สวัสดีค่ะ
เราเขียนบันทึกของหมูที่อยากแข็งแรงนี่ทุกเดือน เดือนนี้พิเศษหน่อยตรงที่ว่าเรากินมังสวิรัติมาครบครึ่งปีแล้ว เย้ เป็นครึ่งปีที่เรามีความสุขมากๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ทั้งในส่วนของเรื่องการลดความอ้วนเพื่อสุขภาพและเรื่องอาหารค่ะ หวังว่าประสบการของเราจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ
ขึ้นต้นเหมือนรายงานสมัยประถมเลย แหะๆ มาคุยกันเรื่องลดความอ้วนก่อนดีกว่าค่า **รวบรัดตัดความ สรุปการน้ำหนักของเราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้คือลดไป 25 กิโล (จาก 80 เหลือ 55 เราสูง 160 โดยสัดส่วนลดไปดังนี้
เอว33>25 ต้นแขน13>10 ต้นขา24>20 สะโพก41>34 เสื้อผ้าจากไซส์ 13 ตอนนี้ใส่ไซส์ 5-7 ค่ะ) และ 17 กิโลที่ลดไปเกิดขึ้นตอนที่เปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติค่ะ ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
กินข้าวครบทุกมื้อ ไม่อดอาหาร ไม่นับแคล ไม่ไปฟิตเนส ไม่กินอาหารเสริมอะไรทั้งนั้น ออกกำลังกายเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามปัจจัยและความสนใจขณะนั้น** เอาตัวเองมาเป็นหมูอาสาสมัครว่ากินแบบลัทธิอาหารช้างมันก็ลดน้ำหนักได้จริงๆนะ
สำหรับใครที่อยากอ่านแบบยาวๆ ต่อย่อหน้าถัดไปได้เลย
ย้อนความนิดนึง >> เมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้วเราน้ำหนัก 80กิโล แม่บอกว่าตัวเล็กกว่าปลาวาฬเพชฌฆาตนิดหน่อย เราเป็นคนอ้วนมาตั้งแต่เด็ก และเกลียดการออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน สิ่งเดียวในชีวิตที่ชอบคือการกินค่ะ การลดความอ้วน ไม่เคยมีในหัวเลย ตอนเด็กๆสมัยมัธยมนี่อ้วนนะแต่ไม่ได้โอเวอร์เวทเกินเกณฑ์อะไรมากมาย แต่พอมาอยู่มหาลัยนี่มีช่วงหนึ่งไดเอตไดอดด้วยความไม่ตั้งใจ นั่นคือ กินไม่เป็นเวลา ลืมกินบ้าง แถมกินแต่ของไม่ค่อยจะมีประโยชน์เพราะไม่ได้สนใจเรื่องโภชนาการเท่าไหร่ ช่วงนั้นเราน้ำหนักเหวี่ยงมาก ขึ้นไวและลงไว ในหนึ่งปีจะมีอิ่มเวอร์ชันเหมือนจะผอมลง(จริงๆคือโทรม) และอิ่มเวอร์ชันขึ้นอืดระยะสุดท้าย แต่พอมาเป็น OL นั่งแช่หน้าคอมแถมกินตลอด ไหนจะเริ่มแก่ระบบเผาผลาญเริ่มช้า มันเลยหยุดอยู่ที่สภาวะอืดระยะสุดท้ายทั้งปี ยี่สิบปีชีวิตที่ผ่านมา แรงบันดาลให้ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายนี่ก็ไม่ค่อยมี ผัวก็ไม่มี คนที่แอบชอบก็ไม่มี เสื้อผ้าที่อยากใส่ก็ไม่มี (จนตอนนี้ลดความอ้วนจนเสื้อผ้าเก่าๆหลวมหลุดหมด เรายังเก็บมาใส่อยู่เลยค่า เอาคลิปหนีบกระดาษหนีบๆเอา) งานที่ทำสายที่เรียนก็ไม่ได้ใช้รูปร่างหน้าตาทำมาหากินอยู่แล้วยิ่งทำให้ไม่สนใจเข้าไปใหญ่
แต่พอเริ่มแก่ตัวมา ยี่สิบปลายๆนี่แหละ อาการเจ็บๆป่วยเริ่มถามหาแล้วค่ะ แก่กว่านี้ไม่อยากจะคิด เราเป็นภูมิแพ้ แล้วก็ปวดหลังเรื้อรังมาตั้งแต่ตอนทำธีสิสยันตอนทำงาน กอเอี๊ยะคือเพื่อนสนิท พอไปหาหมอนวดหรือนักกายภาพ หรือกระทั่งปรึกษาแม่ เขาบอกว่าทางรอดทางเดียวคือลดความอ้วนซะ ช่วงนั้นมีโอกาสได้รู้จักกับพี่ที่เชียร์บอลด้วยกัน และชวนกันไปสมัครสมาชิกฟิตเนส เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหมูที่แข็งแรงของเราค่ะ
เดือนที่1
น้ำหนัก: 80
การออกกำลังกาย: ไปฟิตเนส คาร์ดิโอ้เดินบนเครื่องเดินวงรีวันละ 45 นาที เข้าคลาส 2 คลาส (จักรยานมั่ง บอดี้ปั๊มมั่ง ไม่ค่อยได้เล่นเวท ไม่รู้วิธีเล่นแมชชีนเวท)
การกิน: พี่ที่ยิมบอกว่าให้งดข้าวเย็น แต่ดื้อ ไม่งด กินสามมื้อ นับแคล เน้นกินลีนโปรตีน อกไก่ ปลาเนื้อขาว ผัก ข้าวกล้อง กินวันละ 1200-1400 แคล มีชีทเดย์อาทิตย์ละ 1 วัน ฟาดพิซซ่ามั่ง หมูทะมั่ง ตามเรื่อง
ความเปลี่ยนแปลง: น้ำหนักลงตามเป้า ประมาณ 5-7 กิโล สัดส่วน 40-33-41
เดือนที่2
น้ำหนัก: 75-76
การออกกำลังกาย: เหมือนเดือนที่ 1
การกิน: เหมือนเดือนที่ 1
ความเปลี่ยนแปลง: น้ำหนักลงตามเป้า ประมาณ 5 กิโล เหลือประมาณ 68-70 สัดส่วน 38-30-40
เดือนที่3
น้ำหนัก: 70
การออกกำลังกาย: ย้ายกลับบ้าน เลยไม่มีฟิตเนสให้ไป ออกกำลังกายตามคลิปขุ่นแม่จิลเลียน (30 day shred + 6weeks6packs)
การกิน: เริ่มค้นพบว่าการกินมังแล้วไม่ต้องนับแคลนี่สบายใจ มีแรงออกกำลังอีก โอ้ววว กินมังเกือบทุกวัน แต่ก็มีกินเนื้อบ้าง
ความเปลี่ยนแปลง: อาทิตย์แรกน้ำหนักขึ้นมา 2 กิโล เขาบอกว่าปกติของคนเล่นตามคลิปขุ่นแม่จิลเลียน เป็น 72 หลังจากนั้นคิดว่าน้ำหนักน่าจะลงเรื่อยๆนะ สาบานกับตัวเองจะไม่ชั่งบ่อยๆจดบันทึกทุกวันเหมือนสมัยไปฟิตเนส มันทำให้เราประสาทกินได้ ยิ่งวันไหนน้ำหนักเหวี่ยงขึ้นโลสองโล พี่ที่เค้าท์เตอร์จะทักว่าวันนี้กินเยอะเหรอ ฮื้มมมมมม แด*น้ำแก้วสองแก้วน้ำหนักก็ขึ้นแล้วค่ะคุณพี่ ตัวเลขน้ำหนักที่เหวี่ยงระหว่างวัน 1-2 กิโลนี่ไม่ได้บ่งชี้มวลไขมันหรือกล้ามเนื้อในร่างกายนะคะ คนที่ชั่งน้ำหนักบ่อยๆอย่าไปเครียดกับมันเนอะ สัดส่วน 36-26-38
เดือนที่4
น้ำหนัก: 62-65
การออกกำลังกาย: ทำตามคลิปเจ๊จนครบหมดแล้ว (แต่ 6w6p ทำไม่ครบตามเวลา เพราะว่าเสื่อโยคะป่นเป็นผงอย่างน่าอนาจ) เริ่มออกไปวิ่ง ช่วงแรกๆนี่แทบตาย เราเกลียดวิ่งมาก เกลียดที่สุดในบรรดาการออกกำลัง ร้อยเมตรแรกจะเป็นลม แต่ก็กัดฟันลองดูสักตั้ง วิ่งจนวิ่งวันละ 40 นาที 5-6 กิโลเมตรได้ วิ่งสัปดาห์ละ 3 วัน บอดี้เวทอยู่บ้าน วันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน
การกิน: มังสวิรัติ ไม่เนื้อสัตว์ นม ไข่ ไม่นับแคล กินตอนหิว อิ่มก็หยุด กินวันละห้าหกมื้อ กินข้าวเยอะมากกกก หนักคาร์บจากข้าว/มันฝรั่ง มากกว่าผลไม้ 10 วันแรกของเดือน เราอยากลองพิสูจน์ว่ากินคาร์บไม่อ้วน เลยจัดกินข้าวเปล่าอย่างเดียว กินวันละหม้อ บางวันไม่พอหุงเพิ่มด้วย
ความเปลี่ยนแปลง: น้ำหนักลง มีแรงออกกำลังเยอะขึ้นมากๆ เนื้อไม่ย้วยมาก ขอบคุณบอดี้เวทค่ะ! สัดส่วน 34-25-37
เดือนที่5
น้ำหนัก: 60
การออกกำลังกาย: วิ่ง บอดี้เวท เหมือนเดือนที่ 4 พักสัปดาห์ละ 2 วัน
การกิน: เหมือนเดือนที่ 4
ความเปลี่ยนแปลง: สัดส่วนเท่าเดือนที่แล้ว จริงๆตัวเท่านี้เราก็โอเคแล้ว แต่อยากให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้นอีกหน่อย
สคิปมาเดือนที่แปดเลยซึ่งก็คือ
เดือนนี้
(รูปนี้น่าจะสักช่วงมีนาเมษา ช่วงนั้นลองเล่นครอสฟิตเซอกิตแบบบ้านๆ ใช้แค่ดัมเบลกับยางรถยนต์ เราโอเคนะ แต่ช่วงนี้ร้อนเกินเลยหยุด)
สารร่างปัจจุบัน ยังมีความนุ่มย้วย แต่โนแคร์โนสน
น้ำหนัก: 55 สัดส่วนปัจจุบัน 31-25-34 ค่า นมไปไวมาก บัยม์ แต่เราไม่ค่อยมีลูซสกินหรือเนื้อย้วย ไม่มีท้องแขนกระพือได้เพราะเราเล่นบอดี้เวท+น้ำหนักค่อยๆลดช้าๆ (เฉลี่ยเดือนละ 2.8 กก.)
การออกกำลังกาย: วิ่ง ปั่นจักรยานตอนเย็น (ขึ้นเขา) เตะบอลกับเด็กแถวบ้านบ้าง(อันนี้เหมือนไม่ค่อยได้ออก เตะเสร็จชวนกินไอติม หื้ม) ดัมเบลแตกเลยไปเล่นพวกเครื่องบริหารในสวนสาธารณะแทน สนุกดีนะ
การกิน: มังสวิรัติ ไม่เนื้อ ไม่นม ไม่ไข่ เหมือนเดิมค่ะ
ความเปลี่ยนแปลง: มีความสุขกับชีวิต การกิน และการออกกำลังกาย
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตัวเองบ่อยเท่าไหร่ แต่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของเหนียงเสื้อตัวเดียวกัน
หน้ายังบาน แต่ไม่เป็นไรโนะะ นี่ก็โอเคกับเบ้าหน้าตัวเองอยู่ค่า
รูปช่วงนี้ๆ มีพุงนุ่มนิ่มและขาที่ใหญ่โตแข็งแรงค่ะ 55555 ไปว่ายน้ำทวนกระแสน้ำแบบปลาแซลมอนมา
ส่วนนี่ Personal Trainer ของเราเอง ค่าจ้างอย่างแพง
เรื่องการออกกำลังนี่เราแนะนำให้ใครไม่ได้จริงๆ งูๆปลาๆมาก เอาจริงจนป่านนี้เราก็ยังไม่ชอบการออกกำลังกายเลยค่ะ ไม่ได้หลงใหลอยากออกกำลังวันละสองสามชั่วโมง อย่างที่บอกเราไม่มีเป้าหมายด้านร่างกายใฟ้ต้องฟิต ต้องลีน ต้องมีกล้าม ไปออกทุกวันนี้ให้รู้สึกกระฉับกระเฉง รู้สึกดีเฉยๆ บอดี้เวทนี่เราถามๆพี่ชายมั่ง
และอ้างอิงจาะกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/32866091
++++++++++++++++++++++++
จบพาร์ทเรื่องการลดความอ้วน มาคุยเรื่องอาหารการกินดีกว่า ชอบคุยเรื่องอาหารมาก เราว่าเรื่องอาหารเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรามาก ทัศนคติและลำดับความสำคัญของเรื่องอาหารของคนเราไม่เหมือนกันเนอะ ของเรานี่เรื่องอาหารป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆในชีวิต จะพูดว่าเห็นแก่กินก็ได้ค่ะ 555 เมื่อก่อนเราเป็นมีทเลิฟเวอร์ค่ะ ชอบกินเนื้อวัว มีแต่คนบอกว่ากินเนื้อสัตว์ใหญ่แล้วบาป แต่เราไม่เชื่อ เราคิดว่าอาหารไม่มีสูงมีต่ำ ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเท่ากันไม่ว่าจะเป็นหมู วัว ไก่ ปลา ถ้าเราจะเลิกกินด้วยเหตุผลทางใจพวกนี้เราก็ต้องเลิกให้หมดไม่ยกเว้น ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้เรามากินมังสวิรัติคือมุมมองที่เรามีต่อชีวิตสัตว์ ส่วนตัวเราไม่เชื่อว่าการกินมังสวิรัติจะทำให้ได้บุญหรือยกระดับศีลธรรมของคนกินนะคะ คนไม่กินเนื้อไม่ได้และไม่เคยเป็นคนดีกว่าคนกินเนื้อ ตอนเรากินเนื้อหรือตอนเรากินมังเราก็ยังเป็นคนเดิม ทำงานเหมือนเดิม มีครอบครัวและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหมือนเดิม อยู่ในโลกใบเดิม ไม่ได้ไปสวรรค์แบบออโต้(แต้มบุญยังไม่ถึง) พอมองย้อนไปถึงกระบวนการที่กว่าจะได้เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่นๆจากสัตว์มา ความทรมานของสัตว์ และผลกระทบของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องจริงค่ะ เราคิดว่ามันไม่แฟร์กับสัตว์ที่มีสามารถรับรู้ความเจ็บปวดได้เหมือนเราและมีความต้องการที่จะมีชีวิตต่อไปเหมือนเรา เราไม่อยากเป็นคนที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงฆ่าสัตว์แต่สามารถกินเนื้อต่อได้หน้าตาเฉย นั่นคือปัจจัยหลักๆที่ทำให้เราเปลี่ยนมากินมังสวิรัติ และค่อยๆเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเองให้บริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ให้น้อยที่สุด เป็นความคิดเห็นและความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น เราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับเล็กๆจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่านี้ได้ แถมได้โบนัสเป็นสุขภาพที่ดีขึ้นอีกต่างหาก ใครเปลี่ยนมากินมังเพื่อสุขภาพเป็นครั้งคราวก็เก่งมากๆแล้วค่ะ
ก่อนเปลี่ยนมากินแบบนี้ สิ่งแรกที่เราทำคือศึกษาหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามตัวเองค่ะ จริงๆจะเปลี่ยนการกินไปเป็นแบบไหนก็ควรศึกษาแหละ เพราะเราอยากจะทำมันให้ได้ตลอดไปอย่างยั่งยืน มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เราเชื่อว่าการกินที่ดี ย้ำอีกครั้งว่าการกินไม่ใช่การไดเอ็ต คือการกินโดยไม่ต้องรู้สึกผิด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหาร มีความสุขและขอบคุณอาหารที่เรากินในทุกๆมื้อ ไม่ต้องมีชีทเดย์ให้เป็นรางวัลตัวเองอาทิตย์ละครั้งเดือนละครั้ง อยากให้ทุกๆมื้อคือรางวัลตัวเอง อาหารไม่ใช่การลงโทษหรือเป็นวินัย มันคือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และต้องเป็นการกินที่ทำให้เราสุขภาพกายและสุขภาพใจดีขึ้น
จนมาลงตัวที่ HCLF วีแกนนี่แหละค่ะที่ตอบโจทย์ของตัวเรา
HCLF vegan (High Carb Low Fat vegan) คือการกินอาหาร Plant based หรืออาหารจากพืชทั้งหมด โดยมีสัดส่วนสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงและสัดส่วนไขมันต่ำ เราว่าเปลี่ยนมากินมังสวิรัติทุกคนก็ไฮคาร์บอยู่แล้วล่ะค่ะ คนกินแบบ HCLF มีหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น Raw ทานแต่อาหารที่ไม่ผ่านอุณหภูมิสูงเลย, RawTill4 กิน Raw 2 มื้อ มื้อเย็นทานอาหารปรุงสุก สองมื้อแรกคาร์บมาจากน้ำตาลในผลไม้, Starch Solution กินพืชผักที่มีแป้งเป็นหลัก เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ข้าว ส่วนไขมันได้จากถั่วเมล็ดพืชต่างๆ
หน้าตาคร่าวๆของอาหารคนลดความอ้วนของเราค่ะ เมื่อก่อนมีคนบอกว่าให้ลองกินข้าวจานเล็กๆหรือใช้ส้อมจิ๋วกินจะได้กินน้อยๆ ตอนนี้เราวิวัฒนาการมากินในกะละมังแล้วค่ะ เดี๋ยวเรื่องอาหารต่อในคอมเม้นนะคะ เขียนไม่พอแล้ว เราพูดมาก
อาหารมังสวิรัติ, Veganism และการลดความอ้วนแบบมีความสุขของเราเอง
เราเขียนบันทึกของหมูที่อยากแข็งแรงนี่ทุกเดือน เดือนนี้พิเศษหน่อยตรงที่ว่าเรากินมังสวิรัติมาครบครึ่งปีแล้ว เย้ เป็นครึ่งปีที่เรามีความสุขมากๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ทั้งในส่วนของเรื่องการลดความอ้วนเพื่อสุขภาพและเรื่องอาหารค่ะ หวังว่าประสบการของเราจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ
ขึ้นต้นเหมือนรายงานสมัยประถมเลย แหะๆ มาคุยกันเรื่องลดความอ้วนก่อนดีกว่าค่า **รวบรัดตัดความ สรุปการน้ำหนักของเราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้คือลดไป 25 กิโล (จาก 80 เหลือ 55 เราสูง 160 โดยสัดส่วนลดไปดังนี้ เอว33>25 ต้นแขน13>10 ต้นขา24>20 สะโพก41>34 เสื้อผ้าจากไซส์ 13 ตอนนี้ใส่ไซส์ 5-7 ค่ะ) และ 17 กิโลที่ลดไปเกิดขึ้นตอนที่เปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติค่ะ ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน กินข้าวครบทุกมื้อ ไม่อดอาหาร ไม่นับแคล ไม่ไปฟิตเนส ไม่กินอาหารเสริมอะไรทั้งนั้น ออกกำลังกายเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามปัจจัยและความสนใจขณะนั้น** เอาตัวเองมาเป็นหมูอาสาสมัครว่ากินแบบลัทธิอาหารช้างมันก็ลดน้ำหนักได้จริงๆนะ
สำหรับใครที่อยากอ่านแบบยาวๆ ต่อย่อหน้าถัดไปได้เลย
ย้อนความนิดนึง >> เมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้วเราน้ำหนัก 80กิโล แม่บอกว่าตัวเล็กกว่าปลาวาฬเพชฌฆาตนิดหน่อย เราเป็นคนอ้วนมาตั้งแต่เด็ก และเกลียดการออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน สิ่งเดียวในชีวิตที่ชอบคือการกินค่ะ การลดความอ้วน ไม่เคยมีในหัวเลย ตอนเด็กๆสมัยมัธยมนี่อ้วนนะแต่ไม่ได้โอเวอร์เวทเกินเกณฑ์อะไรมากมาย แต่พอมาอยู่มหาลัยนี่มีช่วงหนึ่งไดเอตไดอดด้วยความไม่ตั้งใจ นั่นคือ กินไม่เป็นเวลา ลืมกินบ้าง แถมกินแต่ของไม่ค่อยจะมีประโยชน์เพราะไม่ได้สนใจเรื่องโภชนาการเท่าไหร่ ช่วงนั้นเราน้ำหนักเหวี่ยงมาก ขึ้นไวและลงไว ในหนึ่งปีจะมีอิ่มเวอร์ชันเหมือนจะผอมลง(จริงๆคือโทรม) และอิ่มเวอร์ชันขึ้นอืดระยะสุดท้าย แต่พอมาเป็น OL นั่งแช่หน้าคอมแถมกินตลอด ไหนจะเริ่มแก่ระบบเผาผลาญเริ่มช้า มันเลยหยุดอยู่ที่สภาวะอืดระยะสุดท้ายทั้งปี ยี่สิบปีชีวิตที่ผ่านมา แรงบันดาลให้ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายนี่ก็ไม่ค่อยมี ผัวก็ไม่มี คนที่แอบชอบก็ไม่มี เสื้อผ้าที่อยากใส่ก็ไม่มี (จนตอนนี้ลดความอ้วนจนเสื้อผ้าเก่าๆหลวมหลุดหมด เรายังเก็บมาใส่อยู่เลยค่า เอาคลิปหนีบกระดาษหนีบๆเอา) งานที่ทำสายที่เรียนก็ไม่ได้ใช้รูปร่างหน้าตาทำมาหากินอยู่แล้วยิ่งทำให้ไม่สนใจเข้าไปใหญ่
แต่พอเริ่มแก่ตัวมา ยี่สิบปลายๆนี่แหละ อาการเจ็บๆป่วยเริ่มถามหาแล้วค่ะ แก่กว่านี้ไม่อยากจะคิด เราเป็นภูมิแพ้ แล้วก็ปวดหลังเรื้อรังมาตั้งแต่ตอนทำธีสิสยันตอนทำงาน กอเอี๊ยะคือเพื่อนสนิท พอไปหาหมอนวดหรือนักกายภาพ หรือกระทั่งปรึกษาแม่ เขาบอกว่าทางรอดทางเดียวคือลดความอ้วนซะ ช่วงนั้นมีโอกาสได้รู้จักกับพี่ที่เชียร์บอลด้วยกัน และชวนกันไปสมัครสมาชิกฟิตเนส เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหมูที่แข็งแรงของเราค่ะ
เดือนที่1
น้ำหนัก: 80
การออกกำลังกาย: ไปฟิตเนส คาร์ดิโอ้เดินบนเครื่องเดินวงรีวันละ 45 นาที เข้าคลาส 2 คลาส (จักรยานมั่ง บอดี้ปั๊มมั่ง ไม่ค่อยได้เล่นเวท ไม่รู้วิธีเล่นแมชชีนเวท)
การกิน: พี่ที่ยิมบอกว่าให้งดข้าวเย็น แต่ดื้อ ไม่งด กินสามมื้อ นับแคล เน้นกินลีนโปรตีน อกไก่ ปลาเนื้อขาว ผัก ข้าวกล้อง กินวันละ 1200-1400 แคล มีชีทเดย์อาทิตย์ละ 1 วัน ฟาดพิซซ่ามั่ง หมูทะมั่ง ตามเรื่อง
ความเปลี่ยนแปลง: น้ำหนักลงตามเป้า ประมาณ 5-7 กิโล สัดส่วน 40-33-41
เดือนที่2
น้ำหนัก: 75-76
การออกกำลังกาย: เหมือนเดือนที่ 1
การกิน: เหมือนเดือนที่ 1
ความเปลี่ยนแปลง: น้ำหนักลงตามเป้า ประมาณ 5 กิโล เหลือประมาณ 68-70 สัดส่วน 38-30-40
เดือนที่3
น้ำหนัก: 70
การออกกำลังกาย: ย้ายกลับบ้าน เลยไม่มีฟิตเนสให้ไป ออกกำลังกายตามคลิปขุ่นแม่จิลเลียน (30 day shred + 6weeks6packs)
การกิน: เริ่มค้นพบว่าการกินมังแล้วไม่ต้องนับแคลนี่สบายใจ มีแรงออกกำลังอีก โอ้ววว กินมังเกือบทุกวัน แต่ก็มีกินเนื้อบ้าง
ความเปลี่ยนแปลง: อาทิตย์แรกน้ำหนักขึ้นมา 2 กิโล เขาบอกว่าปกติของคนเล่นตามคลิปขุ่นแม่จิลเลียน เป็น 72 หลังจากนั้นคิดว่าน้ำหนักน่าจะลงเรื่อยๆนะ สาบานกับตัวเองจะไม่ชั่งบ่อยๆจดบันทึกทุกวันเหมือนสมัยไปฟิตเนส มันทำให้เราประสาทกินได้ ยิ่งวันไหนน้ำหนักเหวี่ยงขึ้นโลสองโล พี่ที่เค้าท์เตอร์จะทักว่าวันนี้กินเยอะเหรอ ฮื้มมมมมม แด*น้ำแก้วสองแก้วน้ำหนักก็ขึ้นแล้วค่ะคุณพี่ ตัวเลขน้ำหนักที่เหวี่ยงระหว่างวัน 1-2 กิโลนี่ไม่ได้บ่งชี้มวลไขมันหรือกล้ามเนื้อในร่างกายนะคะ คนที่ชั่งน้ำหนักบ่อยๆอย่าไปเครียดกับมันเนอะ สัดส่วน 36-26-38
เดือนที่4
น้ำหนัก: 62-65
การออกกำลังกาย: ทำตามคลิปเจ๊จนครบหมดแล้ว (แต่ 6w6p ทำไม่ครบตามเวลา เพราะว่าเสื่อโยคะป่นเป็นผงอย่างน่าอนาจ) เริ่มออกไปวิ่ง ช่วงแรกๆนี่แทบตาย เราเกลียดวิ่งมาก เกลียดที่สุดในบรรดาการออกกำลัง ร้อยเมตรแรกจะเป็นลม แต่ก็กัดฟันลองดูสักตั้ง วิ่งจนวิ่งวันละ 40 นาที 5-6 กิโลเมตรได้ วิ่งสัปดาห์ละ 3 วัน บอดี้เวทอยู่บ้าน วันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน
การกิน: มังสวิรัติ ไม่เนื้อสัตว์ นม ไข่ ไม่นับแคล กินตอนหิว อิ่มก็หยุด กินวันละห้าหกมื้อ กินข้าวเยอะมากกกก หนักคาร์บจากข้าว/มันฝรั่ง มากกว่าผลไม้ 10 วันแรกของเดือน เราอยากลองพิสูจน์ว่ากินคาร์บไม่อ้วน เลยจัดกินข้าวเปล่าอย่างเดียว กินวันละหม้อ บางวันไม่พอหุงเพิ่มด้วย
ความเปลี่ยนแปลง: น้ำหนักลง มีแรงออกกำลังเยอะขึ้นมากๆ เนื้อไม่ย้วยมาก ขอบคุณบอดี้เวทค่ะ! สัดส่วน 34-25-37
เดือนที่5
น้ำหนัก: 60
การออกกำลังกาย: วิ่ง บอดี้เวท เหมือนเดือนที่ 4 พักสัปดาห์ละ 2 วัน
การกิน: เหมือนเดือนที่ 4
ความเปลี่ยนแปลง: สัดส่วนเท่าเดือนที่แล้ว จริงๆตัวเท่านี้เราก็โอเคแล้ว แต่อยากให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้นอีกหน่อย
สคิปมาเดือนที่แปดเลยซึ่งก็คือเดือนนี้
(รูปนี้น่าจะสักช่วงมีนาเมษา ช่วงนั้นลองเล่นครอสฟิตเซอกิตแบบบ้านๆ ใช้แค่ดัมเบลกับยางรถยนต์ เราโอเคนะ แต่ช่วงนี้ร้อนเกินเลยหยุด)
สารร่างปัจจุบัน ยังมีความนุ่มย้วย แต่โนแคร์โนสน
น้ำหนัก: 55 สัดส่วนปัจจุบัน 31-25-34 ค่า นมไปไวมาก บัยม์ แต่เราไม่ค่อยมีลูซสกินหรือเนื้อย้วย ไม่มีท้องแขนกระพือได้เพราะเราเล่นบอดี้เวท+น้ำหนักค่อยๆลดช้าๆ (เฉลี่ยเดือนละ 2.8 กก.)
การออกกำลังกาย: วิ่ง ปั่นจักรยานตอนเย็น (ขึ้นเขา) เตะบอลกับเด็กแถวบ้านบ้าง(อันนี้เหมือนไม่ค่อยได้ออก เตะเสร็จชวนกินไอติม หื้ม) ดัมเบลแตกเลยไปเล่นพวกเครื่องบริหารในสวนสาธารณะแทน สนุกดีนะ
การกิน: มังสวิรัติ ไม่เนื้อ ไม่นม ไม่ไข่ เหมือนเดิมค่ะ
ความเปลี่ยนแปลง: มีความสุขกับชีวิต การกิน และการออกกำลังกาย
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตัวเองบ่อยเท่าไหร่ แต่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของเหนียงเสื้อตัวเดียวกัน
หน้ายังบาน แต่ไม่เป็นไรโนะะ นี่ก็โอเคกับเบ้าหน้าตัวเองอยู่ค่า
รูปช่วงนี้ๆ มีพุงนุ่มนิ่มและขาที่ใหญ่โตแข็งแรงค่ะ 55555 ไปว่ายน้ำทวนกระแสน้ำแบบปลาแซลมอนมา
ส่วนนี่ Personal Trainer ของเราเอง ค่าจ้างอย่างแพง
เรื่องการออกกำลังนี่เราแนะนำให้ใครไม่ได้จริงๆ งูๆปลาๆมาก เอาจริงจนป่านนี้เราก็ยังไม่ชอบการออกกำลังกายเลยค่ะ ไม่ได้หลงใหลอยากออกกำลังวันละสองสามชั่วโมง อย่างที่บอกเราไม่มีเป้าหมายด้านร่างกายใฟ้ต้องฟิต ต้องลีน ต้องมีกล้าม ไปออกทุกวันนี้ให้รู้สึกกระฉับกระเฉง รู้สึกดีเฉยๆ บอดี้เวทนี่เราถามๆพี่ชายมั่ง
และอ้างอิงจาะกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/32866091
++++++++++++++++++++++++
จบพาร์ทเรื่องการลดความอ้วน มาคุยเรื่องอาหารการกินดีกว่า ชอบคุยเรื่องอาหารมาก เราว่าเรื่องอาหารเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรามาก ทัศนคติและลำดับความสำคัญของเรื่องอาหารของคนเราไม่เหมือนกันเนอะ ของเรานี่เรื่องอาหารป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆในชีวิต จะพูดว่าเห็นแก่กินก็ได้ค่ะ 555 เมื่อก่อนเราเป็นมีทเลิฟเวอร์ค่ะ ชอบกินเนื้อวัว มีแต่คนบอกว่ากินเนื้อสัตว์ใหญ่แล้วบาป แต่เราไม่เชื่อ เราคิดว่าอาหารไม่มีสูงมีต่ำ ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเท่ากันไม่ว่าจะเป็นหมู วัว ไก่ ปลา ถ้าเราจะเลิกกินด้วยเหตุผลทางใจพวกนี้เราก็ต้องเลิกให้หมดไม่ยกเว้น ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้เรามากินมังสวิรัติคือมุมมองที่เรามีต่อชีวิตสัตว์ ส่วนตัวเราไม่เชื่อว่าการกินมังสวิรัติจะทำให้ได้บุญหรือยกระดับศีลธรรมของคนกินนะคะ คนไม่กินเนื้อไม่ได้และไม่เคยเป็นคนดีกว่าคนกินเนื้อ ตอนเรากินเนื้อหรือตอนเรากินมังเราก็ยังเป็นคนเดิม ทำงานเหมือนเดิม มีครอบครัวและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหมือนเดิม อยู่ในโลกใบเดิม ไม่ได้ไปสวรรค์แบบออโต้(แต้มบุญยังไม่ถึง) พอมองย้อนไปถึงกระบวนการที่กว่าจะได้เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่นๆจากสัตว์มา ความทรมานของสัตว์ และผลกระทบของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องจริงค่ะ เราคิดว่ามันไม่แฟร์กับสัตว์ที่มีสามารถรับรู้ความเจ็บปวดได้เหมือนเราและมีความต้องการที่จะมีชีวิตต่อไปเหมือนเรา เราไม่อยากเป็นคนที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงฆ่าสัตว์แต่สามารถกินเนื้อต่อได้หน้าตาเฉย นั่นคือปัจจัยหลักๆที่ทำให้เราเปลี่ยนมากินมังสวิรัติ และค่อยๆเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเองให้บริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ให้น้อยที่สุด เป็นความคิดเห็นและความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น เราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับเล็กๆจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่านี้ได้ แถมได้โบนัสเป็นสุขภาพที่ดีขึ้นอีกต่างหาก ใครเปลี่ยนมากินมังเพื่อสุขภาพเป็นครั้งคราวก็เก่งมากๆแล้วค่ะ
ก่อนเปลี่ยนมากินแบบนี้ สิ่งแรกที่เราทำคือศึกษาหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามตัวเองค่ะ จริงๆจะเปลี่ยนการกินไปเป็นแบบไหนก็ควรศึกษาแหละ เพราะเราอยากจะทำมันให้ได้ตลอดไปอย่างยั่งยืน มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เราเชื่อว่าการกินที่ดี ย้ำอีกครั้งว่าการกินไม่ใช่การไดเอ็ต คือการกินโดยไม่ต้องรู้สึกผิด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหาร มีความสุขและขอบคุณอาหารที่เรากินในทุกๆมื้อ ไม่ต้องมีชีทเดย์ให้เป็นรางวัลตัวเองอาทิตย์ละครั้งเดือนละครั้ง อยากให้ทุกๆมื้อคือรางวัลตัวเอง อาหารไม่ใช่การลงโทษหรือเป็นวินัย มันคือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต และต้องเป็นการกินที่ทำให้เราสุขภาพกายและสุขภาพใจดีขึ้น
จนมาลงตัวที่ HCLF วีแกนนี่แหละค่ะที่ตอบโจทย์ของตัวเรา
HCLF vegan (High Carb Low Fat vegan) คือการกินอาหาร Plant based หรืออาหารจากพืชทั้งหมด โดยมีสัดส่วนสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงและสัดส่วนไขมันต่ำ เราว่าเปลี่ยนมากินมังสวิรัติทุกคนก็ไฮคาร์บอยู่แล้วล่ะค่ะ คนกินแบบ HCLF มีหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น Raw ทานแต่อาหารที่ไม่ผ่านอุณหภูมิสูงเลย, RawTill4 กิน Raw 2 มื้อ มื้อเย็นทานอาหารปรุงสุก สองมื้อแรกคาร์บมาจากน้ำตาลในผลไม้, Starch Solution กินพืชผักที่มีแป้งเป็นหลัก เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ข้าว ส่วนไขมันได้จากถั่วเมล็ดพืชต่างๆ
หน้าตาคร่าวๆของอาหารคนลดความอ้วนของเราค่ะ เมื่อก่อนมีคนบอกว่าให้ลองกินข้าวจานเล็กๆหรือใช้ส้อมจิ๋วกินจะได้กินน้อยๆ ตอนนี้เราวิวัฒนาการมากินในกะละมังแล้วค่ะ เดี๋ยวเรื่องอาหารต่อในคอมเม้นนะคะ เขียนไม่พอแล้ว เราพูดมาก