วันนี้ผมจะข้อรวบรวมกะทู้ในรอบปี(2016)ที่ผมเขียนหน้า Facebook นะครับ ว่าใน1ปีที่ผ่านมาในยุคเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมถึงอยุ่ในตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง(Red Ocean) ผมต้องเจออะไรมาบ้าง รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา
1 #
http://m.ppantip.com/topic/32712841
2 #
http://ppantip.com/topic/34473711
3 #
http://ppantip.com/topic/34481456
บทความที่#1 เขียนวันที่28/02/2016
วันนี้ขอพูด3หัวข้อนะครับ
1.กลุยุทธ์การบริหารสต็อกสินค้าสำคัาอย่างไร?
2.กำไรกูไปอยุ่ไหน?
3.Exit Plan !!!
1.กลุยุทธ์การบริหารสต็อกสินค้าสำคัญอย่างไร?
1.1.Inventory มาก + Good Sale = Perfect เยี่ยมยอดกระเทียมดอง
กลยุทธ์ ผลิตสินค้าได้ตามความต้องการ รวมถึงต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
-คาดการณ์วางแผนง่าย สินค้ามีขายตลอด
-เงินไม่จม
-สินค้าหมุนเวียนได้ตามความต้องการ
1.2. Inventory มาก + Bad Sale = worst Case เลวร้ายมาก เตรียมเจ๊ง
กลยุทธ์ ไม่มีวิสัยทัศน์ ขาดการวางแผน ใครตกอยุ่ในสถานการณ์นี้ เตรียมปิดกิจการ
-จมทุน ขาดสภาพคล่อง
-สินค้ามีสิทธิกลายเป็น Dead Stock***
Dead Stock*** คือ สินค้าที่เก็บไว้นาน หรือไม่มีความต้องการ สินค้าล้าสมัย เสื่อมคุณภาพ
1.3. Inventory มาก + Expect Good Sale = ไม่ดี
กลยุทธ์นี้คือ ขายไม่ดีชั่วคราว แต่คาดว่าจะขายได้ในอนาคต แต่ต้องมั่นใจว่าสินค้ายังเป็นที่ต้องการ ไม่ใช่Dead Stock
-จมทุน
-วางแผนการผลิตไม่ได้
-สินค้าเหมาะพวก seasonal product
-คาดการณ์ตลาดได้ยาก
1.4 Inventory น้อย +Good Sale =พอใช้ได้
กลยุทธ์ คือ หมุนของได้ตามความต้องการลุกค้าตลอดเวลา แต่มีโอกาสสูญเสียโอกาสขาย แต่จำเป็นต้องมีBuffer Stock***
-ไม่จนทุน
-วางแผนได้ดี แต่ต้องระมัดระวังห้ามพลาดกระบวนการผลิต
-สินค้าไม่มีdead stock
-ปรับตัวกับสภาพตลาดได้ง่าย
Buffer Stock*** สินค้าจำนวนหนึ่งที่เก็บไว้ตามรอบปกติเนื่องจากความไม่แน่นอนในความต้องการ
1.5 Inventory น้อย + Bad Sale = แย่
กลยุทธ์นี้ใช้กับการเริ่มทดลองสินค้า เพื่อดูทิศทางสินค้า ว่าตัวไหนไปได้หรือไม่ได้
-ไม่จมทุน
-เปลี่ยนสินค้าได้เมื่อเจอแน้วโน้มใหม่
-โอกาสเสียหายจากdead stockน้อย
-แต่วางแผนการผลิตไม่ได้เลย โอกาสโตน้อย
ธุรกิจของคุณวางแผนสต้อกแบบไหนอยุ่ หรือ กูก็ไม่รุ้ ไม่รุ้ก็เรื่องของล่ะ!!!!
Anticipation Inventory เก็บเพื่อแผนดำเนินการทั้งกรณีคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น หรือ ขาดแคลนชั่วคราว
Fluctuation Inventory เพื่อสำรองจากsupplier ที่มีความไม่แน่นอน
Lot size Inventory เพื่อได้ส่วนลดปริมาณจากการซื้อจำนวนมาก
Hedging Inventory เพื่อเกร็งกำไร
*********************
2.กำไรกูไปอยุ่ไหน?
เคยถามตัวเองไหมครับ ??
-ขายดีแต่กำไรไปไหน
-กำไรสูง คิดแล้วmargin ก็2หลัก แล้วทำไมยังขาดสภาพคล่อง
-ขายดี อยากพัฒนาต่อ ทำไมทุนหาย
ถ้าคุณเจอปันหาเหล่านี้ ผมจะบอกสูตรเด็ดให้
เนื่อด้วยผมจบ Basic Account ด้วยเกรด"A" // Account1 "A"// Account2"A-" // Acoount3 "B+"
ยิ่งเรียนยิ่งโง่แหะ
ผมจะให้สุตรเด็ดวิชาการทำบัญชี ด้วยเพียง2บรรทัด <debit ฝั่งซ้าย credit ฝั่งขวา ลืมไปเลยที่เรียนมา >ถ้าใครทำตามแล้วไม่รวยให้กะทืบเลย
บรรทัดที่1 : เงินเริ่มต้นวันที่1
-
บรรทัดที่2 : เงินสิ้นสุดวันที่30สิ้นเดือน
=
ถ้าเป็น + คือกำไร
ถ้าเป็น - คือขาดทุน
ชีวิตหลังจากนี้ก็เลิกมโนกำไรขาดทุนเองได้แล้ว เงินในบันชีมันไม่เคยหลอก มีแต่ที่หลอกตัวเอง
ผมทำธุรกิจมา เป็น บวก+ จำนวน 102เดือน
ส่วนว่าบวกเท่าไรก็เลื่อนขึ้นไปดูเอง
***ย้ำถ้าบวกแล้วยังไม่รวยกูให้กะทืบ***
******************************
3.Exit Plan !!!
ถามหน่อยครับ? ใครเคยกำหนดวันตายให้ธุรกิจตัวเองบ้าง มีชาตะกันด้วยหรอนิ
ผมทำธุรกิจมา2ปีแรกขาดทุน700,000 มันเจ็บปวดมากนะครับ และทำกำไรมาอีก 8ปี 6เดือน
ส่วนใหญ่ผมเห็นร้านรอบข้างผมต้องออกไปทีละร้าน ด้วยเหตุผล ขาดทุน หมดตัว หมดสภาพคล่อง เป็นหนี้สิน
คุณอยากออกจากตลาดด้วยเหตุผลแบบนี้หรอครับ ?
การวางExit Plan ไม่ใช่การไม่ทำอะไรเลยหลังจากนั้น แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงจุดจบของวัฏจักร คุณก็พร้อมที่จะมีทุนสำรองเพื่อไปต่อ หรือมีเวลาที่จะปรับเปลี่ยนรุปแบบธุรกิจ
แต่ไม่ใช่การออกไปเพราะผมขาดทุนไม่มีทุนดำเนินการต่อ
Exit Plan ของผมคือปี 2021 ทำไมต้องปีนี้ เพราะสัญญากับแพลตินั่มสิ้นสุดลง
แล้ววันตายของธุรกิจคุณคือวันไหน??????
Exit Plan*** คือ การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ ที่มาจากปัจจัยภายใน และภายนอก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับความเสี่ยงอย่างทันท่วงที รวมถึงวางแผนปิดตัวกิจการหากธุรกิจนั้นไปไม่รอด
--------------------------------
บทความที่#2 เขียนวันที่17/05/2016
วันนี้ขอเล่าเรื่องเหตุการณ์สนทนาสั้นๆ ที่ไปได้ยินมาระหว่างชายหนุ่ม2คน ณ กลางห้างแห่งนึง
ชายคนที่1 อายุราว22 แต่งตัวดูดีมีการศึกษาออกแนวเด็กวิชาการ จบมหาลัยชั้นนำระกับประเทศ
ชายคนที่2 อายุราว20 ดูแบบเซอร์ๆออกแนวช่างๆ แบบโชกโชนประสบการณ์
บทสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองการจะทำธุรกิจ
ชายคนที่1: แน่ใจแล้วหรอว่าจะทำธุกิจ มันมีหลักวิชาการตลาดเยอะนะ ไม่เคยเรียนมาจะรอดหรอว่ะ อย่าเสี่ยงเลยทำออฟฟิตเก็บประสบการณ์ไปก่อนดีไหม
ชายคนที่2 เออกูไม่รุ้ กูยอมรับกูไม่เคยเรียนเรื่องการตลาด การบริหารธุรกิจ แต่กูว่ากูออกไปลุยเลยหาประสบการณ์ไปในตัว จะได้ไม่เสียเวลา กูว่า
ต้องได้ซิว่ะ
ชายคนที่1 ก็พล่ามเรื่องการตลาดน้ำไหลไฟดับ ราวกับ ศาตราจารย์เศรษฐศาสตร์ Michael Eugene Porter สถิตย์อยุ่ตรงนั้นเลย เชื่อกูดิ ไม่รอดแน่
ชายคนที่2 ไม่เคยได้ยินหรอ คนเราไม่มีคำว่าพร้อมหรอก ลุยเลย เชื่อกู ไปตายเอาข้างหน้าไงก็แก้ไขผ่านไปได้ ขอให้มีคำว่าอดทน ไม่เกี่ยงงาน
บทสนทนาของทั้งคู่ก็ยังเถียงกันไม่จบ ต่างยกเหตุผลทั้ง2ฝ่าย
.....ผ่านไปซัก30นาที.....
ผมจึงเดินเข้าไปที่โต้ะของน้องทั้ง2
ผม: น้องครับ พี่ก็แอบฟังน้องทั้งคุ่คุยกันมาซักพักละ มีขอออกความเห็นแนะนำหน่อยนะ ในฐานะคนทำธุรกิจมาก่อน
พี่เห็นด้วยกับน้องทั้ง2เลยนะ มันสำคัญมากเลยนะที่เราจะต้องรุ้หลักการตลาดการบริหารธุรกิจ เพราะ ถ้าเราไปลุยเลย โอกาสที่ธุรกิจจะรอดใน1-3ปีแรก มีแค่20%
แต่ก็เห็นด้วยที่เราต้องลงมือทำ เพราะร้อยละ90%ที่ดีแต่พุด ไอเดียเยอะแยะ แต่ไม่เคยลงมือทำไรเลย
น้องพุดถุกที่ไปหาประสบการณ์หน้างานเลย แต่มันมีกี่%ละครับ ที่จะผิดพลาดได้บ่อยๆแล้วจะยังมีสายป่านยาวที่จะลองผิดลองถูก
บางคนอาจจะทำธุรกิจรอดในระยะสั้น แต่ในระยะยาวถ้าน้องไม่มีความรุ้ด้านการตลาดและบริหารธุรกิจ น้องอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่รุ้ว่าสิ่งที่น้องเจออยุ่จะแก้ยังไง
พี่ว่าควรผสมผสานระหว่าง ทฤษีความรุ้+ประสบการณ์นะ
น้องคนที่1+2 : แสดงสีหน้ายิ้ม แล้วพูดกับผมเบาๆ ด้วยคำเพียงหนึ่งคำ ว่า "
"55555
หลังจากนั้นผมก็รีบลุกจากไป
ธุรกิจมันไม่มีคำว่าง่ายหรอกครับ ที่จะอาศัยเพียงแค่ความรุ้ หรือ ประสบการณ์ จงใช้ทั้ง2ควบคุ่กัน
แค่การจะออกสินค้ายังต้องมีขั้นตอนมากมาย
ขอเข้าสาระหน่อย
ผมกำลังออกสินค้าเสื้อยืดสำหรับเด็กอายุ3ปี-10ปี
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product development)
New product หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1. Innovation
หมายถึง ผลิตภัณฑ์นวตกรรมใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาด
2. Modified
หมายถึง ผลิตภัณฑ์ปรับปรุงใหม่ โดยการปรับเปลี่ยน ดัดแปลงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้มีความ
แปลกใหม่มากขึ้น
3. Me-too
หมายถึง ผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบ โดยการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขัน เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับบริษัท แต่เก่าในตลาด
มีทั้งหมด8ขั้นตอน:
ขั้นตอนที่ 1 : รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล Generating
ขั้นตอนที่ 2 : ทำการคัดเลือกหรือคัดกรองไอเดีย Screening The Idea
ขั้นตอนที่ 3 : ทดลองผลิตภัณฑ์ Testing The Concept
ขั้นตอนที่ 4 : การวิเคราะห์ธุรกิจ Business Analytics
ขั้นตอนที่ 5 : ทดลองความสามารถของตลาด Beta / Marketability Tests
ขั้นตอนที่ 6 : กำหนดสเปคและข้อมูลทางทางเทคนิคและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ Technicalities + Product Development
ขั้นตอนที่ 7 : ทำธุรกิจกับผลิตภัณฑ์ Commercialize
ขั้นตอนที่ 8 : รีวิวผลิตภัณฑ์หลังปล่อยสินค้าออกสู่ตลาด Post Launch Review and Perfect Pricing
ขั้นตอนที่ผมทำอยุ่ อยุ่ในขั้นตอนที่6
6. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product development)
เมื่อแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ทั้ง 5 ขั้นมาแล้ว ในขั้นนี้จะ
เป็นการพัฒนาแนวความคิดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
สุดท้าย แพรทเทรินไม่ผ่านก็วนกลับไปเริ่มใหม่....
-------------------------------
บทความที่#3 เขียนวันที่ 11/05/2016
วันนี้จะเล่าเรื่องสั้นๆ ขอตั้งชื่อว่า ........
ผมว่าเรื่องที่ผมจะเล่าทุกคนก็คงทราบดี !!
ทุกวันนี้ รอบร้านผมในแพลตตินั่ม มีทุนจีน(หรือคนจีน ที่ไม่ได้เกิดในไทย) แต่มีญาติเป็นคนไทย ที่เป็นไทย-จีน มาลงทุนในกิจการเปิดขายเอง จองทำเลดีๆไว้หมด
สินค้าที่กลุ่มคนเหล่านั้น ก็นำเข้ามาจากจีน100%
แถมที่โหดร้ายอีกอย่าง คือพนักงานไม่ใช่คนไทย มีทั้ง ลาว พม่า เขมร เนปาล อินเดีย
สรุปงานนี้ไม่มีคำว่าไทยเจือปนในสายธุรกิจ
ออๆๆๆๆลืมไปมีครับ.......
ลุกค้าคือคนไทยครับ
ช่วยกลับขึ้นไปแต่งชื่อเรื่องให้ผมด้วยนะครับ
---------------------------------
บทความที่#4 เขียนวันที่10/05/2016
วันนี้จะเขียนบทความสั้นๆ ชื่อเรื่องว่า "อย่าถามอีกน่ะ"
เห็นความแตกต่างจากรุปซ้าย และรุปขวาไหมครับ
ถุงซ้ายคือถุงที่ผมใช้ใส่เสื้อให้ลุกค้า มาเป็นเวลา9ปี ราคาตกใบละ1บาท ผมใช้เดือนนึงตก10,000ใบ
ถุงขวาคือถุงที่ผมเพิ่งใช้มา9วัน ตกใบละ0.50บาท
1เดือนประหยัดไป5,000บาทเฉพาะค่าถุง
1ปี ประหยัดได้ 60,000บาท
9ปี ประหยัดได้ 540,000บาท
ขอย้ำนี่แค่เฉพาะค่าถุงใส่ของ
เราเสียหายไปเท่าไหรแล้วกับคำว่านิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก นี้แค่1จุดนะครับที่เจ้าของธุรกิจสามารถลดต้นทุนได้ โดยไม่เกี่ยวกับการลดคุณภาพสินค้าลงเลย
อย่าถามผมอีกน่ะ ทำไมผมมี30ล้าน
อย่าถามอีกน่ะ
*****************
ในการลดความสูญเปล่านั้นทำได้โดยวิเคราะห์หาว่าเรามีความสูญเปล่าอะไรบ้าง แล้วก็กำจัดมันออกไปเสีย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความสูญเปล่าแบ่งออกได้ เป็น 8 ประการครับ
1. ความสูญเปล่าจากการผลิตมากเกินไป (Over Production)
2. ความสูญเปล่าจากการขนย้าย (Transportation)
3. ความสูญเปล่าจากการเกิดของเสีย ต้องแก้ไขงาน (Defective)
4. ความสูญเปล่าจากการมีสินค้าคงคลังมากเกินไป (Over Stock)
5. ความสูญเปล่าจากขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ขาดประสิทธิภาพ (Process)
6. ความสูญเปล่าจากการรอคอยงาน (Waiting)
7. ความสูญเปล่าจากการเคลื่อนไหวที่ไม่เกิดประโยชน์ (Motion)
8. ความสูญเปล่าจากการไม่นำเอาความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ (Idea)
------------------------------
จาก300,000 เป็น38,000,000 ใน9ปี Season4: บัญญัติ10 ประการ The New Hope
1 # http://m.ppantip.com/topic/32712841
2 # http://ppantip.com/topic/34473711
3 # http://ppantip.com/topic/34481456
บทความที่#1 เขียนวันที่28/02/2016
วันนี้ขอพูด3หัวข้อนะครับ
1.กลุยุทธ์การบริหารสต็อกสินค้าสำคัาอย่างไร?
2.กำไรกูไปอยุ่ไหน?
3.Exit Plan !!!
1.กลุยุทธ์การบริหารสต็อกสินค้าสำคัญอย่างไร?
1.1.Inventory มาก + Good Sale = Perfect เยี่ยมยอดกระเทียมดอง
กลยุทธ์ ผลิตสินค้าได้ตามความต้องการ รวมถึงต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
-คาดการณ์วางแผนง่าย สินค้ามีขายตลอด
-เงินไม่จม
-สินค้าหมุนเวียนได้ตามความต้องการ
1.2. Inventory มาก + Bad Sale = worst Case เลวร้ายมาก เตรียมเจ๊ง
กลยุทธ์ ไม่มีวิสัยทัศน์ ขาดการวางแผน ใครตกอยุ่ในสถานการณ์นี้ เตรียมปิดกิจการ
-จมทุน ขาดสภาพคล่อง
-สินค้ามีสิทธิกลายเป็น Dead Stock***
Dead Stock*** คือ สินค้าที่เก็บไว้นาน หรือไม่มีความต้องการ สินค้าล้าสมัย เสื่อมคุณภาพ
1.3. Inventory มาก + Expect Good Sale = ไม่ดี
กลยุทธ์นี้คือ ขายไม่ดีชั่วคราว แต่คาดว่าจะขายได้ในอนาคต แต่ต้องมั่นใจว่าสินค้ายังเป็นที่ต้องการ ไม่ใช่Dead Stock
-จมทุน
-วางแผนการผลิตไม่ได้
-สินค้าเหมาะพวก seasonal product
-คาดการณ์ตลาดได้ยาก
1.4 Inventory น้อย +Good Sale =พอใช้ได้
กลยุทธ์ คือ หมุนของได้ตามความต้องการลุกค้าตลอดเวลา แต่มีโอกาสสูญเสียโอกาสขาย แต่จำเป็นต้องมีBuffer Stock***
-ไม่จนทุน
-วางแผนได้ดี แต่ต้องระมัดระวังห้ามพลาดกระบวนการผลิต
-สินค้าไม่มีdead stock
-ปรับตัวกับสภาพตลาดได้ง่าย
Buffer Stock*** สินค้าจำนวนหนึ่งที่เก็บไว้ตามรอบปกติเนื่องจากความไม่แน่นอนในความต้องการ
1.5 Inventory น้อย + Bad Sale = แย่
กลยุทธ์นี้ใช้กับการเริ่มทดลองสินค้า เพื่อดูทิศทางสินค้า ว่าตัวไหนไปได้หรือไม่ได้
-ไม่จมทุน
-เปลี่ยนสินค้าได้เมื่อเจอแน้วโน้มใหม่
-โอกาสเสียหายจากdead stockน้อย
-แต่วางแผนการผลิตไม่ได้เลย โอกาสโตน้อย
ธุรกิจของคุณวางแผนสต้อกแบบไหนอยุ่ หรือ กูก็ไม่รุ้ ไม่รุ้ก็เรื่องของล่ะ!!!!
Anticipation Inventory เก็บเพื่อแผนดำเนินการทั้งกรณีคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น หรือ ขาดแคลนชั่วคราว
Fluctuation Inventory เพื่อสำรองจากsupplier ที่มีความไม่แน่นอน
Lot size Inventory เพื่อได้ส่วนลดปริมาณจากการซื้อจำนวนมาก
Hedging Inventory เพื่อเกร็งกำไร
*********************
2.กำไรกูไปอยุ่ไหน?
เคยถามตัวเองไหมครับ ??
-ขายดีแต่กำไรไปไหน
-กำไรสูง คิดแล้วmargin ก็2หลัก แล้วทำไมยังขาดสภาพคล่อง
-ขายดี อยากพัฒนาต่อ ทำไมทุนหาย
ถ้าคุณเจอปันหาเหล่านี้ ผมจะบอกสูตรเด็ดให้
เนื่อด้วยผมจบ Basic Account ด้วยเกรด"A" // Account1 "A"// Account2"A-" // Acoount3 "B+"
ยิ่งเรียนยิ่งโง่แหะ
ผมจะให้สุตรเด็ดวิชาการทำบัญชี ด้วยเพียง2บรรทัด <debit ฝั่งซ้าย credit ฝั่งขวา ลืมไปเลยที่เรียนมา >ถ้าใครทำตามแล้วไม่รวยให้กะทืบเลย
บรรทัดที่1 : เงินเริ่มต้นวันที่1
-
บรรทัดที่2 : เงินสิ้นสุดวันที่30สิ้นเดือน
=
ถ้าเป็น + คือกำไร
ถ้าเป็น - คือขาดทุน
ชีวิตหลังจากนี้ก็เลิกมโนกำไรขาดทุนเองได้แล้ว เงินในบันชีมันไม่เคยหลอก มีแต่ที่หลอกตัวเอง
ผมทำธุรกิจมา เป็น บวก+ จำนวน 102เดือน
ส่วนว่าบวกเท่าไรก็เลื่อนขึ้นไปดูเอง
***ย้ำถ้าบวกแล้วยังไม่รวยกูให้กะทืบ***
******************************
3.Exit Plan !!!
ถามหน่อยครับ? ใครเคยกำหนดวันตายให้ธุรกิจตัวเองบ้าง มีชาตะกันด้วยหรอนิ
ผมทำธุรกิจมา2ปีแรกขาดทุน700,000 มันเจ็บปวดมากนะครับ และทำกำไรมาอีก 8ปี 6เดือน
ส่วนใหญ่ผมเห็นร้านรอบข้างผมต้องออกไปทีละร้าน ด้วยเหตุผล ขาดทุน หมดตัว หมดสภาพคล่อง เป็นหนี้สิน
คุณอยากออกจากตลาดด้วยเหตุผลแบบนี้หรอครับ ?
การวางExit Plan ไม่ใช่การไม่ทำอะไรเลยหลังจากนั้น แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงจุดจบของวัฏจักร คุณก็พร้อมที่จะมีทุนสำรองเพื่อไปต่อ หรือมีเวลาที่จะปรับเปลี่ยนรุปแบบธุรกิจ
แต่ไม่ใช่การออกไปเพราะผมขาดทุนไม่มีทุนดำเนินการต่อ
Exit Plan ของผมคือปี 2021 ทำไมต้องปีนี้ เพราะสัญญากับแพลตินั่มสิ้นสุดลง
แล้ววันตายของธุรกิจคุณคือวันไหน??????
Exit Plan*** คือ การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ ที่มาจากปัจจัยภายใน และภายนอก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการรับมือกับความเสี่ยงอย่างทันท่วงที รวมถึงวางแผนปิดตัวกิจการหากธุรกิจนั้นไปไม่รอด
--------------------------------
บทความที่#2 เขียนวันที่17/05/2016
วันนี้ขอเล่าเรื่องเหตุการณ์สนทนาสั้นๆ ที่ไปได้ยินมาระหว่างชายหนุ่ม2คน ณ กลางห้างแห่งนึง
ชายคนที่1 อายุราว22 แต่งตัวดูดีมีการศึกษาออกแนวเด็กวิชาการ จบมหาลัยชั้นนำระกับประเทศ
ชายคนที่2 อายุราว20 ดูแบบเซอร์ๆออกแนวช่างๆ แบบโชกโชนประสบการณ์
บทสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองการจะทำธุรกิจ
ชายคนที่1: แน่ใจแล้วหรอว่าจะทำธุกิจ มันมีหลักวิชาการตลาดเยอะนะ ไม่เคยเรียนมาจะรอดหรอว่ะ อย่าเสี่ยงเลยทำออฟฟิตเก็บประสบการณ์ไปก่อนดีไหม
ชายคนที่2 เออกูไม่รุ้ กูยอมรับกูไม่เคยเรียนเรื่องการตลาด การบริหารธุรกิจ แต่กูว่ากูออกไปลุยเลยหาประสบการณ์ไปในตัว จะได้ไม่เสียเวลา กูว่าต้องได้ซิว่ะ
ชายคนที่1 ก็พล่ามเรื่องการตลาดน้ำไหลไฟดับ ราวกับ ศาตราจารย์เศรษฐศาสตร์ Michael Eugene Porter สถิตย์อยุ่ตรงนั้นเลย เชื่อกูดิ ไม่รอดแน่
ชายคนที่2 ไม่เคยได้ยินหรอ คนเราไม่มีคำว่าพร้อมหรอก ลุยเลย เชื่อกู ไปตายเอาข้างหน้าไงก็แก้ไขผ่านไปได้ ขอให้มีคำว่าอดทน ไม่เกี่ยงงาน
บทสนทนาของทั้งคู่ก็ยังเถียงกันไม่จบ ต่างยกเหตุผลทั้ง2ฝ่าย
.....ผ่านไปซัก30นาที.....
ผมจึงเดินเข้าไปที่โต้ะของน้องทั้ง2
ผม: น้องครับ พี่ก็แอบฟังน้องทั้งคุ่คุยกันมาซักพักละ มีขอออกความเห็นแนะนำหน่อยนะ ในฐานะคนทำธุรกิจมาก่อน
พี่เห็นด้วยกับน้องทั้ง2เลยนะ มันสำคัญมากเลยนะที่เราจะต้องรุ้หลักการตลาดการบริหารธุรกิจ เพราะ ถ้าเราไปลุยเลย โอกาสที่ธุรกิจจะรอดใน1-3ปีแรก มีแค่20%
แต่ก็เห็นด้วยที่เราต้องลงมือทำ เพราะร้อยละ90%ที่ดีแต่พุด ไอเดียเยอะแยะ แต่ไม่เคยลงมือทำไรเลย
น้องพุดถุกที่ไปหาประสบการณ์หน้างานเลย แต่มันมีกี่%ละครับ ที่จะผิดพลาดได้บ่อยๆแล้วจะยังมีสายป่านยาวที่จะลองผิดลองถูก
บางคนอาจจะทำธุรกิจรอดในระยะสั้น แต่ในระยะยาวถ้าน้องไม่มีความรุ้ด้านการตลาดและบริหารธุรกิจ น้องอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่รุ้ว่าสิ่งที่น้องเจออยุ่จะแก้ยังไง
พี่ว่าควรผสมผสานระหว่าง ทฤษีความรุ้+ประสบการณ์นะ
น้องคนที่1+2 : แสดงสีหน้ายิ้ม แล้วพูดกับผมเบาๆ ด้วยคำเพียงหนึ่งคำ ว่า ""55555
หลังจากนั้นผมก็รีบลุกจากไป
ธุรกิจมันไม่มีคำว่าง่ายหรอกครับ ที่จะอาศัยเพียงแค่ความรุ้ หรือ ประสบการณ์ จงใช้ทั้ง2ควบคุ่กัน
แค่การจะออกสินค้ายังต้องมีขั้นตอนมากมาย
ขอเข้าสาระหน่อย
ผมกำลังออกสินค้าเสื้อยืดสำหรับเด็กอายุ3ปี-10ปี
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product development)
New product หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1. Innovation
หมายถึง ผลิตภัณฑ์นวตกรรมใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาด
2. Modified
หมายถึง ผลิตภัณฑ์ปรับปรุงใหม่ โดยการปรับเปลี่ยน ดัดแปลงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้มีความ
แปลกใหม่มากขึ้น
3. Me-too
หมายถึง ผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบ โดยการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขัน เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับบริษัท แต่เก่าในตลาด
มีทั้งหมด8ขั้นตอน:
ขั้นตอนที่ 1 : รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล Generating
ขั้นตอนที่ 2 : ทำการคัดเลือกหรือคัดกรองไอเดีย Screening The Idea
ขั้นตอนที่ 3 : ทดลองผลิตภัณฑ์ Testing The Concept
ขั้นตอนที่ 4 : การวิเคราะห์ธุรกิจ Business Analytics
ขั้นตอนที่ 5 : ทดลองความสามารถของตลาด Beta / Marketability Tests
ขั้นตอนที่ 6 : กำหนดสเปคและข้อมูลทางทางเทคนิคและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ Technicalities + Product Development
ขั้นตอนที่ 7 : ทำธุรกิจกับผลิตภัณฑ์ Commercialize
ขั้นตอนที่ 8 : รีวิวผลิตภัณฑ์หลังปล่อยสินค้าออกสู่ตลาด Post Launch Review and Perfect Pricing
ขั้นตอนที่ผมทำอยุ่ อยุ่ในขั้นตอนที่6
6. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product development)
เมื่อแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ทั้ง 5 ขั้นมาแล้ว ในขั้นนี้จะ
เป็นการพัฒนาแนวความคิดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
สุดท้าย แพรทเทรินไม่ผ่านก็วนกลับไปเริ่มใหม่....
-------------------------------
บทความที่#3 เขียนวันที่ 11/05/2016
วันนี้จะเล่าเรื่องสั้นๆ ขอตั้งชื่อว่า ........
ผมว่าเรื่องที่ผมจะเล่าทุกคนก็คงทราบดี !!
ทุกวันนี้ รอบร้านผมในแพลตตินั่ม มีทุนจีน(หรือคนจีน ที่ไม่ได้เกิดในไทย) แต่มีญาติเป็นคนไทย ที่เป็นไทย-จีน มาลงทุนในกิจการเปิดขายเอง จองทำเลดีๆไว้หมด
สินค้าที่กลุ่มคนเหล่านั้น ก็นำเข้ามาจากจีน100%
แถมที่โหดร้ายอีกอย่าง คือพนักงานไม่ใช่คนไทย มีทั้ง ลาว พม่า เขมร เนปาล อินเดีย
สรุปงานนี้ไม่มีคำว่าไทยเจือปนในสายธุรกิจ
ออๆๆๆๆลืมไปมีครับ.......
ลุกค้าคือคนไทยครับ
ช่วยกลับขึ้นไปแต่งชื่อเรื่องให้ผมด้วยนะครับ
---------------------------------
บทความที่#4 เขียนวันที่10/05/2016
วันนี้จะเขียนบทความสั้นๆ ชื่อเรื่องว่า "อย่าถามอีกน่ะ"
เห็นความแตกต่างจากรุปซ้าย และรุปขวาไหมครับ
ถุงซ้ายคือถุงที่ผมใช้ใส่เสื้อให้ลุกค้า มาเป็นเวลา9ปี ราคาตกใบละ1บาท ผมใช้เดือนนึงตก10,000ใบ
ถุงขวาคือถุงที่ผมเพิ่งใช้มา9วัน ตกใบละ0.50บาท
1เดือนประหยัดไป5,000บาทเฉพาะค่าถุง
1ปี ประหยัดได้ 60,000บาท
9ปี ประหยัดได้ 540,000บาท
ขอย้ำนี่แค่เฉพาะค่าถุงใส่ของ
เราเสียหายไปเท่าไหรแล้วกับคำว่านิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก นี้แค่1จุดนะครับที่เจ้าของธุรกิจสามารถลดต้นทุนได้ โดยไม่เกี่ยวกับการลดคุณภาพสินค้าลงเลย
อย่าถามผมอีกน่ะ ทำไมผมมี30ล้าน
อย่าถามอีกน่ะ
*****************
ในการลดความสูญเปล่านั้นทำได้โดยวิเคราะห์หาว่าเรามีความสูญเปล่าอะไรบ้าง แล้วก็กำจัดมันออกไปเสีย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความสูญเปล่าแบ่งออกได้ เป็น 8 ประการครับ
1. ความสูญเปล่าจากการผลิตมากเกินไป (Over Production)
2. ความสูญเปล่าจากการขนย้าย (Transportation)
3. ความสูญเปล่าจากการเกิดของเสีย ต้องแก้ไขงาน (Defective)
4. ความสูญเปล่าจากการมีสินค้าคงคลังมากเกินไป (Over Stock)
5. ความสูญเปล่าจากขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ขาดประสิทธิภาพ (Process)
6. ความสูญเปล่าจากการรอคอยงาน (Waiting)
7. ความสูญเปล่าจากการเคลื่อนไหวที่ไม่เกิดประโยชน์ (Motion)
8. ความสูญเปล่าจากการไม่นำเอาความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ (Idea)
------------------------------