ถามผู้รู้ที่มีประสบการณ์
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจริญสมาธิแบบรวมจิตไว้ที่ฐานลมหายใจ จิตนิ่งสงบเป็นอารมณ์เอกัคคตา ณ ขณะนั้น มีเวทนาเกิดขึ้นว่า บางครั้งรู้สึกสุขแบบดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ไม่เคยถึงพื้น บางครั้งรู้สึกสุขแบบหวิวขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีเพดาน บางครั้งรู้สึกสุขแบบอยู่ในห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดจนไม่อาจประมาณได้ บางครั้งรู้สึกสุขแบบอยู่ในที่แคบ ๆ แคบลงจนไม่อาจประมาณได้ บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวหนาขึ้นใหญ่โตขึ้นจนเต็มจักรวาล บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวบางลงจนเกือบจะหายไป บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวสูงขึ้นเกือบจะถึงพรหมภูมิ บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวเตี้ยลงเกือบจะเทียบเท่ากับพื้นมหาสมุทร
เมื่อสติรู้ว่า นั่นคือจอมปลอม ขณะนั้นเอง ความรู้สึกสุขเหล่านั้นหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวางเฉยกับสภาวะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเกิดความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่พบแม้แต่แสงสว่าง แม้แต่ความมืด แม้แต่ความสูง แม้แต่ความต่ำ แม้แต่ความกว้าง แม้แต่ความแคบ แม้แต่ความลึก แม้แต่ความตื้น แม้แต่ความหนา แม้แต่ความบาง นั่นเพราะเป็นอุเบกขาเวทนานั้นเอง
เมื่สติรู้ว่า นั่นคือจอมปลอม ขณะนั้นเอง ยอมปล่อยวางเวทนาเหล่านั้น แล้วหันมาพิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้นว่า เราหลงแล้วหนอ โง่แล้วหนอ ยึดติดแล้วหนอ สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายลงไปแล้วหนอ จะจีรังยั่งยืนก็หาไม่ มันเป็นเพียงแค่กองรูปอสุภะมารวมกัน เพียงแค่กองเวทนาความรู้สึกมารวมกัน เพียงแค่กองสัญญาจำได้หมายรู้มารวมกัน เพียงแค่สังขารความนึกคิดปรุงแต่งมารวมกัน เพียงแค่วิญญาณที่รู้อารมณ์มารวมกัน มันเป็นของมันเช่นนั้นเองโดยแท้ มันเกิดขึ้นตามประสาของมันเอง แล้วมันเสื่อมสลายไปตามประสาของมันเอง แมื่อพิจารณากลับไปกลับมาดังนั้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาซึ่งอธิบายด้วยภาษาไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือ รู้ทันการแปรปรวนของกองทั้งห้าจนเกิดความนิ่งสงบปราศจากความรู้สึกนึกคิดและความกลัวใด ๆ ชั่วขณะจนเกิดความสงบที่แท้จริงไม่มีโลกียฌานไหนที่จะสงบกว่าความสงบนี้อีกเลย สงบทั้ง ๆ ที่ลืมตาอยู่ สงบทั้ง ๆ ที่เห็นสภาพแวดล้อมภายนอกอยู่ สงบทั้ง ๆ ที่เดินอยู่
แล้วมีสิ่งหนึ่ีงเหมือนจะรู้การณ์ล่วงหน้าซึ่งอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นมา สิ่งนั้นคืออไร?
ถามผู้รู้ที่มีประสบการณ์
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจริญสมาธิแบบรวมจิตไว้ที่ฐานลมหายใจ จิตนิ่งสงบเป็นอารมณ์เอกัคคตา ณ ขณะนั้น มีเวทนาเกิดขึ้นว่า บางครั้งรู้สึกสุขแบบดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ไม่เคยถึงพื้น บางครั้งรู้สึกสุขแบบหวิวขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีเพดาน บางครั้งรู้สึกสุขแบบอยู่ในห้วงอวกาศที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดจนไม่อาจประมาณได้ บางครั้งรู้สึกสุขแบบอยู่ในที่แคบ ๆ แคบลงจนไม่อาจประมาณได้ บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวหนาขึ้นใหญ่โตขึ้นจนเต็มจักรวาล บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวบางลงจนเกือบจะหายไป บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวสูงขึ้นเกือบจะถึงพรหมภูมิ บางครั้งรู้สึกสุขแบบตัวเตี้ยลงเกือบจะเทียบเท่ากับพื้นมหาสมุทร
เมื่อสติรู้ว่า นั่นคือจอมปลอม ขณะนั้นเอง ความรู้สึกสุขเหล่านั้นหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวางเฉยกับสภาวะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเกิดความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่พบแม้แต่แสงสว่าง แม้แต่ความมืด แม้แต่ความสูง แม้แต่ความต่ำ แม้แต่ความกว้าง แม้แต่ความแคบ แม้แต่ความลึก แม้แต่ความตื้น แม้แต่ความหนา แม้แต่ความบาง นั่นเพราะเป็นอุเบกขาเวทนานั้นเอง
เมื่สติรู้ว่า นั่นคือจอมปลอม ขณะนั้นเอง ยอมปล่อยวางเวทนาเหล่านั้น แล้วหันมาพิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้นว่า เราหลงแล้วหนอ โง่แล้วหนอ ยึดติดแล้วหนอ สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายลงไปแล้วหนอ จะจีรังยั่งยืนก็หาไม่ มันเป็นเพียงแค่กองรูปอสุภะมารวมกัน เพียงแค่กองเวทนาความรู้สึกมารวมกัน เพียงแค่กองสัญญาจำได้หมายรู้มารวมกัน เพียงแค่สังขารความนึกคิดปรุงแต่งมารวมกัน เพียงแค่วิญญาณที่รู้อารมณ์มารวมกัน มันเป็นของมันเช่นนั้นเองโดยแท้ มันเกิดขึ้นตามประสาของมันเอง แล้วมันเสื่อมสลายไปตามประสาของมันเอง แมื่อพิจารณากลับไปกลับมาดังนั้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาซึ่งอธิบายด้วยภาษาไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือ รู้ทันการแปรปรวนของกองทั้งห้าจนเกิดความนิ่งสงบปราศจากความรู้สึกนึกคิดและความกลัวใด ๆ ชั่วขณะจนเกิดความสงบที่แท้จริงไม่มีโลกียฌานไหนที่จะสงบกว่าความสงบนี้อีกเลย สงบทั้ง ๆ ที่ลืมตาอยู่ สงบทั้ง ๆ ที่เห็นสภาพแวดล้อมภายนอกอยู่ สงบทั้ง ๆ ที่เดินอยู่
แล้วมีสิ่งหนึ่ีงเหมือนจะรู้การณ์ล่วงหน้าซึ่งอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นมา สิ่งนั้นคืออไร?