สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี
สมัยนั้น อเจลกชื่อปาฏิกบุตร อาศัยอยู่ที่วัชชีคาม เขตเมืองเวสาลี เป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ
เขากล่าววาจาในบริษัทที่เมืองเวสาลีว่า
แม้พระสมณโคดมก็เป็นญาณวาท แม้เราก็เป็นญาณวาท
ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์กับผู้ที่เป็นญาณวาท
พระสมณโคดมพึงเสด็จไปกึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น
แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์
ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง
ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง
ถ้าสมณโคดมจักทรงกระทำ ๔ อย่าง เราจักกระทำ ๘ อย่าง
พระสมณโคดมจักทรงกระทำเท่าใดๆ เราก็จักกระทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณๆ
พระองค์ตรัสว่า หากเขาไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นพระองค์ได้
แม้ถ้าเขาคิดว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ศีรษะเขาก็จะแตกออก
แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า หลังจากบิณฑบาตที่เมืองเวสาลีแล้ว จะเสด็จไปยังอารามของเขาเพื่อพักผ่อนกลางวัน
อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อทราบข่าวนี้ ก็เกิดอาการหวาดกลัวอย่างหนัก รีบหนีไปหลบที่อารามของปริพาชกคนหนึ่ง
มีคนไปตามเขาออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมออกมา คนนั้นพูดกับเขาว่า
ท่านปาฏิกบุตร ไฉนท่านจึงเป็นอย่างนี้
ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพกของท่าน
ท่านกล่าวว่า เราจะไปๆ แต่กลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้
ดูกรท่านปาฏิกบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คือพญาสีหมิคราชได้คิดอย่างนี้ว่า
ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ แล้วออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง จึงเที่ยวไปหากิน
เราต้องฆ่าหมูเนื้อตัวล่ำสันกินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ แล้วกลับมาซ่อนตัวอยู่ตามเคย
ครั้งนั้น พญาสีหมิคราชนั้น จึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เที่ยวไปหากิน
มันฆ่าหมูเนื้อตัวล่ำสัน กินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ แล้วกลับมาซ่อนอยู่ตามเคย
ท่านปาฏิกบุตร มีสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง กินเนื้อที่เป็นแดนของพญาสีหมิคราชตัวนั้น แล้วก็เจริญอ้วนท้วนมีกำลัง
ต่อมา สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้นจึงเกิดความคิดว่า เราคือใคร พญาสีหมิคราชคือใคร
ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เที่ยวไปหากิน
เราต้องฆ่าหมูเนื้อตัวล่ำสันกินเนื้ออ่อนนุ่มๆ แล้วก็กลับมาซ่อนอยู่ตามเคย
ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้นอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วคิดว่า เราจักบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง
แต่กลับบันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกอย่างน่ากลัวน่าเกลียด
สุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร และการบันลือของสีหะเป็นอย่างไร
สุนัขจิ้งจอกเข้าใจว่า ตนเป็นสีหะ
จึงได้ถือตัวว่าเป็นมิคราช
มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น
สุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร
การบันลือของสีหะเป็นอย่างไร ฯ
ดูกรท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคต
บริโภคอาหารที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร
สุนัขจิ้งจอกจ้องดูเงาของตนซึ่งปรากฏในน้ำ
ที่บ่อไม่เห็นตนตามความเป็นจริง จึงถือตัวว่า
เป็นสีหะ มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่น
นั้น เสียงสุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร
การบันลือของสีหะเป็นอย่างไร ฯ
แม้ถ้าพวกเจ้าลิจฉวีจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
พวกเราจะเอาเชือกมัดอเจลกชื่อปาฏิกบุตรแล้วจึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่
เชือกเหล่านั้นหรืออเจลกชื่อปาฏิกบุตรพึงขาดออก
สุนัขจิ้งจอกกินกบ (ตามบ่อ) และหนูตามลาน
ข้าว ซากศพที่ทิ้งตามป่าช้า จึงอ้วนพีอยู่ตาม
ป่าใหญ่ ตามป่าที่ว่างเปล่า จึงได้ถือตัวว่าเป็น
มิคราช มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น
สุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร การบันลือ
ของสีหะเป็นอย่างไร ฯ
เมื่อเห็นว่าอเจลกชื่อปาฏิกบุตรไม่ยอมออกมาแน่แล้ว จึงกลับไปเล่าให้บริษัทเหล่านั้นฟัง
ครั้นแล้วพระองค์จึงทรงแสดงธรรมแก่บริษัทเหล่านั้นด้วยพระธรรมเทศนา มีสัตว์ประมาณ ๘๔,๐๐๐ บรรลุธรรม
----------------
อ่านทั้งพระสูตร ====>>
ปาฏิกสูตร
สุนัขจิ้งจอกแก่ กินอาหารที่เป็นเดนพระสุคต รุกรานพระสุคต กลับเข้าใจว่าตนคือสีหะ ย่อมไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับความจริง
สมัยนั้น อเจลกชื่อปาฏิกบุตร อาศัยอยู่ที่วัชชีคาม เขตเมืองเวสาลี เป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ
เขากล่าววาจาในบริษัทที่เมืองเวสาลีว่า
แม้พระสมณโคดมก็เป็นญาณวาท แม้เราก็เป็นญาณวาท
ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์กับผู้ที่เป็นญาณวาท
พระสมณโคดมพึงเสด็จไปกึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น
แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์
ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง
ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง
ถ้าสมณโคดมจักทรงกระทำ ๔ อย่าง เราจักกระทำ ๘ อย่าง
พระสมณโคดมจักทรงกระทำเท่าใดๆ เราก็จักกระทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณๆ
พระองค์ตรัสว่า หากเขาไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นพระองค์ได้
แม้ถ้าเขาคิดว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ศีรษะเขาก็จะแตกออก
แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า หลังจากบิณฑบาตที่เมืองเวสาลีแล้ว จะเสด็จไปยังอารามของเขาเพื่อพักผ่อนกลางวัน
อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อทราบข่าวนี้ ก็เกิดอาการหวาดกลัวอย่างหนัก รีบหนีไปหลบที่อารามของปริพาชกคนหนึ่ง
มีคนไปตามเขาออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมออกมา คนนั้นพูดกับเขาว่า
ท่านปาฏิกบุตร ไฉนท่านจึงเป็นอย่างนี้
ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพกของท่าน
ท่านกล่าวว่า เราจะไปๆ แต่กลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้
ดูกรท่านปาฏิกบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คือพญาสีหมิคราชได้คิดอย่างนี้ว่า
ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ แล้วออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง จึงเที่ยวไปหากิน
เราต้องฆ่าหมูเนื้อตัวล่ำสันกินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ แล้วกลับมาซ่อนตัวอยู่ตามเคย
ครั้งนั้น พญาสีหมิคราชนั้น จึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เที่ยวไปหากิน
มันฆ่าหมูเนื้อตัวล่ำสัน กินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ แล้วกลับมาซ่อนอยู่ตามเคย
ท่านปาฏิกบุตร มีสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง กินเนื้อที่เป็นแดนของพญาสีหมิคราชตัวนั้น แล้วก็เจริญอ้วนท้วนมีกำลัง
ต่อมา สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้นจึงเกิดความคิดว่า เราคือใคร พญาสีหมิคราชคือใคร
ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เที่ยวไปหากิน
เราต้องฆ่าหมูเนื้อตัวล่ำสันกินเนื้ออ่อนนุ่มๆ แล้วก็กลับมาซ่อนอยู่ตามเคย
ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้นอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น
ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วคิดว่า เราจักบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง
แต่กลับบันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกอย่างน่ากลัวน่าเกลียด
สุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร และการบันลือของสีหะเป็นอย่างไร
สุนัขจิ้งจอกเข้าใจว่า ตนเป็นสีหะ
จึงได้ถือตัวว่าเป็นมิคราช
มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น
สุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร
การบันลือของสีหะเป็นอย่างไร ฯ
ดูกรท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคต
บริโภคอาหารที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร
สุนัขจิ้งจอกจ้องดูเงาของตนซึ่งปรากฏในน้ำ
ที่บ่อไม่เห็นตนตามความเป็นจริง จึงถือตัวว่า
เป็นสีหะ มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่น
นั้น เสียงสุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร
การบันลือของสีหะเป็นอย่างไร ฯ
แม้ถ้าพวกเจ้าลิจฉวีจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
พวกเราจะเอาเชือกมัดอเจลกชื่อปาฏิกบุตรแล้วจึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่
เชือกเหล่านั้นหรืออเจลกชื่อปาฏิกบุตรพึงขาดออก
สุนัขจิ้งจอกกินกบ (ตามบ่อ) และหนูตามลาน
ข้าว ซากศพที่ทิ้งตามป่าช้า จึงอ้วนพีอยู่ตาม
ป่าใหญ่ ตามป่าที่ว่างเปล่า จึงได้ถือตัวว่าเป็น
มิคราช มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น
สุนัขจิ้งจอกตัวลามกเป็นอย่างไร การบันลือ
ของสีหะเป็นอย่างไร ฯ
เมื่อเห็นว่าอเจลกชื่อปาฏิกบุตรไม่ยอมออกมาแน่แล้ว จึงกลับไปเล่าให้บริษัทเหล่านั้นฟัง
ครั้นแล้วพระองค์จึงทรงแสดงธรรมแก่บริษัทเหล่านั้นด้วยพระธรรมเทศนา มีสัตว์ประมาณ ๘๔,๐๐๐ บรรลุธรรม
----------------
อ่านทั้งพระสูตร ====>> ปาฏิกสูตร