดูสลักสำคัญ แต่ด้วยฐานะผู้นำเขาจึงไม่อาจทำตัวตามสบายเหมือนคนอื่น ว่ากันตามจริงเขาเองก็ไม่ต้องการพูดคุยอะไรกับใครสักเท่าไหร่ ขอแค่ได้ฟังเสียงที่ไพเราะ ได้มองรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอันงดงามของฟูจิน เพียงเท่านี้ก็สุขใจจนเกินพอ
เวลานี้ก็เช่นกัน แม้จะมีเรื่องเครียดจากปัญหาของพวกโอโรจิ แต่พอได้มองใบหน้าผ่องใสของฟุรุคาวะแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดก็หายไป สิ่งเดียวที่สร้างความกังวลต่อซาคาโมโตะคือความทรงจำ หากเด็กหนุ่มยังรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาก็ไม่อาจพากลับไปยังชิรายูกิยาชิกิได้ ถึงแม้ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าหากไปไม่ได้ก็จะอยู่ด้วยกันในแผ่นดินมนุษย์ แต่ลึกๆในใจซาคาโมโตะอยากพาฟุรุคาวะกลับไปยังถิ่นเดิมมากกว่า เพราะสำหรับชายหนุ่มแล้วเรือนหิมะขาวคือบ้าน เป็นวิมานอันแสนสุขสำหรับเขาและคนที่จะมาเป็นนายหญิงของตระกูล
รอยยิ้มบางแต้มบนปากหยักได้รูปเมื่อในหัวของชายหนุ่มปรากฏภาพแสนสวยของฟุรุคาวะในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์กำลังเยื้องกรายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด กำลังนั่งวาดฝันเพลินๆเขาต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประตูเลื่อนที่ถูกเปิดอย่างแรง ซาคาโมโตะหันไปมองด้วยความแปลกใจเพราะปรกติแล้วทากาอิไม่เคยทำกิริยาหยาบแบบนั้นแต่พอเห็นผู้ก้าวเข้ามาคือซากุรางิ เขาก็มุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักก่อนเมินหน้าหนี ซึ่งไม่ต่างจากนักเรียนคนอื่นที่ทำหน้าเซ็ง เพราะวิชาแรกควรเป็นการสอนของอาจารย์ทากาอิ พอเป็นคนน่าเบื่อแล้วทุกคนก็หยิบหนังสือมากางด้วยท่าทางของคนซังกะตาย
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ ผมเองก็ไม่ได้อยากมาสอนพวกคุณเหมือนกัน” ซากุรางิเริ่มต้นประโยคด้วยถ้อยคำน่ารังเกียจเหมือนเคย “ที่ต้องมาแทนเพราะอาจารย์ทากาอิได้รับอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล อย่าถามให้เสียเวลาเพราะผมเองก็ไม่รู้และไม่อยากรู้”
ตาเรียวลอกแลกกวาดมองนักเรียนทุกคนราวจะย้ำให้รู้ว่าเขาหมายถึงอย่างนั้นจริงๆก่อนหยิบตำรามาเปิด
“เริ่มเรียนกันได้แล้ว”
โชคร้ายที่วิชาแรกต้องเรียนติดต่อกันถึงสองคาบ กว่าซากุรางิจะออกจากห้องนักเรียนทั้งชั้นก็ตกอยู่ในสภาพแห้งเหี่ยวเหมือนถูกสูบวิญญาณ ไม่เว้นแม้แต่ซาคาโมโตะ ยังดีที่วิชาต่อไปเป็นภาษาอังกฤษซึ่งผู้สอนเป็นอาจารย์สาวขี้เล่นหน้าตาน่ารัก พลังที่ลดฮวบเมื่อครู่เลยพุ่งพรวดขึ้นเหมือนได้อัพเลเวล เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงเด็กบางคนหยิบข้าวกล่องขึ้นมาส่วนอีกหลายคนชวนกันลงไปที่โรงอาหาร ซึ่งซาคาโมโตะเองก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้น ระหว่างที่กำลังเก็บของใส่ลิ้นชักโต๊ะ ใครบางคนก็มายืนข้างตัว
“ไปโรงอาหารกันมั้ย”
เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มใจเต้นและรีบเงยหน้าขึ้น พอเห็นฟุรุคาวะกำลังยืนเขินๆเหมือนทำตัวไม่ถูกหัวใจก็พองโตคับอก เขายัดของลวกๆพอให้เสร็จแล้วลุกขึ้นทันที
“ไปสิ”
ซาคาโมโตะเดินตามฟุรุคาวะด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข เพราะทุกครั้งเขาจะเป็นฝ่ายคอยตื๊อให้ไปด้วยกันหากวันนี้เด็กหนุ่มกลับเป็นฝ่ายชวน แสดงความความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว
“เดินช้าจัง” จู่ๆฟุรุคาวะก็หันมาบ่นยังไม่ทันที่ซาคาโมโตะจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็คว้าแขนหมับลากให้เขาไปอยู่ข้างๆจากนั้นจึงออกเดิน
“เย็นนี้ฉันขอไปเยี่ยมทากาอิได้หรือเปล่า”
เด็กหนุ่มถามเสียงเบาเหมือนกลัวว่าจะโดนปฏิเสธ ซาคาโมโตะอมยิ้มน้อยๆก่อนตอบ
“ได้สิ” เขาหยุดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ต้องให้เจ้าทาคุล้างหน้าก่อนนะ”
“แต่” ฟุรุคาวะทำท่าจะแย้ง ซาคาโมโตะจึงรีบอธิบาย
“ขืนปล่อยให้หมอนั่นเดินโชว์ลายหมาบ้าไปแบบนั้นมีหวังได้แตกตื่นกันทั้งโรงพยาบาล”
คำพูดของเขาทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะคิก “ก็ดีแล้วนี่ อยากมาแกล้งฉันก่อนทำไมล่ะ”
“ฟุบุกิ” ซาคาโมโตะทำเสียงดุ ฟุรุคาวะซึ่งยังคงอมยิ้มอยู่จึงรับคำง่ายๆ
“ครับ”
ทานมื้อเที่ยงเสร็จทั้งคู่ก็เดินกลับห้อง ช่วงพักบันไดก่อนขึ้นชั้นสาม คาวาเบะกับเพื่อนๆที่ดักรออยู่จึงเอ่ยทัก
“หวานกันจังเลยนะ”
ซาคาโมโตะดันให้ฟุรุคาวะไปยืนข้างหลังทันที ตาจ้องคาวาเบะกับลูกสมุนที่กำลังขยับมายืนเรียงหน้ากระดานขวางทางเอาไว้อย่างพร้อมจะมีเรื่อง
“หลีก”
เขาบอกห้วนๆสั้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะ
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกซาคาโมโตะ กลางวันแสกๆแบบนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ทำอะไรใคร” ตาเลื่อนผ่านคนตัวสูงไปด้านหลังจ้องฟุรุคาวะเขม็ง “แต่ถ้าเจอกันตอนกลางคืนละก็ไม่แน่”
คำพูดส่อเจตนาร้ายอย่างโจ่งแจ้งของอีกฝ่ายปลุกโทสะของชายหนุ่มจนแล่นเป็นริ้ว เขากำหมัดแน่นและคำรามลอดไรฟันออกมา
“ก็ลองดูสิ”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี บทที่ 19 คำท้าทายของจอมวายร้าย
บทที่ 19 คำท้าทายของจอมวายร้าย
ทาคุลำเลียงมื้อเช้าที่ลงทุนลุกขึ้นมาทำตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น โดยแยกเป็นสามชุดสำหรับแต่ละคน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถอยมายืนเอียงคอมองผลงานของตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจจนเสียงประตูห้องนอนเปิด ฟุรุคาวะซึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมที่ยังชื้นก้าวออกมา พอได้กลิ่นอาหารเด็กหนุ่มก็เอ่ยปากพูด
“หอมจัง เช้านี้มีปลาย่างด้วยเหรอ”
ถามพร้อมกับหันไปทางเชฟตัวใหญ่ที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อน แต่พอเห็นภาพวาดฝีมือตัวเองบนใบหน้าอีกฝ่ายแล้ว เด็กหนุ่มก็ขำพรวดออกมาอย่างสุดกลั้น ทาคุทำหน้าบูดทันที
“หัวเราะทำไม” เขาถามกึ่งงอนในขณะเดียวกันก็นึกขำตัวเองไปด้วย จากนั้นจึงอธิบายเมนูที่เพิ่งทำสดๆร้อนๆ “ทีแรกว่าจะทำข้าวหน้าไข่แต่เมื่อเช้าเจอปลาอาจิสดน่ากินเลยซื้อมาน่ะ”
สารถีหนุ่มสาธยายอย่างภาคภูมิ ฟุรุคาวะยืนมองชุดอาหารเช้าบนโต๊ะอันประกอบด้วย ปลาอาจิย่าง ซุปมิโสะ สาหร่ายฮิจิคิกับผักดองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มน้อยๆ
“น่ากินจัง” พูดจบเดินไปตากผ้าขนหนูที่ระเบียงก่อนกลับมานั่งโต๊ะแต่ยังไม่ลงมือ ทาคุจึงเตือน
“ไม่รีบกินเดี๋ยวข้าวจะเย็นหมดนะ”
“รอเคียวยะ” ตอบสั้นๆแต่สื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน สารถีหนุ่มพยักหน้าช้าๆพลางมองเด็กหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ ทั้งที่เมื่อคืนดูตกอกตกใจกับความฝันแท้ๆแต่ตอนนี้กลับทำท่าเหมือนลืมทุกอย่างไปหมดแถมยังดูอารมณ์ดีขนาดนั่งฮัมเพลงเบาๆ แสดงว่าเมื่อคืนนี้คงเจอเรื่องดีๆหรือบางทีเจ้าเคียวยะจะ....
“อารมณ์ดีจังนะ เมื่อคืนฝันเรื่องอะไรเหรอ”
ทาคุแซวเพื่อหยั่งเชิงพอเห็นแก้มของฟุรุคาวะมีสีแดงระเรื่อ เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเพื่อนรักคง ‘กิน’ เจ้าหนูคนสวยนี่ไปแล้ว กำลังคิดว่าจัดการกันอิท่าไหนอยู่นั้นตัวต้นเรื่องก็ก้าวเข้ามาในครัวในชุดนักเรียนที่ดูเฉียบไปทั้งตัวเหมือนทุกครั้ง พอเห็นอาหารบนโต๊ะเขาก็เลิกคิ้ว
“ปลาย่าง”
“ไม่ชอบหรือไง” ทาคุย้อนถามทั้งที่ปากคันยิบๆอยากพูดอย่างอื่นมากกว่าเช่น หรือนายอยากให้เป็นฟุบุกิราดโชยุ แต่ขืนโพล่งออกไปแบบนั้นมีหวังจบชีวิตพร้อมลวดลายอันน่าอัปยศบนใบหน้า เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอินุผู้ทรงเกียรติหมด
“แล้วนายล่ะ ชอบหรือเปล่า” ซาคาโมโตะไม่ตอบทาคุแต่กลับหันไปถามเด็กหนุ่มที่กำลังหยิบตะเกียบ อีกฝ่ายยักไหล่
“ฉันชอบกินปลาทุกชนิด”
“งั้นฉันก็ชอบ”
เป็นคำตอบที่คนได้ยินอยากเอากระทะฟาดสักเปรี้ยง สารถีหนุ่มเบ้หน้าอย่างนึกหมั่นไส้ก่อนหยิบนมมารินใส่แล้วให้ฟุรุคาวะ พอถึงตาซาคาโมโตะ เขากลับก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับถามเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “หมายถึงอะไร”
“ก็ฟุบุกิน่ะสิ เมื่อคืนกลัวจนตัวสั่นแต่เช้านี้กลับอารมณ์ดี นายทำอะไรเขาเหรอ”
“ก็นิดหน่อย” ซาคาโมโตะตอบพลางคีบปลาส่งเข้าปากเคี้ยวช้าๆเหมือนจงใจแกล้ง ซึ่งได้ผลเพราะทาคุโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด
“เฮ้ย นั่งอมพะนำอยู่ได้ พูดสักทีสิเว้ย!”
ท่าทางอยากรู้ของสารถีหนุ่มไม่เท่าไหร่ แต่พอเห็นหน้าที่มีลายหมาใส่แว่นกำลังมุ่นคิ้วยุ่ง มันดูตลกเสียจนซาคาโมโตะหลุดหัวเราะ พอรู้ตัวว่ากำลังโดนล้อ อีกฝ่ายก็ทำเสียงคำรามในคออย่างนึกฉุน
“เคียวยะ!”
“ขอโทษ” ชายหนุ่มพูดทั้งที่ยังขำ “นายจะออกไปข้างนอกทั้งแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ”
ทาคุเหลือบตาไปทางฟุรุคาวะที่นั่งกินข้าวเงียบๆด้านตรงกันข้าม พอเห็นเด็กหนุ่มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ได้ยินคำถามเต็มสองหู เขาก็ถอนใจออกมาเบาๆ “เออ”
คำตอบของเพื่อนทำให้ซาคาโมโตะชำเลืองไปด้านตรงกันข้ามและอมยิ้มเมื่อเห็นมุมปากของฟุรุคาวะยกขึ้นน้อยๆอย่างคนกำลังสนุก ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มอดหวนนึกถึงวันเก่าๆไม่ได้ อดีตอันแสนสุขตอนที่อยู่กับฟูจิน
สาวน้อยแสนสวยที่ขยันหาเรื่องแกล้งเขาทั้งสองได้ตลอดเวลา
“ทำไมฉันถึงโดนแกล้งอยู่เรื่อย” เสียงทาคุบ่นข้างตัว ซาคาโมโตะมองหน้าจ๋อยๆของเพื่อนด้วยความรู้สึกทั้งสงสารและสมน้ำหน้า
“เพราะนายมันน่าแกล้งไง”
สารถีหนุ่มค้อนประหลับประเหลือกแต่ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรออกไปก็ต้องหยุดเมื่อฟุรุคาวะรวบช้อน ดื่มนมและน้ำก่อนลุกขึ้นถือจานเข้าครัว เขารีบร้องบอกทันที
“วางไว้เถอะเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย เขาเปิดตู้เย็นปลิดองุ่นใส่ปากลูกหนึ่งก่อนเดินไปนั่งรอให้ห้องรับแขก พอได้โอกาสทาคุจึงหันไปไล่บี้เจ้านาย
“ว่าไง”
“อะไร”
“สารภาพมาดีๆว่าเมื่อคืนนายทำอะไรฟุบุกิ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆอย่างอ่อนใจกับความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่เข้าท่าของเพื่อน เขาจัดการข้าวคำสุดท้าย ดื่มนม ตบท้ายด้วยน้ำก่อนตอบเสียงเรียบ
“ก็แค่สะกดให้เขาลืมเรื่องความฝันแล้วใส่ภาพมายาลงไปแทน”
เป็นคำตอบที่ไขข้อสงสัยให้กระจ่างในบัดดล ทาคุผงกศีรษะพร้อมกับทำเสียงอือในลำคอแต่พอนึกถึงหน้าแดงๆของฟุรุคาวะตอนที่เขาถามเรื่องความฝัน คิ้วก็มุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
“นายป้อนภาพอะไรให้เขา”
ซาคาโมโตะลุกขึ้นโดยไม่ตอบคำถามเป็นอันรู้กันว่าจบเรื่องพูด ถึงจะไม่ได้รับคำตอบทาคุก็พอจะเดาออกว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบให้ฟุรุคาวะเห็นภาพอะไร
บรรยากาศในตอนเช้าผ่านไปได้ด้วยดี เพราะฟุรุคาวะเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายเพื่อนร่วมห้องก่อน เล่นเอาหลายคนถึงกับขนลุกซู่เพราะนึกว่าเกิดปาฏิหาริย์ ความเปลี่ยนแปลงที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือของเด็กหนุ่มสร้างความพอใจต่อซาคาโมโตะเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึงบางส่วนของฟูจินได้กลับมาแล้ว
เขามองฟุรุคาวะที่กำลังนั่งอยู่ในวงล้อมของเพื่อนและหัวเราะกับเรื่องที่ผลัดกันเล่า ภาพในอดีตผุดซ้อนทับขึ้นมา ที่ชิรายูกิยาชิกิ ในเทศกาลชมดอกไม้ที่ตระกูลของเขาจัดขึ้นทุกปี ใต้ต้นซากะรุขนาดใหญ่คนของกินกิซึเนะจะมาล้อมวงรวมกันนั่งดื่มกินพูดคุยสรวลเสเฮฮา โดยมีภูตสาวแสนสวยฟูจินเป็นจุดศูนย์กลาง นางมักหาเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่ทุกคนอย่างสนุกสนานในขณะเดียวกันก็จะคอยฟังเรื่องเล่าของคนอื่นอย่างตั้งอกตั้งใจ จะมีก็แต่ไรโชมารุเท่านั้นที่นั่งดื่มเหล้าคนเดียวเงียบๆ ใช่ว่าเขาจะทำตัววางท่าให้ดูสลักสำคัญ แต่ด้วยฐานะผู้นำเขาจึงไม่อาจทำตัวตามสบายเหมือนคนอื่น ว่ากันตามจริงเขาเองก็ไม่ต้องการพูดคุยอะไรกับใครสักเท่าไหร่ ขอแค่ได้ฟังเสียงที่ไพเราะ ได้มองรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอันงดงามของฟูจิน เพียงเท่านี้ก็สุขใจจนเกินพอ
เวลานี้ก็เช่นกัน แม้จะมีเรื่องเครียดจากปัญหาของพวกโอโรจิ แต่พอได้มองใบหน้าผ่องใสของฟุรุคาวะแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดก็หายไป สิ่งเดียวที่สร้างความกังวลต่อซาคาโมโตะคือความทรงจำ หากเด็กหนุ่มยังรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาก็ไม่อาจพากลับไปยังชิรายูกิยาชิกิได้ ถึงแม้ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าหากไปไม่ได้ก็จะอยู่ด้วยกันในแผ่นดินมนุษย์ แต่ลึกๆในใจซาคาโมโตะอยากพาฟุรุคาวะกลับไปยังถิ่นเดิมมากกว่า เพราะสำหรับชายหนุ่มแล้วเรือนหิมะขาวคือบ้าน เป็นวิมานอันแสนสุขสำหรับเขาและคนที่จะมาเป็นนายหญิงของตระกูล
รอยยิ้มบางแต้มบนปากหยักได้รูปเมื่อในหัวของชายหนุ่มปรากฏภาพแสนสวยของฟุรุคาวะในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์กำลังเยื้องกรายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด กำลังนั่งวาดฝันเพลินๆเขาต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประตูเลื่อนที่ถูกเปิดอย่างแรง ซาคาโมโตะหันไปมองด้วยความแปลกใจเพราะปรกติแล้วทากาอิไม่เคยทำกิริยาหยาบแบบนั้นแต่พอเห็นผู้ก้าวเข้ามาคือซากุรางิ เขาก็มุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักก่อนเมินหน้าหนี ซึ่งไม่ต่างจากนักเรียนคนอื่นที่ทำหน้าเซ็ง เพราะวิชาแรกควรเป็นการสอนของอาจารย์ทากาอิ พอเป็นคนน่าเบื่อแล้วทุกคนก็หยิบหนังสือมากางด้วยท่าทางของคนซังกะตาย
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ ผมเองก็ไม่ได้อยากมาสอนพวกคุณเหมือนกัน” ซากุรางิเริ่มต้นประโยคด้วยถ้อยคำน่ารังเกียจเหมือนเคย “ที่ต้องมาแทนเพราะอาจารย์ทากาอิได้รับอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล อย่าถามให้เสียเวลาเพราะผมเองก็ไม่รู้และไม่อยากรู้”
ตาเรียวลอกแลกกวาดมองนักเรียนทุกคนราวจะย้ำให้รู้ว่าเขาหมายถึงอย่างนั้นจริงๆก่อนหยิบตำรามาเปิด
“เริ่มเรียนกันได้แล้ว”
โชคร้ายที่วิชาแรกต้องเรียนติดต่อกันถึงสองคาบ กว่าซากุรางิจะออกจากห้องนักเรียนทั้งชั้นก็ตกอยู่ในสภาพแห้งเหี่ยวเหมือนถูกสูบวิญญาณ ไม่เว้นแม้แต่ซาคาโมโตะ ยังดีที่วิชาต่อไปเป็นภาษาอังกฤษซึ่งผู้สอนเป็นอาจารย์สาวขี้เล่นหน้าตาน่ารัก พลังที่ลดฮวบเมื่อครู่เลยพุ่งพรวดขึ้นเหมือนได้อัพเลเวล เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงเด็กบางคนหยิบข้าวกล่องขึ้นมาส่วนอีกหลายคนชวนกันลงไปที่โรงอาหาร ซึ่งซาคาโมโตะเองก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้น ระหว่างที่กำลังเก็บของใส่ลิ้นชักโต๊ะ ใครบางคนก็มายืนข้างตัว
“ไปโรงอาหารกันมั้ย”
เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มใจเต้นและรีบเงยหน้าขึ้น พอเห็นฟุรุคาวะกำลังยืนเขินๆเหมือนทำตัวไม่ถูกหัวใจก็พองโตคับอก เขายัดของลวกๆพอให้เสร็จแล้วลุกขึ้นทันที
“ไปสิ”
ซาคาโมโตะเดินตามฟุรุคาวะด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข เพราะทุกครั้งเขาจะเป็นฝ่ายคอยตื๊อให้ไปด้วยกันหากวันนี้เด็กหนุ่มกลับเป็นฝ่ายชวน แสดงความความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว
“เดินช้าจัง” จู่ๆฟุรุคาวะก็หันมาบ่นยังไม่ทันที่ซาคาโมโตะจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็คว้าแขนหมับลากให้เขาไปอยู่ข้างๆจากนั้นจึงออกเดิน
“เย็นนี้ฉันขอไปเยี่ยมทากาอิได้หรือเปล่า”
เด็กหนุ่มถามเสียงเบาเหมือนกลัวว่าจะโดนปฏิเสธ ซาคาโมโตะอมยิ้มน้อยๆก่อนตอบ
“ได้สิ” เขาหยุดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ต้องให้เจ้าทาคุล้างหน้าก่อนนะ”
“แต่” ฟุรุคาวะทำท่าจะแย้ง ซาคาโมโตะจึงรีบอธิบาย
“ขืนปล่อยให้หมอนั่นเดินโชว์ลายหมาบ้าไปแบบนั้นมีหวังได้แตกตื่นกันทั้งโรงพยาบาล”
คำพูดของเขาทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะคิก “ก็ดีแล้วนี่ อยากมาแกล้งฉันก่อนทำไมล่ะ”
“ฟุบุกิ” ซาคาโมโตะทำเสียงดุ ฟุรุคาวะซึ่งยังคงอมยิ้มอยู่จึงรับคำง่ายๆ
“ครับ”
ทานมื้อเที่ยงเสร็จทั้งคู่ก็เดินกลับห้อง ช่วงพักบันไดก่อนขึ้นชั้นสาม คาวาเบะกับเพื่อนๆที่ดักรออยู่จึงเอ่ยทัก
“หวานกันจังเลยนะ”
ซาคาโมโตะดันให้ฟุรุคาวะไปยืนข้างหลังทันที ตาจ้องคาวาเบะกับลูกสมุนที่กำลังขยับมายืนเรียงหน้ากระดานขวางทางเอาไว้อย่างพร้อมจะมีเรื่อง
“หลีก”
เขาบอกห้วนๆสั้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะ
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกซาคาโมโตะ กลางวันแสกๆแบบนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์ทำอะไรใคร” ตาเลื่อนผ่านคนตัวสูงไปด้านหลังจ้องฟุรุคาวะเขม็ง “แต่ถ้าเจอกันตอนกลางคืนละก็ไม่แน่”
คำพูดส่อเจตนาร้ายอย่างโจ่งแจ้งของอีกฝ่ายปลุกโทสะของชายหนุ่มจนแล่นเป็นริ้ว เขากำหมัดแน่นและคำรามลอดไรฟันออกมา
“ก็ลองดูสิ”