สายใยรักจิ้งจอกพันปี (yaoi) บทที่ 12 จุดจบของคนโลภ

กระทู้สนทนา
บทที่ 1-2 http://ppantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/34641272
บทที่ 4-5 http://ppantip.com/topic/34657924
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/34686112
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/34709647
บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/34730781
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/34740745
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/34855480
บทที่ 11 http://ppantip.com/topic/34899050

          บทที่ 12 จุดจบของคนโลภ

          เสียงโครมครามจากการกระแทกของเพื่อระบายอารมณ์สร้างความรำคาญกับคนได้ยินเป็นอย่างมาก คิตายามะ ฮาจิเมะ เบนสายตาจากจอโทรทัศน์ไปยังภรรยาที่กำลังนั่งหน้าบึ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนพื้นมีเอกสารกระจายเกลื่อน

          “ทำอะไรของเธอน่ะ” เขาถามทั้งที่รู้ว่ากระดาษส่วนใหญ่คือใบแจ้งหนี้ นางคิตายามะถลึงตาก่อนกระแทกเสียงตอบ

          “ก็เห็นอยู่ยังจะมาถาม” เธอทุบกำปั้นโครมลงบนกองกระดาษ “มีแต่ใบทวง ใบทวงแล้วก็ใบทวง เมื่อไหร่จะมีข่าวดีมาให้ฉันชื่นใจบ้าง”

          นายคิตายามะรู้ดีว่านั่นคือคำประชด เขาทำเป็นหันกลับไปให้ความสนใจเกมโชว์ในโทรทัศน์ก่อนตอบอย่างเกียจคร้าน

          “อีกนิดเดียวเองน่า”

          “วันก่อนคุณก็พูดแบบนี้แต่พาเจ้าเด็กนั่นกลับมาไม่ได้” ภรรยาของเขาพูดห้วนๆ “ให้ตายเถอะ! ทีอย่างอื่นละก็ทำเป็นเก่งกับอีแค่เด็กคนเดียวกลับเอาไม่อยู่ แล้วแบบนี้เราจะทำยังไง ถ้าไม่มีเด็กนั่นเราก็ไม่มีวันหาเงินมาใช้หนี้พวกนี้ได้”

          “ก็บอกแล้วไงว่าใจเย็นๆ เจ้าเด็กนั่นไม่ยอมมากับฉันก็จริงแต่อาจารย์ซากุรางิหาทางให้แล้ว ถ้าขืนดื้อมากๆฉันจะขอให้ตำรวจช่วยลากมันกลับมา”

          “ทำได้เหรอ” นางคิตายามะถามพร้อมกับเดินมานั่งข้างๆด้วยความอยากรู้ ฝ่ายสามีจึงผงกศีรษะรับ

          “ได้สิเพราะเจ้าเด็กนั่นยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้วเขาต้องมีผู้ปกครองไม่งั้นก็โดนส่งเข้าบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งฉันคิดว่าเด็กโรคจิตอย่างฟุบุกิคงไม่ยอมพอไม่มีทางเลือกมันก็ต้องกลับมา”

          “แล้วถ้าเขาไม่ยอมมาอยู่กับเราล่ะ” นางคิตายามะถาม อีกฝ่ายอมยิ้มน้อยๆพร้อมกับส่ายหน้า

          “เขามาแน่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ คิ้วขมวดเข้าหากัน “แต่ที่ฉันยังคิดไม่ตกคือถ้าเจ้านั่นมาอยู่ด้วยแล้วเราจะทำยังไงดี จะใช้วิธีกำจัดด้วยอุบัติเหตุเหมือนพ่อแม่มันคงไม่ได้ แต่จะให้อยู่ต่อไปเรื่อยๆเราคงอดได้สมบัติเพราะพอเจ้าฟุบุกิจบม.ปลายเมื่อไหร่ต้องออกจากบ้านของเราแน่”

          สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มแต่ภรรยากลับหัวเราะอย่างใจเย็น

          “งั้นก็ทำให้มันหมดสภาพไปเลยสิ”

          “หมายความว่ายังไง” นายคิตายามะถามและฉุกคิดได้ในตอนนั้นเอง “หรือว่า”

          “ใช่ ช่วงแรกๆฉันจะแกล้งทำดีกับมันก่อนพอตายใจค่อยจัดการ คุณว่าเราควรเลือกวิธีไหน ตกบันได โดนรถชนหรือจับกรอกยา”

          “มันเสี่ยงเกินไปเกิดตำรวจสงสัยขึ้นมาพวกเราจะแย่” นายคิตายามะตอบพลางยกมือขึ้นลูบคาง “ถ้าเปลี่ยนเป็นโดนพวกอันธพาลซ้อมล่ะ”

          “จะดีเหรอถ้าเกิดมันตายขึ้นมาเราสองคนจะซวยไปด้วยนะ”  

          “ไม่ต้องห่วงฉันรู้จักคนเก่งๆอยู่สองสามคน” นายคิตายามะพูด ดวงตาวาววับจากความชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาในหัว “เจ้าพวกนี้เคยฆ่าคนมาแล้วแค่ทำให้เด็กคนนึงเป็นอัมพาตคงไม่ยากเท่าไหร่”

          “หวังว่าจะไม่พลาดเหมือนครั้งก่อนนะ” นางคิตายามะพูดและกระแทกลมหายใจออกมาอย่างขัดเคือง “ทั้งที่วางแผนไว้ดิบดีแต่เจ้าหนูนั่นดันรอดมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเราคงชวดเงินประกันไปแล้ว”

          นายคิตายามะพยักหน้าเออออไปด้วยเพราะคร้านที่จะฟังคำพูดพล่ามจากภรรยาในขณะเดียวกันก็หวนนึกถึงน้องชายที่ตายไปแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องกันก็จริงแต่ชีวิตความเป็นอยู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ตระกูลฟุรุคาวะไม่ได้ร่ำรวยอะไรนักแต่ก็มีเงินทองมากพอดู หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตเขากับน้องก็แบ่งทรัพย์สินกันคนละครึ่งจากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ที่เขาต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็นคิตายามะก็เพราะเงื่อนไขทางญาติของฝ่ายภรรยา ส่วนน้องชายแต่งงานกับลูกสาวประธานบริษัทใหญ่โตมีสาขาทั่วประเทศ ได้ครอบครองทั้งหุ้นแถมยังมีแมนชั่นที่เก็บเงินกินได้ไม่มีวันหมด ชีวิตของน้องชายรุ่งเรืองขึ้นทุกวันส่วนตัวเขากลับยากจนลงเรื่อยๆ พอเงินอันเป็นสมบัติก้อนสุดท้ายของภรรยาหมดลงเขาก็แวะไปขอจากน้องซึ่งเป็นประธานบริษัทแทนพ่อตาที่เสียชีวิต นั่นเองที่ทำให้เขารับรู้ลึกลงไปอีกว่านางฟุรุคาวะภรรยาของน้องชายเป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องมรดกทุกอย่างจึงตกเป็นของเธอโดยปริยายและหากทั้งคู่ตายไปทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของบุตรชายที่ชื่อฟุบุกิ

          การแวะเวียนไปที่บ้านฟุรุคาวะหลายครั้งทำให้ความริษยาในใจของนายคิตายามะพอกพูนเพิ่มมากขึ้นจนวันหนึ่งเหมือนมีผีสิงเมื่อความคิดเรื่องกำจัดเพื่อครอบครองทุกอย่างผุดขึ้นมาในหัว

          ความโลภทำให้เขาสังเกตกิจวัตรประจำวันของน้องชายกับภรรยากระนั้นก็ยังไม่วางใจ เขายังสืบต่อไปเรื่อยๆจนแน่ใจว่าหากทั้งสามตายลง สมบัติทั้งหมดจะตกเป็นของเขา ญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว

          แผนการร้ายอุบัติขึ้น เขากับภรรยาเกลี้ยกล่อมให้น้องชายพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ้านพักริมทะเล คืนก่อนวันเดินทางนายคิตายามะแอบเข้าไปตัดท่อน้ำมันเบรก วันต่อมาเขาแทบกระโดดด้วยความยินดีเมื่อได้ข่าวรถของน้องชายกับภรรยาแหกโค้งลงเหวจนระเบิดทั้งคันแต่วินาทีถัดมาความดีใจก็ถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังเมื่อรู้ว่าฟุบุกิหลุดกระเด็นออกมาจากรถรอดตายราวปาฏิหาริย์

          ช่วงอยู่โรงพยาบาลคิตายามะจำต้องสร้างภาพด้วยการคอยดูแลฟุบุกิและประกาศตัวเป็นคนเลี้ยงดูแทนน้องชายพองานศพเสร็จสิ้นเขากับนางคิตายามะก็รับไปอยู่ด้วย แต่การสูญเสียพ่อแม่ไปพร้อมกันอย่างกะทันหันทำให้เด็กน้อยต้องตกอยู่ในฝันร้ายและตื่นขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้องแทบทั้งคืน แรกๆยังพอทนแต่เพียงแค่สามวันภรรยาของเขาก็ใช้ผ้าผูกปากมัดหลานชายไว้กับเตียง และต่อจากนั้นมหกรรมการทรมานสารพัดรูปแบบก็เกิดขึ้น ความเลวร้ายนานัปการที่ประดังกันเข้ามาทำให้ฟุบุกิสติแตกจนต้องเข้ารับการบำบัดพออาการดีขึ้นลุงกับป้าก็รับกลับไปอยู่ด้วยอีกครั้ง ดูเหมือนจะได้ผลเพราะนับแต่นั้นเด็กชายก็ลดการกรีดร้องลงและพยายามทำตัวตามคำสั่งของเขากับภรรยา แต่พอขึ้นชั้นมัธยมปลายฟุบุกิก็ซื้ออิสรภาพให้กับตัวเองด้วยเงินประกันนับสิบล้านที่ได้จากชีวิตของพ่อและแม่

          มันอาจเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับใครหลายคนแต่กับคิตายามะและภรรยาแล้วมันเป็นเพียงแค่สิ่งสนองตัณหาอันน้อยนิดเพราะไม่ถึงครึ่งปีมันก็ละลายหายไปในงานเลี้ยงและการพนัน พอเงินก้อนสุดท้ายหมดเจ้าหนี้ตามบ่อนก็เริ่มทวงพอไม่ได้ก็ส่งคนมาคอยรังควาน หนักเข้าก็ถึงกับลงไม้ลงมือ เขากับนางคิตายามะจึงเห็นพ้องกันว่าต้องพาฟุบุกิกลับเข้าบ้านอีกครั้งและให้อยู่ในสภาพที่ไม่มีวันหนีได้อีกต่อไป

          “ว่าแต่เจ้าเด็กบ้านั่นจะมาหาเราเมื่อไหร่” เสียงนางคิตายามะดังเข้ามาในความคิด นายคิตายามะยังไม่ตอบ เขาหยิบบุหรี่มาจุดสูบอย่างใจเย็น

          “ครูที่ชื่อทากาอิขอเวลาอีกสองสามวัน เห็นว่ามีสอบ”

          “แล้วถ้าเกิดเจ้าเด็กนั่นหนีไปล่ะ?” ภรรยาของเขาถามอย่างไม่วางใจนักอีกอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

          “ไม่หรอก พรุ่งนี้ฉันจะไปที่โรงเรียนอีกครั้งแกล้งหยอดเรื่องของดูต่างหน้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เด็กขี้แยอย่างเจ้าฟุบุกิต้องแล่นมานี่แน่ๆ ที่เหลือก็แล้วแต่เธอ จะมอมยา หักแขนหักขาหรือเรียกนักเลงในบ่อนมาทุบให้เป็นอัมพาตก็ได้ พอรีดสมบัติทุกอย่างจากมันมาหมดแล้วค่อยยัดใส่รถพาไปโยนลงเหวเหมือนพ่อแม่ของมัน”            

          นางคิตายามะดึงบุหรี่จากมือสามีมาสูบ ควันสีขาวถูกพ่นเป็นทางยาว

          “ถ้าทำสำเร็จเราสองคนคงสุขยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ แหม อยากให้ไอ้เด็กบ้านั่นมาเร็วๆจังฉันคันมือคันไม้อยากแสดงความรักให้กับมันจะแย่อยู่แล้ว”

          นางจีบปากจีบคอลอยหน้าลอยตาพูดและอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ ทำให้สามีพลอยขำไปด้วย จากนั้นทั้งคู่ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครงแต่ต้องหยุดฉับเมื่อเสียงทุ้มห้าวของใครบางคน

          “เลวสิ้นดี!” ร่างสูงใหญ่ของทาคุก้าวเข้ามาในห้องดวงตาสีเข้มมองสองสามีภรรยาไล่ไปทีละคน “ฆ่าพ่อแม่ไม่พอยังคิดจะจับเขากลับมาทรมานอีก”

          คิตายามะนั่งตกตะลึงอ้าปากค้างพอตั้งสติได้เขาก็ลุกพรวดขึ้นร้องถาม

          “แกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านฉัน!”

          สารถีหนุ่มซึ่งบัดนี้ปราศจากความขี้เล่นอย่างสิ้นเชิงมองสามีภรรยาใจโหดด้วยนัยน์ตาวาววับ เขาก้าวเท้าย่างสามขุมเข้าไปหาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังขวัญแขวน

          “ยมทูต”

          ร่างสูงทะมึนที่กำลังขยับเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้ากับใบหน้าน่ากลัวดุจเพชฌฆาตสร้างความหวาดหวั่นจนนางคิตายามะต้องส่งเสียงร้องด้วยความตระหนก แขนทั้งสองข้างตะกายเบาะเป็นพัลวันเพื่อหนีส่วนนายคิตายามะสามียืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก สมองทำงานอย่างหนักเพื่อเค้นหาคำพูดต่อรองเพราะเขาเข้าใจว่าทาคุคือคนที่เจ้าหนี้ส่งมาข่มขู่

          “ต...ตอนนี้ฉันกำลังหาเงินมาใช้หนี้ ขอเวลาอีกสองสามวันได้หรือเปล่า”

          ทาคุหัวเราะหึ หึในคอ “ฉันไม่อยากได้เงินของพวกแก”

          น้ำเสียงดุดันทำให้นายคิตายามะถึงกับหน้าซีด ขาสองข้างสั่นพั่บๆจนเขานึกภาวนาให้ตัวเองเป็นลมเพื่อจะได้ไม่ทนทรมานกับความเจ็บปวดระหว่างโดนเชือดหรือถูกหล่อซีเมนต์ถ่วงทะเล

          “งั้นแกต้องการอะไร” ยังอุตส่าห์แข็งใจถาม ทาคุจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

          “อยากให้นายอยู่ห่างๆฟุรุคาวะ ฟุบุกิ”

          พอได้ยินคำชื่อหลานชายคิตายามะก็ใจชื้นขึ้นและนึกได้ว่าซากุรางิเคยพูดถึงคนชื่อซาคาโมโตะอยู่สองสามครั้งเขาจึงเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเจ้ายักษ์ที่กำลังวางท่าข่มขู่อยู่ในตอนนี้

          “อ๋อ! ที่แท้แกคือซาคาโมโตะที่เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่กับฟุบุกิ” น้ำเสียงพูดเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ไอ้พวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน ถ้าฉันไม่ยอมทำตามล่ะแกจะทำยังไง ฆ่าฉันงั้นเหรอ”

          คิตายามะร้องท้าและใจหายวาบเมื่อเห็นดวงตาสีเข้มค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง

          “แกไม่มีค่าถึงขนาดนั้น” ทาคุพูดพร้อมกับยืดตัวขึ้น “สำหรับคนต่ำช้า แค่นี้ก็พอ”

          ไฟทุกดวงในบ้านยกเว้นห้องนั่งเล่นดับพรึ่บพร้อมกัน ดวงที่เหลือก็กะพริบติดๆดับๆสร้างความหลอกหลอนชวนขนหัวลุก แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่าร่างกายอันใหญ่โตของทาคุที่ตอนนี้ขยายตัวใหญ่ขึ้นจนศีรษะจรดเพดาน แขนทั้งสองข้างพองโตอวดกล้ามเป็นมัดเช่นเดียวกับนิ้วทั้งสิบที่มีเล็บคมกริบดุจใบมีดงอกยาวออกมา ภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าสะกดสองสามีภรรยาให้หยุดนิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหว ดวงตาเบิกโพลงจนแลดูคล้ายลูกปิงปองจ้องใบหน้าสารถีหนุ่มที่เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย จากคนธรรมดากลายเป็นฝันร้ายอันน่ากลัว

          “ป...ปิศาจ” เสียงแหบแห้งหลุดจากปากก่อนทั้งคู่จะทรุดลงไปกองกับพื้นพอเห็นกรงเล็บแหลมยื่นเข้ามาหานายคิตายามะก็แผดเสียงออกมาดังลั่นส่วนนางคิตายามะยกสองแขนขึ้นมากุมศีรษะกดใบหน้าของตัวเองระหว่างเข่าร้องไห้ฟูมฟาย

          “ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย” เธอพร่ำพูดแต่ประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่เงยหน้าขณะที่นายคิตายามะทิ้งแขนทั้งสองข้างลงอย่างคนไร้เรี่ยวแรงแถมยังปล่อยของเหลวออกมาจนกางเกงเปียกชุ่ม ปากก็พูดแต่คำว่า ปิศาจ ราวคนเสียสติ ทาคุมองสองสามีภรรยาอย่างชิงชังแม้ทั้งคู่จะตกอยู่ในภาพอันน่าเวทนาไปแล้วก็ตาม

          “ไอ้คนโลภ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคำรามราวสัตว์ป่า “ถ้าแกสองคนยังไม่เลิกวุ่นวายกับฟุบุกิครั้งต่อไปที่ข้าจะทุบคือกะโหลกหนาๆของพวกแก”

          กำปั้นฟาดเปรี้ยงลงไปที่กำแพง มันแตกเป็นผงร่วงพรูลงมา สองสามีภรรยาสะดุ้งสุดตัวรีบก้มลงกราบกราน

          “เข้าใจแล้วพวกเราสัญญาจะไม่ยุ่งกับฟุบุกิอีก” นายคิตายามะพูดเสียงสั่น “ได้โปรดอย่าทำอะไรพวกเราเลย”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่