"นาคาพิฆาต" ตอนที่ 3 ยลโฉม by วิรุฬห์

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 3
                                                                               ยลโฉม

                                        รัตติกาลเยื้องย่างยามตะวันลับ                 สุริยาดับแสงมืดหม่นทั่วเวหา
                               หากดาราสุกสว่างกลางนภา                             โอ้จันทราส่องสว่างกลางราตรี
                               ดั่งดวงแก้วดาราลักษณ์นางอัปสร                      อรชรสง่าสมขัติยนารีศรี
                              ขนงเนตรเกศกรรณงามฤดี                                ทั่วอินทรีย์ผ่องอร่ามต้องแสงจันทร์
                              อันผู้ใดได้ยลโฉมแม้นเพียงนิด                           ก็จะติดตราตรึงเก็บไปฝัน
                             เสียงเล่าลือไปทั่วแคว้นงามผ่องพรรณ                 โอ้งามนั้นงามดุจเทพธิดา
                              อันชายใดได้ยินเสียงแม้นเพียงน้อย                      เสียงเบาค่อยดุจดนตรีกล่อมพฤกษา
                              งามอ่อนหวานงามรูปลักษณ์งามกิริยา                 โอ้โสภางามจริงงามครบเอย.
   .
             องค์หญิงดาราลักษณ์  หรือ ที่คนในวังต่างเรียกกันว่า "แม่หญิง"  กำเนิดในชาติตระกูลวงศ์แห่งกษัตริย์   เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชและมเหสีจุฬารัศมี  พระองค์ถือกำเนิดมาในวันขึ้น 15 ค่ำ  วันที่พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกลางทั่วท้องนภา  ด้วยเหตุฉะนี้  พระชนกนาถ  จึงประทานชื่อให้นามว่า "ดาราลักษณ์"  
               แม่หญิงดาราลักษณ์ในวัย 18 ชันษา  เพียบพร้อมไปด้วยรูปงามดั่งภาพวาดที่จะหาหญิงใดในหล้าหากล้าเปรียบเทียบไม่  รูปร่างสมส่วน  ริมฝีปากได้รูปเป็นกระจับ  คิ้วก่งดั่งคันศร  ดวงตากลมโต  ส่วนดวงเนตรนั้นเล่าก็สุกสกาวอยู่เป็นนิจ    แม่หญิง ถูกฝึกให้มีคุณสมบัติสมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว   งานร้อยมาลัย  งานใบตอง  แต่ที่แม่หญิงโปรดปราณมากที่สุด  คงจะเป็น  การร่ายรำ   "ร่ายรำอ่อนช้อยดุจนางอัปสรสวรรค์"  เป็นคำที่ชาวเมืองต่างเรียกกัน   “ใครได้ยลโฉมองค์หญิงเพียงนิด  จะติดตาต้องใจไปนานแสนนาน”   ประโยคนี้ถูกบอกเล่าขานกันไปปากต่อปาก  จนไปทั่วแคว้นใกล้ไกล  ทำให้บุรุษน้อยใหญ่พึงใจอยากจะได้ยลโฉมแม้นเพียงสักครั้งก็ยังดี
              หากแต่ใครเล่าจะรู้ว่า  ตำแหน่งองค์หญิง ซึ่งจะต้องถูกฝึกให้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย งดงามนั้น ต้องถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด  ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพที่ผู้คนมิอาจจะคาดคิดถึง  พระองค์มิอาจกระทำสิ่งอื่นอย่างที่สตรีอื่นพึงกระทำได้   ด้วยเหตุนี้  องค์หญิงจึงเก็บซ่อนความปรารถนาที่จะออกจากวังในบางครั้ง  เพื่อจะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่มิเคยได้พบเห็นในโลกเบื้องหลังกำแพงวังออกไปภายนอก
              อันบุญกุศลในอดีตกาล ส่งผลให้องค์หญิงมีรูปโฉมอันสวยสดสวยงาม  เป็นที่พึงถวิลหาแก่บุรุษทั่วไป   แต่ใครเล่าจะรู้ได้ว่า   "รูปโฉมสวยงามนี้   จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเจ้าของความงามตลอดไป  
ความงามอันหมดจดนี้จะนำภยันอันตรายต่างๆ มาสู่ตัวในเบื้องหน้า"  
            
            ณ  ศาลากลางสวนดอกไม้ภายในอุทยาน  ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานสะพรั่งออกดอกพร้อมกันหลากสีสันไปทั่ว  มีสระน้ำไม่ใหญ่มากนักอยู่ระหว่างกลางสวนอุทยานนั้นพร้อมทั้งสะพานไม้สีเหลืองออกแดง พาดผ่านทอดตัวให้สามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่  แม่หญิงมักจะชอบมาเดินเล่นที่อุทยานแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน  ไม่ตอนเช้าตรู่ของอรุณรุ่งก็มักจะเป็นตอนเย็นก่อนดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าไป  ขณะที่แม่หญิง กำลังเดินเล่นอยู่บนสะพานไม้กลางสระน้ำนั้น  เสียงหนึ่งก็ดังมาแต่ไกล   
           "แม่หญิงเจ้าคะ   ดอกไม้มาแล้วเจ้าค่ะ"  จันทร์หญิงสาววัย 18 ปี  เอ่ยขึ้นพร้อมในมือถือตะกร้าใส่ดอกไม้ที่เก็บมาจากสวนในพระราชอุทยานไว้เต็ม
               "ไหนๆ สวยจริงเชียว  งดงามนักแต่อันที่จริงนะ เราชอบดอกไม้ตอนที่ผลิบานอยู่บนต้นมากกว่า ดูมีชีวิตชีวาเวลาต้องลม หรือเวลาที่มีหมู่มวลแมลงมาบินตอม"  แม่หญิงหันไปรับดอกไม้ในมือมาถือไว้
               "ดูทีรึ  ดอกไม้งามขนาดนี้  ถ้าเราร้อยเป็นพวงมาลัยถวายบูชาเทพ  ในเทวาลัย  คงจะดีไม่น้อย  ว่าไหมจ้ะจันทร์"  หญิงสาวเอ่ยพลางชื่นชมดอกไม้  ยิ้มอย่างยินดี
              จันทร์นั้นเป็นบุตรสาวของแม่นมแย้ม  ที่คอยดูแลเลี้ยงดูองค์หญิงซึ่งเติบโตมาพร้อมๆ กัน    จันทร์เองจะถูกฝึกให้เป็นนางกำนัลคอยดูแลองค์หญิงมาตั้งแต่เล็กๆ  จึงรักใคร่กันเสมอเพื่อน   พี่น้อง  แต่เพียงเป็นสถานะนาย-บ่าวเท่านั้น
              "การไปถวายพวงมาลัยบูชาเทพเจ้า  ก็ดีอยู่หรอกนะเจ้าคะ  เพียงแต่เสด็จพ่อของพระองค์จะอนุญาตหรือเจ้าคะ  เพราะเทวาลัยนั้นอยู่นอกวัง  การไปนอกวังนั่นอาจจะเป็นภัยอันตรายต่อองค์หญิงก็ได้นะเจ้าคะ"  จันทร์เอ่ยเตือน
                "มิเป็นไรดอก"  หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยขึ้น  
    "ประเดี๋ยวเราจะทูลเสด็จพ่อเอง  ท่านออกจะพระทัยดี  เราว่าท่านคงจะอนุญาตอยู่แล้วล่ะ"  
องค์หญิงยิ้มอย่างยินดีและมีความหวัง

                ภายในศาลากลางน้ำ  ในยามเย็น   กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช  กำลังนั่งทรงฟังดนตรีบรรเลง  ขับกล่อมทำนองขาน  พร้อมมเหสีที่กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยดอกมะลิสำหรับเอาไว้บูชาพระอยู่ข้างกาย   
               "น้องหญิง   น้องว่าจะมีอะไรมีความสุขเยี่ยงนี้อีกเล่า"  กษัตริย์เอ่ยขึ้น
               " น้องมิรู้หรอกเพคะ  น้องว่าตราบใดที่บ้านเมืองไม่มีปัญหาใดใด   หรือประชาชนมิเดือดร้อน น้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความสุขสงบดีนะเพคะ"  สตรีวัยกลางคนที่เป็นเอกสตรีของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กิริยาช่างอ่อนหวานงดงาม หากแต่ทรงสง่างามสมมเหสี เอ่ยตอบ
                 "น้องว่าวันนี้   ลูกหญิงของเราจะมาหาเราไหม"  กษัตริย์เอ่ยขึ้น
                 "น้องว่าต้องมาเพคะท่านพี่ พรุ่งนี้เป็นวันพระ  ถ้าน้องเดามิผิด ลูกหญิงจะต้องทรงหาเรื่องไปสักการะบูชาเทพที่เทวาลัยนอกวัง เพื่อหาทางหนีเที่ยวแน่ๆ เลยล่ะเพคะ" พระมเหสีเอ่ยตอบยิ้มๆ อย่างรู้ทัน

                  "นั่น  ดูสิน้องหญิง  เจ้าพูดยังมิทันขาดคำ  ลูกหญิงของเรากำลังเดินมาโน่นแน่ะ"  กษัตริย์เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
                  "ลูกกราบท่านพ่อท่านแม่เพคะ"  สาวน้อยก้มกราบอย่างเรียบร้อย  พร้อมยิ้มอย่างเอ็นดู  พลางเอ่ยเอื้อนวาจา "ท่านแม่ขา  ท่านแม่ร้อยพวงมาลัยสวยจัง  สวยเหมือนคนร้อยเลยนะเจ้าคะ"  
                  "นี่อย่าทำมาเป็นปากหวาน  ประจบหน่อยเลย  มีอะไรจะขออีกละลูก  ถึงได้มาอ้อนแม่ขนาดนี้" ผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างรู้ทัน
                  "โถ่  ท่านแม่เพคะ  มิมีสิ่งใดที่ท่านแม่จะรู้ไม่ทันเลยหรอกหรือเพคะ” องค์หญิงพูดยิ้มพร้อมเข้าไปเอาศีรษะแนบตักของผู้เป็นมารดา
                 “ คือพรุ่งนี้เป็นวันพระ ลูกแค่จะทูลขออนุญาตออกไปสักการะบูชาเทพ   ณ  เทวาลัยนอกวังนะเพคะ  ท่านพ่อท่านแม่  อนุญาตนะเพคะ"  สาวน้อยเอื้อนเอ่ยวาจาพลางออดอ้อน
                   "ลูกรัก  ลูกโตเป็นสาวแล้วนะลูก   การที่ลูกจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ นั้น มันไม่ดี"  ผู้เป็นบิดากล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงบุตรีคนเดียว
                   "ลูกเข้าใจเพคะท่านพ่อ  แต่ลูกสัญญาว่าลูกจะไม่ไปเถลไถลที่ไหนเป็นแน่   ตรงไปเทวาลัยที่เดียว  จะมิแวะเที่ยวข้างทางเป็นแน่นอนเพคะ  นะเพคะท่านพ่ออนุญาตนะเพคะ"  ผู้เป็นลูกอ้อนอีกคราพร้อมกับซบศีรษะไปที่ตักของมารดาอีกวาระหนึ่ง
                   “น้องหญิง ทำอย่างไรดีกับละควรจะอนุญาตหรือไม่ควร” ผู้เป็นบิดาบอกพลางหันไปยิ้มๆ กับมารดาอย่างรู้กัน
                  “นั่นสิท่านพี่  เราควรจะอนุญาตดีหรือไม่เพคะ” ท่านแม่ตอบยิ้มๆ
                  “โถ่ๆ ท่านพ่อท่านแม่เพคะ  อนุญาตเถิดนะเพคะ  ลูกขอไปประเดี๋ยวเดียวเอง  แล้วลูกจะรีบกลับเลยนะเพคะ  ท่านแม่จะให้ลูกทำอะไรลูกก็ยอม” บุตรสาวอ้อนอย่างขอความเห็นใจ
                  “จริงๆ นะ ที่ลูกบอกว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมนะ” ผู้เป็นมารดาถามย้ำ
                  “เพคะ  แต่ว่าอย่ายากนักนะเพคะ” องค์หญิงรีบตอบ
                   ".......ก็ได้ แต่จำไว้ว่า  เจ้าต้องไม่เถลไถลที่ไหนนะ  ไม่อย่างนั้น  ลูกจะอดได้รับอนุญาตออกไปภายนอกอีก"  กษัตริย์พูดเคร่งขรึมพลางยิ้มอย่างเอ็นดู  

                   ราชธิดาเพียงคนเดียวที่เขาและภรรยาเฝ้าเลี้ยงอย่างถนุถนอม นั้นได้เติบโตเป็นสาวสวยดั่งดอกไม้แรกแย้ม  เขาควรจะเก็บดอกไม้แรกแย้มไว้อย่างดี  เพื่อมิให้มีเหลือบไร หรือแมลงต่างๆ นั้นเข้ามากัดกิน   และควรจะปกป้องอย่างดี  เพื่อมิให้ใครหน้าไหนมาเด็ดดึง ดอกไม้ไปเสียจากอ้อมกอด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่