ตอนที่ 3
ยลโฉม
รัตติกาลเยื้องย่างยามตะวันลับ สุริยาดับแสงมืดหม่นทั่วเวหา
หากดาราสุกสว่างกลางนภา โอ้จันทราส่องสว่างกลางราตรี
ดั่งดวงแก้วดาราลักษณ์นางอัปสร อรชรสง่าสมขัติยนารีศรี
ขนงเนตรเกศกรรณงามฤดี ทั่วอินทรีย์ผ่องอร่ามต้องแสงจันทร์
อันผู้ใดได้ยลโฉมแม้นเพียงนิด ก็จะติดตราตรึงเก็บไปฝัน
เสียงเล่าลือไปทั่วแคว้นงามผ่องพรรณ โอ้งามนั้นงามดุจเทพธิดา
อันชายใดได้ยินเสียงแม้นเพียงน้อย เสียงเบาค่อยดุจดนตรีกล่อมพฤกษา
งามอ่อนหวานงามรูปลักษณ์งามกิริยา โอ้โสภางามจริงงามครบเอย.
.
องค์หญิงดาราลักษณ์ หรือ ที่คนในวังต่างเรียกกันว่า "แม่หญิง" กำเนิดในชาติตระกูลวงศ์แห่งกษัตริย์ เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชและมเหสีจุฬารัศมี พระองค์ถือกำเนิดมาในวันขึ้น 15 ค่ำ วันที่พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกลางทั่วท้องนภา ด้วยเหตุฉะนี้ พระชนกนาถ จึงประทานชื่อให้นามว่า "ดาราลักษณ์"
แม่หญิงดาราลักษณ์ในวัย 18 ชันษา เพียบพร้อมไปด้วยรูปงามดั่งภาพวาดที่จะหาหญิงใดในหล้าหากล้าเปรียบเทียบไม่ รูปร่างสมส่วน ริมฝีปากได้รูปเป็นกระจับ คิ้วก่งดั่งคันศร ดวงตากลมโต ส่วนดวงเนตรนั้นเล่าก็สุกสกาวอยู่เป็นนิจ แม่หญิง ถูกฝึกให้มีคุณสมบัติสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว งานร้อยมาลัย งานใบตอง แต่ที่แม่หญิงโปรดปราณมากที่สุด คงจะเป็น การร่ายรำ "ร่ายรำอ่อนช้อยดุจนางอัปสรสวรรค์" เป็นคำที่ชาวเมืองต่างเรียกกัน “ใครได้ยลโฉมองค์หญิงเพียงนิด จะติดตาต้องใจไปนานแสนนาน” ประโยคนี้ถูกบอกเล่าขานกันไปปากต่อปาก จนไปทั่วแคว้นใกล้ไกล ทำให้บุรุษน้อยใหญ่พึงใจอยากจะได้ยลโฉมแม้นเพียงสักครั้งก็ยังดี
หากแต่ใครเล่าจะรู้ว่า ตำแหน่งองค์หญิง ซึ่งจะต้องถูกฝึกให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย งดงามนั้น ต้องถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพที่ผู้คนมิอาจจะคาดคิดถึง พระองค์มิอาจกระทำสิ่งอื่นอย่างที่สตรีอื่นพึงกระทำได้ ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงจึงเก็บซ่อนความปรารถนาที่จะออกจากวังในบางครั้ง เพื่อจะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่มิเคยได้พบเห็นในโลกเบื้องหลังกำแพงวังออกไปภายนอก
อันบุญกุศลในอดีตกาล ส่งผลให้องค์หญิงมีรูปโฉมอันสวยสดสวยงาม เป็นที่พึงถวิลหาแก่บุรุษทั่วไป แต่ใครเล่าจะรู้ได้ว่า "รูปโฉมสวยงามนี้ จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเจ้าของความงามตลอดไป
ความงามอันหมดจดนี้จะนำภยันอันตรายต่างๆ มาสู่ตัวในเบื้องหน้า"
ณ ศาลากลางสวนดอกไม้ภายในอุทยาน ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานสะพรั่งออกดอกพร้อมกันหลากสีสันไปทั่ว มีสระน้ำไม่ใหญ่มากนักอยู่ระหว่างกลางสวนอุทยานนั้นพร้อมทั้งสะพานไม้สีเหลืองออกแดง พาดผ่านทอดตัวให้สามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ แม่หญิงมักจะชอบมาเดินเล่นที่อุทยานแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน ไม่ตอนเช้าตรู่ของอรุณรุ่งก็มักจะเป็นตอนเย็นก่อนดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าไป ขณะที่แม่หญิง กำลังเดินเล่นอยู่บนสะพานไม้กลางสระน้ำนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาแต่ไกล
"แม่หญิงเจ้าคะ ดอกไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" จันทร์หญิงสาววัย 18 ปี เอ่ยขึ้นพร้อมในมือถือตะกร้าใส่ดอกไม้ที่เก็บมาจากสวนในพระราชอุทยานไว้เต็ม
"ไหนๆ สวยจริงเชียว งดงามนักแต่อันที่จริงนะ เราชอบดอกไม้ตอนที่ผลิบานอยู่บนต้นมากกว่า ดูมีชีวิตชีวาเวลาต้องลม หรือเวลาที่มีหมู่มวลแมลงมาบินตอม" แม่หญิงหันไปรับดอกไม้ในมือมาถือไว้
"ดูทีรึ ดอกไม้งามขนาดนี้ ถ้าเราร้อยเป็นพวงมาลัยถวายบูชาเทพ ในเทวาลัย คงจะดีไม่น้อย ว่าไหมจ้ะจันทร์" หญิงสาวเอ่ยพลางชื่นชมดอกไม้ ยิ้มอย่างยินดี
จันทร์นั้นเป็นบุตรสาวของแม่นมแย้ม ที่คอยดูแลเลี้ยงดูองค์หญิงซึ่งเติบโตมาพร้อมๆ กัน จันทร์เองจะถูกฝึกให้เป็นนางกำนัลคอยดูแลองค์หญิงมาตั้งแต่เล็กๆ จึงรักใคร่กันเสมอเพื่อน พี่น้อง แต่เพียงเป็นสถานะนาย-บ่าวเท่านั้น
"การไปถวายพวงมาลัยบูชาเทพเจ้า ก็ดีอยู่หรอกนะเจ้าคะ เพียงแต่เสด็จพ่อของพระองค์จะอนุญาตหรือเจ้าคะ เพราะเทวาลัยนั้นอยู่นอกวัง การไปนอกวังนั่นอาจจะเป็นภัยอันตรายต่อองค์หญิงก็ได้นะเจ้าคะ" จันทร์เอ่ยเตือน
"มิเป็นไรดอก" หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยขึ้น
"ประเดี๋ยวเราจะทูลเสด็จพ่อเอง ท่านออกจะพระทัยดี เราว่าท่านคงจะอนุญาตอยู่แล้วล่ะ"
องค์หญิงยิ้มอย่างยินดีและมีความหวัง
ภายในศาลากลางน้ำ ในยามเย็น กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กำลังนั่งทรงฟังดนตรีบรรเลง ขับกล่อมทำนองขาน พร้อมมเหสีที่กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยดอกมะลิสำหรับเอาไว้บูชาพระอยู่ข้างกาย
"น้องหญิง น้องว่าจะมีอะไรมีความสุขเยี่ยงนี้อีกเล่า" กษัตริย์เอ่ยขึ้น
" น้องมิรู้หรอกเพคะ น้องว่าตราบใดที่บ้านเมืองไม่มีปัญหาใดใด หรือประชาชนมิเดือดร้อน น้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความสุขสงบดีนะเพคะ" สตรีวัยกลางคนที่เป็นเอกสตรีของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กิริยาช่างอ่อนหวานงดงาม หากแต่ทรงสง่างามสมมเหสี เอ่ยตอบ
"น้องว่าวันนี้ ลูกหญิงของเราจะมาหาเราไหม" กษัตริย์เอ่ยขึ้น
"น้องว่าต้องมาเพคะท่านพี่ พรุ่งนี้เป็นวันพระ ถ้าน้องเดามิผิด ลูกหญิงจะต้องทรงหาเรื่องไปสักการะบูชาเทพที่เทวาลัยนอกวัง เพื่อหาทางหนีเที่ยวแน่ๆ เลยล่ะเพคะ" พระมเหสีเอ่ยตอบยิ้มๆ อย่างรู้ทัน
"นั่น ดูสิน้องหญิง เจ้าพูดยังมิทันขาดคำ ลูกหญิงของเรากำลังเดินมาโน่นแน่ะ" กษัตริย์เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ลูกกราบท่านพ่อท่านแม่เพคะ" สาวน้อยก้มกราบอย่างเรียบร้อย พร้อมยิ้มอย่างเอ็นดู พลางเอ่ยเอื้อนวาจา "ท่านแม่ขา ท่านแม่ร้อยพวงมาลัยสวยจัง สวยเหมือนคนร้อยเลยนะเจ้าคะ"
"นี่อย่าทำมาเป็นปากหวาน ประจบหน่อยเลย มีอะไรจะขออีกละลูก ถึงได้มาอ้อนแม่ขนาดนี้" ผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างรู้ทัน
"โถ่ ท่านแม่เพคะ มิมีสิ่งใดที่ท่านแม่จะรู้ไม่ทันเลยหรอกหรือเพคะ” องค์หญิงพูดยิ้มพร้อมเข้าไปเอาศีรษะแนบตักของผู้เป็นมารดา
“ คือพรุ่งนี้เป็นวันพระ ลูกแค่จะทูลขออนุญาตออกไปสักการะบูชาเทพ ณ เทวาลัยนอกวังนะเพคะ ท่านพ่อท่านแม่ อนุญาตนะเพคะ" สาวน้อยเอื้อนเอ่ยวาจาพลางออดอ้อน
"ลูกรัก ลูกโตเป็นสาวแล้วนะลูก การที่ลูกจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ นั้น มันไม่ดี" ผู้เป็นบิดากล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงบุตรีคนเดียว
"ลูกเข้าใจเพคะท่านพ่อ แต่ลูกสัญญาว่าลูกจะไม่ไปเถลไถลที่ไหนเป็นแน่ ตรงไปเทวาลัยที่เดียว จะมิแวะเที่ยวข้างทางเป็นแน่นอนเพคะ นะเพคะท่านพ่ออนุญาตนะเพคะ" ผู้เป็นลูกอ้อนอีกคราพร้อมกับซบศีรษะไปที่ตักของมารดาอีกวาระหนึ่ง
“น้องหญิง ทำอย่างไรดีกับละควรจะอนุญาตหรือไม่ควร” ผู้เป็นบิดาบอกพลางหันไปยิ้มๆ กับมารดาอย่างรู้กัน
“นั่นสิท่านพี่ เราควรจะอนุญาตดีหรือไม่เพคะ” ท่านแม่ตอบยิ้มๆ
“โถ่ๆ ท่านพ่อท่านแม่เพคะ อนุญาตเถิดนะเพคะ ลูกขอไปประเดี๋ยวเดียวเอง แล้วลูกจะรีบกลับเลยนะเพคะ ท่านแม่จะให้ลูกทำอะไรลูกก็ยอม” บุตรสาวอ้อนอย่างขอความเห็นใจ
“จริงๆ นะ ที่ลูกบอกว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมนะ” ผู้เป็นมารดาถามย้ำ
“เพคะ แต่ว่าอย่ายากนักนะเพคะ” องค์หญิงรีบตอบ
".......ก็ได้ แต่จำไว้ว่า เจ้าต้องไม่เถลไถลที่ไหนนะ ไม่อย่างนั้น ลูกจะอดได้รับอนุญาตออกไปภายนอกอีก" กษัตริย์พูดเคร่งขรึมพลางยิ้มอย่างเอ็นดู
ราชธิดาเพียงคนเดียวที่เขาและภรรยาเฝ้าเลี้ยงอย่างถนุถนอม นั้นได้เติบโตเป็นสาวสวยดั่งดอกไม้แรกแย้ม เขาควรจะเก็บดอกไม้แรกแย้มไว้อย่างดี เพื่อมิให้มีเหลือบไร หรือแมลงต่างๆ นั้นเข้ามากัดกิน และควรจะปกป้องอย่างดี เพื่อมิให้ใครหน้าไหนมาเด็ดดึง ดอกไม้ไปเสียจากอ้อมกอด
"นาคาพิฆาต" ตอนที่ 3 ยลโฉม by วิรุฬห์
ยลโฉม
รัตติกาลเยื้องย่างยามตะวันลับ สุริยาดับแสงมืดหม่นทั่วเวหา
หากดาราสุกสว่างกลางนภา โอ้จันทราส่องสว่างกลางราตรี
ดั่งดวงแก้วดาราลักษณ์นางอัปสร อรชรสง่าสมขัติยนารีศรี
ขนงเนตรเกศกรรณงามฤดี ทั่วอินทรีย์ผ่องอร่ามต้องแสงจันทร์
อันผู้ใดได้ยลโฉมแม้นเพียงนิด ก็จะติดตราตรึงเก็บไปฝัน
เสียงเล่าลือไปทั่วแคว้นงามผ่องพรรณ โอ้งามนั้นงามดุจเทพธิดา
อันชายใดได้ยินเสียงแม้นเพียงน้อย เสียงเบาค่อยดุจดนตรีกล่อมพฤกษา
งามอ่อนหวานงามรูปลักษณ์งามกิริยา โอ้โสภางามจริงงามครบเอย.
.
องค์หญิงดาราลักษณ์ หรือ ที่คนในวังต่างเรียกกันว่า "แม่หญิง" กำเนิดในชาติตระกูลวงศ์แห่งกษัตริย์ เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชและมเหสีจุฬารัศมี พระองค์ถือกำเนิดมาในวันขึ้น 15 ค่ำ วันที่พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกลางทั่วท้องนภา ด้วยเหตุฉะนี้ พระชนกนาถ จึงประทานชื่อให้นามว่า "ดาราลักษณ์"
แม่หญิงดาราลักษณ์ในวัย 18 ชันษา เพียบพร้อมไปด้วยรูปงามดั่งภาพวาดที่จะหาหญิงใดในหล้าหากล้าเปรียบเทียบไม่ รูปร่างสมส่วน ริมฝีปากได้รูปเป็นกระจับ คิ้วก่งดั่งคันศร ดวงตากลมโต ส่วนดวงเนตรนั้นเล่าก็สุกสกาวอยู่เป็นนิจ แม่หญิง ถูกฝึกให้มีคุณสมบัติสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว งานร้อยมาลัย งานใบตอง แต่ที่แม่หญิงโปรดปราณมากที่สุด คงจะเป็น การร่ายรำ "ร่ายรำอ่อนช้อยดุจนางอัปสรสวรรค์" เป็นคำที่ชาวเมืองต่างเรียกกัน “ใครได้ยลโฉมองค์หญิงเพียงนิด จะติดตาต้องใจไปนานแสนนาน” ประโยคนี้ถูกบอกเล่าขานกันไปปากต่อปาก จนไปทั่วแคว้นใกล้ไกล ทำให้บุรุษน้อยใหญ่พึงใจอยากจะได้ยลโฉมแม้นเพียงสักครั้งก็ยังดี
หากแต่ใครเล่าจะรู้ว่า ตำแหน่งองค์หญิง ซึ่งจะต้องถูกฝึกให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย งดงามนั้น ต้องถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพที่ผู้คนมิอาจจะคาดคิดถึง พระองค์มิอาจกระทำสิ่งอื่นอย่างที่สตรีอื่นพึงกระทำได้ ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงจึงเก็บซ่อนความปรารถนาที่จะออกจากวังในบางครั้ง เพื่อจะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่มิเคยได้พบเห็นในโลกเบื้องหลังกำแพงวังออกไปภายนอก
อันบุญกุศลในอดีตกาล ส่งผลให้องค์หญิงมีรูปโฉมอันสวยสดสวยงาม เป็นที่พึงถวิลหาแก่บุรุษทั่วไป แต่ใครเล่าจะรู้ได้ว่า "รูปโฉมสวยงามนี้ จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเจ้าของความงามตลอดไป
ความงามอันหมดจดนี้จะนำภยันอันตรายต่างๆ มาสู่ตัวในเบื้องหน้า"
ณ ศาลากลางสวนดอกไม้ภายในอุทยาน ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานสะพรั่งออกดอกพร้อมกันหลากสีสันไปทั่ว มีสระน้ำไม่ใหญ่มากนักอยู่ระหว่างกลางสวนอุทยานนั้นพร้อมทั้งสะพานไม้สีเหลืองออกแดง พาดผ่านทอดตัวให้สามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่ แม่หญิงมักจะชอบมาเดินเล่นที่อุทยานแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน ไม่ตอนเช้าตรู่ของอรุณรุ่งก็มักจะเป็นตอนเย็นก่อนดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าไป ขณะที่แม่หญิง กำลังเดินเล่นอยู่บนสะพานไม้กลางสระน้ำนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาแต่ไกล
"แม่หญิงเจ้าคะ ดอกไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" จันทร์หญิงสาววัย 18 ปี เอ่ยขึ้นพร้อมในมือถือตะกร้าใส่ดอกไม้ที่เก็บมาจากสวนในพระราชอุทยานไว้เต็ม
"ไหนๆ สวยจริงเชียว งดงามนักแต่อันที่จริงนะ เราชอบดอกไม้ตอนที่ผลิบานอยู่บนต้นมากกว่า ดูมีชีวิตชีวาเวลาต้องลม หรือเวลาที่มีหมู่มวลแมลงมาบินตอม" แม่หญิงหันไปรับดอกไม้ในมือมาถือไว้
"ดูทีรึ ดอกไม้งามขนาดนี้ ถ้าเราร้อยเป็นพวงมาลัยถวายบูชาเทพ ในเทวาลัย คงจะดีไม่น้อย ว่าไหมจ้ะจันทร์" หญิงสาวเอ่ยพลางชื่นชมดอกไม้ ยิ้มอย่างยินดี
จันทร์นั้นเป็นบุตรสาวของแม่นมแย้ม ที่คอยดูแลเลี้ยงดูองค์หญิงซึ่งเติบโตมาพร้อมๆ กัน จันทร์เองจะถูกฝึกให้เป็นนางกำนัลคอยดูแลองค์หญิงมาตั้งแต่เล็กๆ จึงรักใคร่กันเสมอเพื่อน พี่น้อง แต่เพียงเป็นสถานะนาย-บ่าวเท่านั้น
"การไปถวายพวงมาลัยบูชาเทพเจ้า ก็ดีอยู่หรอกนะเจ้าคะ เพียงแต่เสด็จพ่อของพระองค์จะอนุญาตหรือเจ้าคะ เพราะเทวาลัยนั้นอยู่นอกวัง การไปนอกวังนั่นอาจจะเป็นภัยอันตรายต่อองค์หญิงก็ได้นะเจ้าคะ" จันทร์เอ่ยเตือน
"มิเป็นไรดอก" หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยขึ้น
"ประเดี๋ยวเราจะทูลเสด็จพ่อเอง ท่านออกจะพระทัยดี เราว่าท่านคงจะอนุญาตอยู่แล้วล่ะ"
องค์หญิงยิ้มอย่างยินดีและมีความหวัง
ภายในศาลากลางน้ำ ในยามเย็น กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กำลังนั่งทรงฟังดนตรีบรรเลง ขับกล่อมทำนองขาน พร้อมมเหสีที่กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยดอกมะลิสำหรับเอาไว้บูชาพระอยู่ข้างกาย
"น้องหญิง น้องว่าจะมีอะไรมีความสุขเยี่ยงนี้อีกเล่า" กษัตริย์เอ่ยขึ้น
" น้องมิรู้หรอกเพคะ น้องว่าตราบใดที่บ้านเมืองไม่มีปัญหาใดใด หรือประชาชนมิเดือดร้อน น้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความสุขสงบดีนะเพคะ" สตรีวัยกลางคนที่เป็นเอกสตรีของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กิริยาช่างอ่อนหวานงดงาม หากแต่ทรงสง่างามสมมเหสี เอ่ยตอบ
"น้องว่าวันนี้ ลูกหญิงของเราจะมาหาเราไหม" กษัตริย์เอ่ยขึ้น
"น้องว่าต้องมาเพคะท่านพี่ พรุ่งนี้เป็นวันพระ ถ้าน้องเดามิผิด ลูกหญิงจะต้องทรงหาเรื่องไปสักการะบูชาเทพที่เทวาลัยนอกวัง เพื่อหาทางหนีเที่ยวแน่ๆ เลยล่ะเพคะ" พระมเหสีเอ่ยตอบยิ้มๆ อย่างรู้ทัน
"นั่น ดูสิน้องหญิง เจ้าพูดยังมิทันขาดคำ ลูกหญิงของเรากำลังเดินมาโน่นแน่ะ" กษัตริย์เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ลูกกราบท่านพ่อท่านแม่เพคะ" สาวน้อยก้มกราบอย่างเรียบร้อย พร้อมยิ้มอย่างเอ็นดู พลางเอ่ยเอื้อนวาจา "ท่านแม่ขา ท่านแม่ร้อยพวงมาลัยสวยจัง สวยเหมือนคนร้อยเลยนะเจ้าคะ"
"นี่อย่าทำมาเป็นปากหวาน ประจบหน่อยเลย มีอะไรจะขออีกละลูก ถึงได้มาอ้อนแม่ขนาดนี้" ผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างรู้ทัน
"โถ่ ท่านแม่เพคะ มิมีสิ่งใดที่ท่านแม่จะรู้ไม่ทันเลยหรอกหรือเพคะ” องค์หญิงพูดยิ้มพร้อมเข้าไปเอาศีรษะแนบตักของผู้เป็นมารดา
“ คือพรุ่งนี้เป็นวันพระ ลูกแค่จะทูลขออนุญาตออกไปสักการะบูชาเทพ ณ เทวาลัยนอกวังนะเพคะ ท่านพ่อท่านแม่ อนุญาตนะเพคะ" สาวน้อยเอื้อนเอ่ยวาจาพลางออดอ้อน
"ลูกรัก ลูกโตเป็นสาวแล้วนะลูก การที่ลูกจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ นั้น มันไม่ดี" ผู้เป็นบิดากล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงบุตรีคนเดียว
"ลูกเข้าใจเพคะท่านพ่อ แต่ลูกสัญญาว่าลูกจะไม่ไปเถลไถลที่ไหนเป็นแน่ ตรงไปเทวาลัยที่เดียว จะมิแวะเที่ยวข้างทางเป็นแน่นอนเพคะ นะเพคะท่านพ่ออนุญาตนะเพคะ" ผู้เป็นลูกอ้อนอีกคราพร้อมกับซบศีรษะไปที่ตักของมารดาอีกวาระหนึ่ง
“น้องหญิง ทำอย่างไรดีกับละควรจะอนุญาตหรือไม่ควร” ผู้เป็นบิดาบอกพลางหันไปยิ้มๆ กับมารดาอย่างรู้กัน
“นั่นสิท่านพี่ เราควรจะอนุญาตดีหรือไม่เพคะ” ท่านแม่ตอบยิ้มๆ
“โถ่ๆ ท่านพ่อท่านแม่เพคะ อนุญาตเถิดนะเพคะ ลูกขอไปประเดี๋ยวเดียวเอง แล้วลูกจะรีบกลับเลยนะเพคะ ท่านแม่จะให้ลูกทำอะไรลูกก็ยอม” บุตรสาวอ้อนอย่างขอความเห็นใจ
“จริงๆ นะ ที่ลูกบอกว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมนะ” ผู้เป็นมารดาถามย้ำ
“เพคะ แต่ว่าอย่ายากนักนะเพคะ” องค์หญิงรีบตอบ
".......ก็ได้ แต่จำไว้ว่า เจ้าต้องไม่เถลไถลที่ไหนนะ ไม่อย่างนั้น ลูกจะอดได้รับอนุญาตออกไปภายนอกอีก" กษัตริย์พูดเคร่งขรึมพลางยิ้มอย่างเอ็นดู
ราชธิดาเพียงคนเดียวที่เขาและภรรยาเฝ้าเลี้ยงอย่างถนุถนอม นั้นได้เติบโตเป็นสาวสวยดั่งดอกไม้แรกแย้ม เขาควรจะเก็บดอกไม้แรกแย้มไว้อย่างดี เพื่อมิให้มีเหลือบไร หรือแมลงต่างๆ นั้นเข้ามากัดกิน และควรจะปกป้องอย่างดี เพื่อมิให้ใครหน้าไหนมาเด็ดดึง ดอกไม้ไปเสียจากอ้อมกอด