กายก้อนนี้...เป็นของชั่วคราว
http://dhamma001.blogspot.com/2016/05/blog-post.html
ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่
อันนี้หลายคนก็รู้อยู่แล้ว เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายของเราต้องดับลง ร่างกายหรือก้อนเนื้อก้อนนี้จะหาประโยชน์ได้ยากอย่างยิ่ง เราลองมาดูกระบวนการดับของธาตุต่าง ๆ ในร่างกายกันดูนะ
๑. เริ่มจากธาตุลม คือธาตุลมจะดับก่อนอันดับแรก
เมื่อธาตุลมดับร่างกายทุกส่วนก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะธาตุลมนี่เองที่เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวได้สะดวก ลองสังเกตคนที่เป็นอัมพฤกอัมพาธเราจะเห็นได้ว่าสาเหตส่วนใหญ่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเลือดลมในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก เพราะฉะนั้นเมื่อธาตุลมดับชีวิตก็จบไปด้วยพร้อม ๆ กัน ร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็แข็งทื่อไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เกลื่อนอยู่ในป่า
๒. เมื่อธาตุลมดับ ธาตุไฟก็ดับตามด้วย ธาตุไฟนี้ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ให้มีความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป ช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไปย่อยได้ง่าย เมื่อธาตุไฟนี้ดับเสียแล้ว กายที่เคยอบอุ่นกลับเย็นยะเยือก ผิวที่เคยมีสีแดงอมชมพูกลับกลายเป็นซีดจาง จนไม่น่าดูน่ามองเลย ต่อให้รักกันขนาดไหนถ้าผิวซีดเป็นศพอย่างนี้ก็...นะ
๓.เมื่อลมไฟดับไปแล้ว ธาตุน้ำในร่างกายก็จะเสีย ตั้งแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำดี หรือสารพัดน้ำในร่างกายก็จะค่อย ๆ มีกลิ่นเหม็นก่อให้เกิดเป็นแก๊สขึ้นภายในร่างกาย ส่งผลให้ตัวพองขึ้นอืด จากแต่เดิมหุ่นจะเพียวลมขนาดไหนก็ตาม เมื่อตายแล้วก็อืดทั้งนั้น เพราะแก๊สอย่างที่บอกนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีอาการตึงไปทั้งตัว เมื่อตึงก็ต้องมีทางระบายถ้าไม่ระบายก็จะระเบิดเหมือนลูกโป่ง แต่โชคดีที่ร่างกายของมนุษย์ได้ถูกออกแบบมาอย่างดี มีทางระบายถึงเก้าทางด้วยกันหรือที่เรียกว่าทวารทั้งเก้า มีตา หู จมูก ปาก เป็นต้น น้ำเหลืองหรือน้ำเสียก็ไหลทะลักออกทางทวารทั้งเก้านี้จนหมดตัว
๔. สุดท้ายก็จะเหลือแต่ธาตุดิน ที่มีแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น และกระดูก เท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป ธาตุดินเหล่านี้ก็จะย่อยสลายกลายเป็นดินตามชื่อของธาตุนั่นเอง
เราจะเห็นได้ว่าร่างกายของเรานี้ถ้ามองกันให้ชัด ๆ กันแล้วไม่มีอะไรเลยที่น่าไปลุ่มหลง ไม่มีอะไรเลยที่น่ายินดี ไม่มีอะไรเลยที่น่ายึดติด ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น
หลวงพ่อท่านก็บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เรามาแต่กายละเอียดเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมนั่งสมาธิกันให้มาก ๆ นะ ปล่อยวางทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียว
โดยเฉพาะการวางขันธ์ห้านี้ ถ้าวางได้ก็นิ่งได้ ถ้านิ่งได้ก็หยุดได้ ถ้าหยุดได้ก็เข้าถึงธรรมได้ ก็แค่นี้เอง ขอให้ทุกท่านจงมีความเพียรที่จะปฏิบัติธรรม และขอให้ความเพียรนั้นจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ได้โดยง่ายจงทุกประการเทอญ
ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง...เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็ตายกันหมดแล้ว บุญเท่านั้นที่เอาติดตัวไปได้
http://dhamma001.blogspot.com/2016/05/blog-post.html
ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่
อันนี้หลายคนก็รู้อยู่แล้ว เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายของเราต้องดับลง ร่างกายหรือก้อนเนื้อก้อนนี้จะหาประโยชน์ได้ยากอย่างยิ่ง เราลองมาดูกระบวนการดับของธาตุต่าง ๆ ในร่างกายกันดูนะ
๑. เริ่มจากธาตุลม คือธาตุลมจะดับก่อนอันดับแรก
เมื่อธาตุลมดับร่างกายทุกส่วนก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะธาตุลมนี่เองที่เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวได้สะดวก ลองสังเกตคนที่เป็นอัมพฤกอัมพาธเราจะเห็นได้ว่าสาเหตส่วนใหญ่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเลือดลมในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก เพราะฉะนั้นเมื่อธาตุลมดับชีวิตก็จบไปด้วยพร้อม ๆ กัน ร่างกายที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็แข็งทื่อไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เกลื่อนอยู่ในป่า
๒. เมื่อธาตุลมดับ ธาตุไฟก็ดับตามด้วย ธาตุไฟนี้ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ให้มีความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป ช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไปย่อยได้ง่าย เมื่อธาตุไฟนี้ดับเสียแล้ว กายที่เคยอบอุ่นกลับเย็นยะเยือก ผิวที่เคยมีสีแดงอมชมพูกลับกลายเป็นซีดจาง จนไม่น่าดูน่ามองเลย ต่อให้รักกันขนาดไหนถ้าผิวซีดเป็นศพอย่างนี้ก็...นะ
๓.เมื่อลมไฟดับไปแล้ว ธาตุน้ำในร่างกายก็จะเสีย ตั้งแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำดี หรือสารพัดน้ำในร่างกายก็จะค่อย ๆ มีกลิ่นเหม็นก่อให้เกิดเป็นแก๊สขึ้นภายในร่างกาย ส่งผลให้ตัวพองขึ้นอืด จากแต่เดิมหุ่นจะเพียวลมขนาดไหนก็ตาม เมื่อตายแล้วก็อืดทั้งนั้น เพราะแก๊สอย่างที่บอกนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีอาการตึงไปทั้งตัว เมื่อตึงก็ต้องมีทางระบายถ้าไม่ระบายก็จะระเบิดเหมือนลูกโป่ง แต่โชคดีที่ร่างกายของมนุษย์ได้ถูกออกแบบมาอย่างดี มีทางระบายถึงเก้าทางด้วยกันหรือที่เรียกว่าทวารทั้งเก้า มีตา หู จมูก ปาก เป็นต้น น้ำเหลืองหรือน้ำเสียก็ไหลทะลักออกทางทวารทั้งเก้านี้จนหมดตัว
๔. สุดท้ายก็จะเหลือแต่ธาตุดิน ที่มีแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น และกระดูก เท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป ธาตุดินเหล่านี้ก็จะย่อยสลายกลายเป็นดินตามชื่อของธาตุนั่นเอง
เราจะเห็นได้ว่าร่างกายของเรานี้ถ้ามองกันให้ชัด ๆ กันแล้วไม่มีอะไรเลยที่น่าไปลุ่มหลง ไม่มีอะไรเลยที่น่ายินดี ไม่มีอะไรเลยที่น่ายึดติด ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น
หลวงพ่อท่านก็บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เรามาแต่กายละเอียดเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมนั่งสมาธิกันให้มาก ๆ นะ ปล่อยวางทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียว
โดยเฉพาะการวางขันธ์ห้านี้ ถ้าวางได้ก็นิ่งได้ ถ้านิ่งได้ก็หยุดได้ ถ้าหยุดได้ก็เข้าถึงธรรมได้ ก็แค่นี้เอง ขอให้ทุกท่านจงมีความเพียรที่จะปฏิบัติธรรม และขอให้ความเพียรนั้นจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ได้โดยง่ายจงทุกประการเทอญ