ได้รับโทรศัพย์จากเจ้าหน้าที่นิสสัน " คุณคือ1 ใน 8ผู้โชคดีได้ไปดูบอลที่เยอรมัน!!!"
เสียงเฮลั่นอ๊อฟฟิต เพราะเป็นความไม่คาดคิดระคนดีใจแบบบอกไม่ถูก
เพราะชีวิตห่างไกลกับการจับรางวัลมากมาย...
ได้รับการบอกกล่าวและรวมกลุ่ม Line กับผู้โชคดีท่านอื่นๆ ทำให้เราได้เริ่มรู้จักพูดคุยกันตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า
เป็นความโชคดีที่นิสสันให้พวกเราเลือกว่าจะไปดูบอลแมตช์ไหน
ระหว่างมิวนิค หรือมาดริด ประเทศสเปน
คำตอบไม่ต้องเดา เพราะพวกเราเลือกไปดูคู่ดัง Real Madrid กับ Manchester city ที่สนาม Estadio Santiago Bernabeu
เวลากระชั้นชิดมาก การนั้ดหมายทำวีซ่าจึงต้องรีบดำเนินการ...
พบหน้าครั้งแรก
21 เมษายน 59: หน้าสถานฑูตตอน 9โมงครึ่ง ผู้โชคดีเกือบทั้งหมด คุณตาเจ้าหน้าที่นิสสันได้มารวมตัวกัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเริ่มรู้จักกัน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทัวร์และไกด์คนเก่งของเรา คุณจ้าน
คงเพราะเหตุป่วนในยุโรปยังไม่จางหาย การขอวีซ่าจึงอาจจะมีความยุ่งยาก ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการ
ผิดพลาด จึงต้องมีการเตี๊ยมที่จะตอบคำถามกัน โดยให้ทุกคนแม่นในแผนการเดินทาง ระยะเวลา
การพำนักพักพิง ต้องชัดเจน!
ต้องขอบคุณนิสสันที่ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและความเป็นมืออาชีพของออสก้าทัวร์ที่เตรียมเอกสารและชี้แจงวิธีการ ทำให้การทำวีซ่า
ผ่านไปได้ด้วยดี ทันการเดินทางวันที่ 1 พค 59 วันของคนชนชั้นแรงงาน...
วันเดินทาง:
กำหนดนัดหมายชั้นสี่ เคาเตอร์การบินไทยเวลาสองทุมครึ่ง โดยให้ใส่เลื้อยืดNissan สีดำพร้อมลากกระเป๋า
เดินทางใบเล็กที่นิสสันแจกให้ (อีกแล้ว)ไปด้วย สำหรับการถ่ายรูปก่อนเช็คอิน
สามทุ่มผู้โชคดีทั้งหมดเริ่มทะยอยมา รวมทั้งออสก้าทัวร์ การถ่ายรูปก็เริ่มขึ้น โดยเลือกมุมเล็กๆหน้าประตูกางแบล็คดรอป
โลโก้ Nissan UEFA หลายท่าทางผู้พวกเราผู้โชคดีได้ถูกบันทึกลงบนกล้องและโทรศัพท์หลายเครื่อง การถ่ายทำทำกันอย่างรีบเร่ง อารมณ์เหมือนแอบถ่ายรูปในพื้นที่ต้องห้าม ก่อนที่ยามจะเดินมาจะมา..5555.สนุกตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว
การเช็คอินผ่านพิธีการตรวจขาออกคงเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด เพราะมีช่องอัตโนมัติที่ใช้เพียงพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน
นิ้วมือและใบหน้าของเราเท่านั้น ปัญหาเล็กน้อยคือ ใครที่ผ่านการเดินทางมาเยอะ แล้วเอาพาสปอร์ตเก่ามามัดรวมจะยัดช่องสแกนไม่ได้ ต้องถึงกับรื้อวุ่นวายเลยทีเดียว
เรามีเวลาเกือบสองชั่วโมงใน Duty free พี่จ้านไกด์ของเราแนะนำ เราสามารถขอส่วนลดจากคิงส์เพาเวอร์ได้
หลังจากออกมาจากช่องตรวจสแกนขั้นสุดท้าย จะมีเคาท์เตอร์สมัครของคิงส์เพาเวอร์ซ้ายมือ (ข้างในก็มีหลายเคาท์เตอร์)
โดยคูปองที่ได้จะลด 20% ต่อใบเสร็จแต่ต้องใช้วันนั้นเลย ผมเลยได้ของสั่งซื้อที่ขาออกนี่ล่ะ
TG920 BKK-FRA 23:45-6:00 โดยAir bus A380ปลาวาฬลำใหญ่ ซึ่งนิสสันได้จองที่นั่งพิเศษสำหรับเรา
คือ Economy ชั้นสองของเครื่องติดกับ โซน Business class ที่ว่าพิเศษคือมีแอร์ดูแลโดยเฉพาะในกลุ่ม56ที่นั่ง
นี้โดยเฉพาะ การเสริฟอาหารเครื่องดื่มจึงรวดเร็วกว่าชั้นล่าง ห้องน้ำก็จะสะดวกเพราะมีคนเข้าน้อยกว่า
เวลาเครื่องลงก็จะรูสึกนิ่มสบายกว่าชั้นล่าง และสำคัญ ลงจากเครื่องได้เร็วกว่าเพราะเราลงต่อจากผู้โดยสารชั้นตังค์เยอะ
นั่นเอง
ณ.แฟรงค์เฟิส
11 ชั่วโมง กับการเดินทาง ก่อนลง กับตันได้แจ้งเวลาและอุณหภูมิภาคพื้น ที่นี่เวลาช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง อุณหภูมิ9-10องศานั้น.....ต่างกับไทยขณะนั้นมาก 42 องศา!!!
พิธีการขาเข้านั้นสำหรับผมไม่ยุ่งยาก เพราะคุณจ้านนำทีมแจ้งเจ้าหน้าที่ตม.เบิกทาง ก่อนที่พวกเราจะเข้าไป
ออกมาจากสนามบินสูดอากาศสลัดความร้อนจากเมืองไทยออก เสื้อกันหนาวที่พกมาได้ใช้ในยามนี้ เราเดินจากสนามบินไปยังที่จอดรถ ซึ่งมีรถบัสคันโต !! จอดรอเราอยู่แล้ว เก็บสัมภาระขึ้นรถเราก็เดินทางออกนอกเมืองมุ่งหน้าไปยังเมืองบาด ฮอมบวร์ก ตามโปรแกรม
เส้นทางผ่านทางด่วน ซึ่งได้รับความรู้จากคุณจ้านไกด์ของเราว่า ความเน็วที่เห็นนั้นเป็นความเร็วขั้นต่ำที่ต้องใช้ในแต่ละเลน 120คือต้องวิ่งไม่ต่ำกว่า 120เพื่อให้การระบายรถเป็นไปอย่างรวดเร็ว นี่ซิถึงจะเป็นทางด่วน ผิดกับทางด่วนบ้านเราที่เขียน 80 แต่วิ่ง 120 แล้วถูกกล้องส่อง....ด่วนตรงไหน!!!
สองข้างทางสู่เมืองบาด ฮอมบวร์ก เต็มไปด้วยทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองสดสุดลูกหูลูกตา สลับผืนหญ้าสีเขียวดูสวยงามมาก ทราบจากไกด์เราว่าที่เรียกเช่นนี้เพราะมันนำมาสกัดเป็นมัสตาร์ดที่เราทานกัน มาหาข้อมูลภายหลังว่ามันเป็นพืชเมืองหนาวมี่อุดมไปด้วยวิตามินเอสูงมาก ปัจจุบันจีน อินเดียเริ่มเอามาปลูกกันอย่างแพร่หลาย
ครึ่งชั่วโมงรถเราได้นำเรามาสู่เมืองบาด ฮอมบวร์ก เป็นเมืองเล็กๆ ดูสงบไม่วุ่นวาย ถนนหนทางก็เป็นเลนสวนขนาดรถสองคันสวนพอดีพอดี รถมาจอดสวนสาธารณะในเมือง ให้เราได้ลงเดินชม เป็นสวนยามเช้าที่เงียบสงบ นานๆจะมีคนวิ่ง เดินผ่านเพื่อออกกำลังกาย คุณจ้านพาชมที่ศาลาทรงไทยแห่งแรกของยุโรปถึงสององค์ ตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
พาชมน้ำแร่พี่มีชื่อเสียงทางด้านรักษาโรค ซึ่งราชวงศ์ของไทยมาใช้รักษา ณ.เมืองแห่งนี้หลายพระองค์ มีโอกาสได้ชิมน้ำแร่แห่งนี้มีรสเค็มซ่าๆคล้ายผสมโซดา อาหารเช้าเป็นข้าวเหนียวหมูรสเด็ดจากไทย ในสวนสวยสงบแห่งนี้..
เที่ยงอิ่มอร่อยที่ร้านอาหารไทย Bangkok Thai restaurant ร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 42 ปี ขอบอกรสชาติถึงเครื่องมาก นิสสันจัดให้เหลือเฟือจนต้องห่อกลับ!
หลังอิ่มหนำสำราญ รถได้พาเรามาลงเดินเล่นแถวจตุรัสโรเมอร์ ซึ่งมีลานโล่งล้อมรอบอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ที่ยังคงรักษาไว้เป็นอย่างดี มีเทพธิดาแห่งความยุติธรรมชื่อจัสทิเตียยืน มือถือตราชั่งกับดาบยืนโดดเด่น ณ.กลางลาน มาทริปดูบอลเราก็ไม่ควรจะพลาดการชม ช๊อบของที่ระลึกทีมฟุตบอลของเมืองนี้ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต (Eintracht Frankfurt)ซึ่งเดินห่างออกไปไม่ไหลจากจตุรัสมากนัก
ณ.จุดๆนี้ ..เราได้ตะลึงกับสินค้าที่เป็นของที่ระลึก เสื้อ แก้ว หมวก พวงกุญแจพอเข้าใจได้ แต่เขียงติดตราสโมสรไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต นี่ซิ! มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากไปนิด555....
เห็นกับของถูกแม้นสโมสรไม่ดัง....พวกเราสอยกันไม่น้อยเช่นกัน ...จัดไป!
เราก็กลับที่พักทีโรงแรม Radisson Blue ห่างออกไปนอกเมืองเล็กน้อย นิสสันจัดให้พักเดี่ยวคนละห้องสบายๆ
เก็บสัมภาระครู่ใหญ่เราก็กลับมาที่จตุรัสโรเมอร์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เราจะไปเดินซื้อของกันโดยมีเวลาสองชั่วโมง ก่อนอาหารเย็น
ทุ่มครึ่งที่ตะวันยังอยู่เหนือศีรษะ เราก็มารวมพลที่จตุรัสโรเมอร์อีกครั้งเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่
เป็นร้านที่อยู่รายล้อมในจตุรัสนั่นเอง
มื้อนี้เราจะได้กินขาหมูเยอรมันที่เป็นเจ้าตำนาน และลิ้มรสเบียร์เยอรมันที่ว่าถูกกว่าน้ำกัน
ขอบอก...นิสสันจัดให้คนละชุด ขนมปัง ซุป สลัด และขาหมูคนละขาขนาดย่อมๆ
ถ้าเรางดข้าวมื้อกลางวันเราคงทานกันหมดแน่นอน
ขาหมูเยอรมัน....หนังไม่กรอบอย่างที่คิด เน้นเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอส ซึ่งทำให้หนังหมูที่ทอดมาเล็กน้อยชุ่มฉ่ำ ในจานมีมันฝรั่งและผักดองรสเปรี้ยวแหลม
ทานได้คำสองคำก็เป็นอันวางมีด เพราะความเลี่ยนเริ่มมาเยือน...คุณจ้านคิดไว้แล้วว่าอาจไม่ถูกปากเรา จึงได้เตรียมน้ำจิ้มรสแซบจากไทย
ไปช่วยเพิ่มรสชาติ แต่เราก็ยอมแพ้ปริมาณในที่สุด ...กุ๊กที่ทำคงเสียใจไม่น้อยอาหารอันเลื่องชื่อทำสุดฝีมือของเขา....เหลือเต็มโต๊ะ!!!
(ขออภัยที่ไม่มีรูป เพราะแบตหมด...ตามดูได้จากการรีวิวของเพื่อนสมาชิกที่ไปด้วยกันนะครับ)
ตอนนี้ขอเวลาดื่มเบียร์ให้หนำใจก่อน ...แล้วเจอกันในการท่องเที่ยววันถัดไปครับ
[SR] ทัวร์ดูบอล UEFA Champion League รอบ Semi-Final กับ Nissan
เสียงเฮลั่นอ๊อฟฟิต เพราะเป็นความไม่คาดคิดระคนดีใจแบบบอกไม่ถูก
เพราะชีวิตห่างไกลกับการจับรางวัลมากมาย...
ได้รับการบอกกล่าวและรวมกลุ่ม Line กับผู้โชคดีท่านอื่นๆ ทำให้เราได้เริ่มรู้จักพูดคุยกันตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า
เป็นความโชคดีที่นิสสันให้พวกเราเลือกว่าจะไปดูบอลแมตช์ไหน
ระหว่างมิวนิค หรือมาดริด ประเทศสเปน
คำตอบไม่ต้องเดา เพราะพวกเราเลือกไปดูคู่ดัง Real Madrid กับ Manchester city ที่สนาม Estadio Santiago Bernabeu
เวลากระชั้นชิดมาก การนั้ดหมายทำวีซ่าจึงต้องรีบดำเนินการ...
พบหน้าครั้งแรก
21 เมษายน 59: หน้าสถานฑูตตอน 9โมงครึ่ง ผู้โชคดีเกือบทั้งหมด คุณตาเจ้าหน้าที่นิสสันได้มารวมตัวกัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเริ่มรู้จักกัน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทัวร์และไกด์คนเก่งของเรา คุณจ้าน
คงเพราะเหตุป่วนในยุโรปยังไม่จางหาย การขอวีซ่าจึงอาจจะมีความยุ่งยาก ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการ
ผิดพลาด จึงต้องมีการเตี๊ยมที่จะตอบคำถามกัน โดยให้ทุกคนแม่นในแผนการเดินทาง ระยะเวลา
การพำนักพักพิง ต้องชัดเจน!
ต้องขอบคุณนิสสันที่ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและความเป็นมืออาชีพของออสก้าทัวร์ที่เตรียมเอกสารและชี้แจงวิธีการ ทำให้การทำวีซ่า
ผ่านไปได้ด้วยดี ทันการเดินทางวันที่ 1 พค 59 วันของคนชนชั้นแรงงาน...
วันเดินทาง:
กำหนดนัดหมายชั้นสี่ เคาเตอร์การบินไทยเวลาสองทุมครึ่ง โดยให้ใส่เลื้อยืดNissan สีดำพร้อมลากกระเป๋า
เดินทางใบเล็กที่นิสสันแจกให้ (อีกแล้ว)ไปด้วย สำหรับการถ่ายรูปก่อนเช็คอิน
สามทุ่มผู้โชคดีทั้งหมดเริ่มทะยอยมา รวมทั้งออสก้าทัวร์ การถ่ายรูปก็เริ่มขึ้น โดยเลือกมุมเล็กๆหน้าประตูกางแบล็คดรอป
โลโก้ Nissan UEFA หลายท่าทางผู้พวกเราผู้โชคดีได้ถูกบันทึกลงบนกล้องและโทรศัพท์หลายเครื่อง การถ่ายทำทำกันอย่างรีบเร่ง อารมณ์เหมือนแอบถ่ายรูปในพื้นที่ต้องห้าม ก่อนที่ยามจะเดินมาจะมา..5555.สนุกตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว
การเช็คอินผ่านพิธีการตรวจขาออกคงเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด เพราะมีช่องอัตโนมัติที่ใช้เพียงพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน
นิ้วมือและใบหน้าของเราเท่านั้น ปัญหาเล็กน้อยคือ ใครที่ผ่านการเดินทางมาเยอะ แล้วเอาพาสปอร์ตเก่ามามัดรวมจะยัดช่องสแกนไม่ได้ ต้องถึงกับรื้อวุ่นวายเลยทีเดียว
เรามีเวลาเกือบสองชั่วโมงใน Duty free พี่จ้านไกด์ของเราแนะนำ เราสามารถขอส่วนลดจากคิงส์เพาเวอร์ได้
หลังจากออกมาจากช่องตรวจสแกนขั้นสุดท้าย จะมีเคาท์เตอร์สมัครของคิงส์เพาเวอร์ซ้ายมือ (ข้างในก็มีหลายเคาท์เตอร์)
โดยคูปองที่ได้จะลด 20% ต่อใบเสร็จแต่ต้องใช้วันนั้นเลย ผมเลยได้ของสั่งซื้อที่ขาออกนี่ล่ะ
TG920 BKK-FRA 23:45-6:00 โดยAir bus A380ปลาวาฬลำใหญ่ ซึ่งนิสสันได้จองที่นั่งพิเศษสำหรับเรา
คือ Economy ชั้นสองของเครื่องติดกับ โซน Business class ที่ว่าพิเศษคือมีแอร์ดูแลโดยเฉพาะในกลุ่ม56ที่นั่ง
นี้โดยเฉพาะ การเสริฟอาหารเครื่องดื่มจึงรวดเร็วกว่าชั้นล่าง ห้องน้ำก็จะสะดวกเพราะมีคนเข้าน้อยกว่า
เวลาเครื่องลงก็จะรูสึกนิ่มสบายกว่าชั้นล่าง และสำคัญ ลงจากเครื่องได้เร็วกว่าเพราะเราลงต่อจากผู้โดยสารชั้นตังค์เยอะ
นั่นเอง
ณ.แฟรงค์เฟิส
11 ชั่วโมง กับการเดินทาง ก่อนลง กับตันได้แจ้งเวลาและอุณหภูมิภาคพื้น ที่นี่เวลาช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง อุณหภูมิ9-10องศานั้น.....ต่างกับไทยขณะนั้นมาก 42 องศา!!!
พิธีการขาเข้านั้นสำหรับผมไม่ยุ่งยาก เพราะคุณจ้านนำทีมแจ้งเจ้าหน้าที่ตม.เบิกทาง ก่อนที่พวกเราจะเข้าไป
ออกมาจากสนามบินสูดอากาศสลัดความร้อนจากเมืองไทยออก เสื้อกันหนาวที่พกมาได้ใช้ในยามนี้ เราเดินจากสนามบินไปยังที่จอดรถ ซึ่งมีรถบัสคันโต !! จอดรอเราอยู่แล้ว เก็บสัมภาระขึ้นรถเราก็เดินทางออกนอกเมืองมุ่งหน้าไปยังเมืองบาด ฮอมบวร์ก ตามโปรแกรม
เส้นทางผ่านทางด่วน ซึ่งได้รับความรู้จากคุณจ้านไกด์ของเราว่า ความเน็วที่เห็นนั้นเป็นความเร็วขั้นต่ำที่ต้องใช้ในแต่ละเลน 120คือต้องวิ่งไม่ต่ำกว่า 120เพื่อให้การระบายรถเป็นไปอย่างรวดเร็ว นี่ซิถึงจะเป็นทางด่วน ผิดกับทางด่วนบ้านเราที่เขียน 80 แต่วิ่ง 120 แล้วถูกกล้องส่อง....ด่วนตรงไหน!!!
สองข้างทางสู่เมืองบาด ฮอมบวร์ก เต็มไปด้วยทุ่งดอกมัสตาร์ดสีเหลืองสดสุดลูกหูลูกตา สลับผืนหญ้าสีเขียวดูสวยงามมาก ทราบจากไกด์เราว่าที่เรียกเช่นนี้เพราะมันนำมาสกัดเป็นมัสตาร์ดที่เราทานกัน มาหาข้อมูลภายหลังว่ามันเป็นพืชเมืองหนาวมี่อุดมไปด้วยวิตามินเอสูงมาก ปัจจุบันจีน อินเดียเริ่มเอามาปลูกกันอย่างแพร่หลาย
ครึ่งชั่วโมงรถเราได้นำเรามาสู่เมืองบาด ฮอมบวร์ก เป็นเมืองเล็กๆ ดูสงบไม่วุ่นวาย ถนนหนทางก็เป็นเลนสวนขนาดรถสองคันสวนพอดีพอดี รถมาจอดสวนสาธารณะในเมือง ให้เราได้ลงเดินชม เป็นสวนยามเช้าที่เงียบสงบ นานๆจะมีคนวิ่ง เดินผ่านเพื่อออกกำลังกาย คุณจ้านพาชมที่ศาลาทรงไทยแห่งแรกของยุโรปถึงสององค์ ตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
พาชมน้ำแร่พี่มีชื่อเสียงทางด้านรักษาโรค ซึ่งราชวงศ์ของไทยมาใช้รักษา ณ.เมืองแห่งนี้หลายพระองค์ มีโอกาสได้ชิมน้ำแร่แห่งนี้มีรสเค็มซ่าๆคล้ายผสมโซดา อาหารเช้าเป็นข้าวเหนียวหมูรสเด็ดจากไทย ในสวนสวยสงบแห่งนี้..
เที่ยงอิ่มอร่อยที่ร้านอาหารไทย Bangkok Thai restaurant ร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 42 ปี ขอบอกรสชาติถึงเครื่องมาก นิสสันจัดให้เหลือเฟือจนต้องห่อกลับ!
หลังอิ่มหนำสำราญ รถได้พาเรามาลงเดินเล่นแถวจตุรัสโรเมอร์ ซึ่งมีลานโล่งล้อมรอบอาคารที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ที่ยังคงรักษาไว้เป็นอย่างดี มีเทพธิดาแห่งความยุติธรรมชื่อจัสทิเตียยืน มือถือตราชั่งกับดาบยืนโดดเด่น ณ.กลางลาน มาทริปดูบอลเราก็ไม่ควรจะพลาดการชม ช๊อบของที่ระลึกทีมฟุตบอลของเมืองนี้ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต (Eintracht Frankfurt)ซึ่งเดินห่างออกไปไม่ไหลจากจตุรัสมากนัก
ณ.จุดๆนี้ ..เราได้ตะลึงกับสินค้าที่เป็นของที่ระลึก เสื้อ แก้ว หมวก พวงกุญแจพอเข้าใจได้ แต่เขียงติดตราสโมสรไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต นี่ซิ! มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากไปนิด555....
เห็นกับของถูกแม้นสโมสรไม่ดัง....พวกเราสอยกันไม่น้อยเช่นกัน ...จัดไป!
เราก็กลับที่พักทีโรงแรม Radisson Blue ห่างออกไปนอกเมืองเล็กน้อย นิสสันจัดให้พักเดี่ยวคนละห้องสบายๆ
เก็บสัมภาระครู่ใหญ่เราก็กลับมาที่จตุรัสโรเมอร์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เราจะไปเดินซื้อของกันโดยมีเวลาสองชั่วโมง ก่อนอาหารเย็น
ทุ่มครึ่งที่ตะวันยังอยู่เหนือศีรษะ เราก็มารวมพลที่จตุรัสโรเมอร์อีกครั้งเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่
เป็นร้านที่อยู่รายล้อมในจตุรัสนั่นเอง
มื้อนี้เราจะได้กินขาหมูเยอรมันที่เป็นเจ้าตำนาน และลิ้มรสเบียร์เยอรมันที่ว่าถูกกว่าน้ำกัน
ขอบอก...นิสสันจัดให้คนละชุด ขนมปัง ซุป สลัด และขาหมูคนละขาขนาดย่อมๆ
ถ้าเรางดข้าวมื้อกลางวันเราคงทานกันหมดแน่นอน
ขาหมูเยอรมัน....หนังไม่กรอบอย่างที่คิด เน้นเนื้อนุ่ม ราดด้วยซอส ซึ่งทำให้หนังหมูที่ทอดมาเล็กน้อยชุ่มฉ่ำ ในจานมีมันฝรั่งและผักดองรสเปรี้ยวแหลม
ทานได้คำสองคำก็เป็นอันวางมีด เพราะความเลี่ยนเริ่มมาเยือน...คุณจ้านคิดไว้แล้วว่าอาจไม่ถูกปากเรา จึงได้เตรียมน้ำจิ้มรสแซบจากไทย
ไปช่วยเพิ่มรสชาติ แต่เราก็ยอมแพ้ปริมาณในที่สุด ...กุ๊กที่ทำคงเสียใจไม่น้อยอาหารอันเลื่องชื่อทำสุดฝีมือของเขา....เหลือเต็มโต๊ะ!!!
(ขออภัยที่ไม่มีรูป เพราะแบตหมด...ตามดูได้จากการรีวิวของเพื่อนสมาชิกที่ไปด้วยกันนะครับ)
ตอนนี้ขอเวลาดื่มเบียร์ให้หนำใจก่อน ...แล้วเจอกันในการท่องเที่ยววันถัดไปครับ