ณ ห้องบรรทมของจอมกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราและมเหสีจุฬารัศมี ในยามดึกเห็นเพียงแสงสว่างของจันทราและดวงดารายามค่ำคืนบนท้องฟ้าเบื้องบน
“นี่นะน้องหญิง เจ้ายังมิได้บอกพี่เลยว่าสิ่งที่เจ้ากังวลใจนะ คือเรื่องอันใดรึ” บุรุษวัยกลางคนอายุประมาณ 50 เอ่ยถามสตรีที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสตรีที่รักปานดวงใจมาเป็นเวลาช้านาน กษัตริย์ผู้ครองเมืองกุสินารา ต่อหน้าทหารและประชาชน เขาคือกษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา และความน่าเกรงขาม หากแต่พออยู่กับสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “มเหสี” เขากลับกลายเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งรักหญิงคนหนึ่งปานดวงใจ
กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช มีมงกุฎและยศถาบรรดาศักดิ์ที่บ่งบอกว่าหน้าที่นั้นหนักหนาสาหัสเพียงไร หากทว่ามิว่าจะเหนื่อยแสนเหนื่อยสักเพียงใด ก็สามารถเก็บความรู้สึกและความกังวลในใจได้อย่างมิดชิด จะมีเพียงแต่รอยยิ้มที่ทำให้สตรีผู้อยู่ข้างกายสบายใจ แค่เพียงได้เห็นใบหน้าสักเพียงนิดของมเหสีจุฬารัศมี ก็ทำให้ความกลัดกลุ้มในใจของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชลดลงอย่างประหลาด
“สิ่งที่น้องกังวลใจนั้น น้องคิดว่าสิ่งนั้นยากเกินกว่าที่เราจะสามารถแก้ไขได้นะเพคะท่านพี่” มเหสีเอ่ยขึ้น
“พี่เป็นถึงกษัตริย์ จะมีสิ่งใดอีกเล่า ที่พี่จะแก้ปัญหาให้น้องมิได้ เว้นแต่เพียงดวงดาวดาราบนท้องฟ้าไกลเท่านั้น” กษัตริย์ตอบพร้อมอ้อมแขนที่แข็งแกร่งทั้งสองข้างโอบกอดมเหสีจากทางเบื้องหลัง
“สิ่งที่น้องกังวลนั้น น้องกังวลถึงลูกหญิงของเราเพคะ ” มเหสีเอ่ย พลางพูดต่อ
“เมืองของเรานั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขมาช้านาน ในปีก่อนที่มีการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า ณ วิหารเทวาลัยนั้นเล่า ครานั้นมีเจ้าชายมาร่วมงานจากหลายเมืองด้วยกัน แลลูกหญิงของเราก็รำถวายบูชาเทพเจ้า ในครั้งนั้นหม่อมฉันมองออกว่า เจ้าชายวิรังสี จากเมืองมเหศวร พึงพอใจลูกหญิงของเรามาก แลเจ้าชายองค์อื่นๆ ก็มีทีท่าที่ไม่แตกต่างกัน ฉะนั้น หากเราจะเลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งให้อภิเษกสมรสกับบุตรีของเรานั้น หม่อมฉันเกรงว่าจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเมืองได้นะเพคะ”
“น้องหญิงเอ๋ย รู้ไหมน้องนะ คิดกังวลมากเกินไปแล้ว ลูกของเราเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของกุลสตรีและเป็นคนดี และพี่ชื่อว่า เทพเทวะ จักต้องนำพาให้ลูกหญิงของเราพบเจอผู้ที่เหมาะสมและคู่ควร” กษัตริย์เอ่ยขึ้น พลางปลอบอย่างถนุถนอมให้คลายกังวลใจ มเหสีจุฬารัศมี ผ่อนคลายความทุกข์กังวลในใจลง จักมีก็เพียงแต่แววตาที่ยังอดฉายแสงแห่งกังวลออกมามิได้
“ในปีนี้ จะเป็นอีกปี ที่ในคืนวันเพ็ญ พี่จะให้ลูกของเราร่ายรำบูชาเทพเจ้า ณ เทวาลัย หากทว่าปีนี้จักเป็นปีที่พิเศษกว่าทุกๆ ปี เพราะปีนี้จักเป็นปีที่ลูกหญิงของเรา ครบ 18 ชันษา เป็นวัยที่เหมาะสมที่จะมีคู่ครองที่เหมาะสม เพราะฉะนั้น พี่จะใช้การจัดงานในครั้งนี้หลังจากบูชาเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราจะให้มีการจัดพิธีคัดเลือกผู้ที่จะเหมาะสมกับบุตรีของเรา ฉะนั้น ในการจัดงานครั้งนี้หลังจากได้บุรุษที่คู่ควรกับลูกหญิงของเราแล้ว พี่จักให้มีการเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน และจักยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เราจะเชิญเมืองต่างๆ เข้ามาร่วมพิธีในการบูชาเทพเจ้าแลเจ้าชายองค์ใดหรือบุรุษใด ที่ยังมิได้มีคู่ครองแล้วไซร้ สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นคู่ครองของลูกเราในครั้งนี้ได้พี่จะให้ประกาศไปทั่วแคว้น เห็นทีครานี้อาจจะเกิดปาฏิหาริย์ให้ลูกเราได้พบคนที่เหมาะสมและคู่ควรก็เป็นได้” ชายวัยกลางคนกล่าว
ในท้องพระโรง กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช ได้สั่งให้โหรหลวงทำนายฤกษ์ดีในการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า
“ข้าพระองค์ได้ตรวจดวงเมืองแล้วในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบสองนี้ จะเป็นเดือนที่พระจันทร์เต็มดวงพร้อมทั้งฤกษ์ดวงเมืองดีเหมาะแก่การทำพิธีบูชาเทพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หากแต่จะทำให้เกิดผลดีกับบ้านเมืองมากที่สุดควรจะทำพิธีในตอนกลางคืนช่วงพระจันทร์ใกล้เต็มดวงจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ที่สุดพระเจ้าข้า” โหรหลวงกล่าว
“เอ ท่านโหรา การทำพิธี ทำพิธีในตอนกลางวันก่อนเที่ยงวันจะมิดีกว่าหรือ เหมือนเช่นทุกปี ตอนกลางคืนจะได้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน” ท่านอำมาตย์กล่าว
“ท่านอำมาตย์มิรู้อะไร คืนพระจันทร์เต็มดวงในลักษณะเช่นนี้ 100 กว่าปีถึงจะมีสักครั้งหนึ่ง ปีนี้เราโชคดีที่มาครบในยุคเรา ถ้าพลาดโอกาสในช่วงนี้ ก็จะไม่ได้เจอโอกาสฤกษ์ดีอย่างนี้ละนะท่าน” โหรากล่าว
“เอาละ ที่ผ่านมาเวลามีงานอะไรสำคัญ ท่านโหราก็เป็นผู้ตรวจดูดวงเมืองตลอดมิเห็นเป็นไร ถ้าเช่นนั้นเราจักตกลงให้จัดงานพิธีบูชาเทพเจ้า ตามที่ท่านโหราบอก ส่วนการเตรียมงานข้ามอบหมายให้ท่านโหรหลวงและท่านอำมาตย์ช่วยกันจัดการงานเหมือนเคย” กษัตริย์ตรัสสั่งพร้อมทั้งอธิบายต่อ
“เรามีงานให้พวกท่านทำอีกอย่างหนึ่ง ในปีนี้หลังจากงานบูชาเทพเจ้าแล้ว เราจักให้จัดพิธีเลือกคู่ครอง ของบุตรีเราด้วย”
“ท่านอำมาตย์ ท่านจงไปป่าวประกาศให้ทั่วทุกแคว้น เจ้าชายองค์ใดหรือบุรุษใด ที่ยังมิได้มีคู่ครองแล้วไซร้ สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นคู่ครองขององค์หญิงดาราลักษณ์ในครั้งนี้ ส่วนกฎและกติกาในการคัดเลือกนั้น ทุกท่านที่เข้าร่วมการคัดเลือก จักได้ทราบพร้อมกันในวันและเวลาที่จะแข่งขัน” กษัตริย์ประกาศก้องออกไป
“รับด้วยเกล้าขอรับ” อำมาตย์รับพระราชบัญชาพร้อมด้วยสีหน้าครุ่นคิด ครานี้ช่างแปลกนัก นอกจากจะให้จัดพิธีบูชาเทพเจ้าในเวลากลางคืน แลยังต่อจากนั้น ยังจะให้มีพิธีการคัดเลือกราชบุตรเขยอีก “เฮ้อ กลุ้มแทน”
ณ บ้านนายช่างทอง บนโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่ มีเก้าอี้สามารถนั่งรอบๆ ได้ประมาณ 6 คนเป็นโต๊ะที่นายช่างทองมักจะใช้เป็นที่รับแขกหรือคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างสม่ำเสมอ
“ข้าไม่เข้าใจเลยนะท่านสิ่งสิเกน ทำไมท่านโหราจึงบอกเช่นนั้น การจัดพิธีในวันนั้นไม่แปลก แต่แปลกตรงที่ ทำไมต้องจัดพิธีต่างๆ ในตอนกลางคืน ช่วงพระจันทร์ใกล้เต็มดวง แทนที่จะจัดในช่วงเช้าเหมือนปีผ่านๆ มา แล้วไหนยังจะให้มีพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยอีก ข้าว่ามันทะ
ๆ นะท่านว่าไหม” ท่านอำมาตย์ปรับทุกข์กับสิเกน เพื่อนสนิทมาช้านาน
“ถามข้ารึ ข้าก็ไม่รู้หรอกแต่ก็อย่างว่าบางทีท่านโหราฯ อาจจะเจอฤกษ์ที่ดี ซึ่งจะได้ผลดีต้องบูชาตอนกลางคืนก็ได้กระมัง พอกษัตริย์ท่านเห็นเป็นฤกษ์งามยามดี ก็เลยให้เอาพิธีเลือกคู่ไปพร้อมๆ กันเลย ดีกว่ามาจัดอีกทีภายหลัง ฮ่า ฮ่า ท่านก็อย่าคิดมากไปเลย” สิเกนตอบพร้อมหัวเราะ แล้วส่งถ้วยชาให้ดื่มเผื่อจะได้ใจเย็นลง
“ว่าอย่างไร วันนี้มีอะไรกินบ้าง” เสียงของมิรงค์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่ออกมา
“ อ้าว เจ้าอำมาตย์ก็อยู่รึ แหมไม่ได้เจอกันเสียนาน ไปได้ดี เป็นขุนน้ำขุนนางในวัง พุงนี้พลุ้ยขึ้นเป็นกองเลยนะ” มิรงค์เอ่ยพลางกระเซ้าเย้าแหย่อดีตเพื่อนรักขณะเดินเข้ามาในบ้านช่างทองของสิเกน และถือโอกาสนั่งร่วมโต๊ะหยิบถ้วยน้ำชาของท่านอำมาตย์มาดื่ม
“เออนี่ ไม่ได้เจอท่านตั้งนานนะท่านอำมาตย์ใหญ่ ชุดนี่สวยมากเลยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มิรงค์พูด พลางหัวเราะ พร้อมแปลกใจในสีหน้ากังวลของอำมาตย์อย่างชัดเจน จริงอยู่ ชายชรา 3 คนเป็นเพื่อนสนิทกันมาช้านาน มิรงค์ สิเกน และอำมาตย์ ทุกครั้งที่เจอกันมักจะมีเรื่องเฮฮา หรือต่อปากต่อคำเป็นประจำ แต่ครานี้ อำมาตย์เงียบแทนที่จะทักทายหรือต่อปากต่อคำเหมือนอย่างเคย
“มีเรื่องอะไรรึ ทำไมทำหน้าตาอย่างกับเมียเสีย” มิรงค์เอ่ยถาม ให้สนุกไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเมียของอำมาตย์ตายไปนานแล้ว
“เมียข้าไม่ได้เสียโว้ย เพราะเมียข้าตายไปนานแล้ว แต่ที่ข้ากังวลคือ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบสอง จะจัดให้มีพิธีบูชาเทพเจ้า” อำมาตย์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“อ้าว ก็มันเป็นวันดี จัดพิธีบูชาเทพเจ้าวันนี้ก็ไม่เห็นแปลก” มิรงค์ตอบพร้อมหัวเราะหึหึ
“ท่านคิดมากไปหรือป่าว ระวังนะท่าน คิดมากเกิดไปประเดี๋ยวศีรษะจะไม่มีผมนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มิรงค์พูดพร้อมยั่วประสาทแต่ก็หาได้ทำให้อำมาตย์ต่อล้อต่อเถียงเหมือนอย่างเดิมได้
“มันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าท่านโหราฯ ไม่แนะนำให้จัดพิธีในตอนกลางคืน” อำมาตย์เอ่ยอย่างมีกังวล
“.....มันก็.....หา เอ็งว่าอะไรนะ ไอ้อำมาตย์ ทำพิธีตอนกลางคืนเหรอ? เอ็งพูดชัดๆ สิว่าข้าไม่ได้หูฝาดไป” มิรงค์เอ่ยอย่างตกใจ
“ท่านไม่ได้หูฝาดหรอกท่านมิรงค์ ท่านอำมาตย์บอกว่า กษัตริย์จะให้มีการจัดพิธีบูชาเทพเจ้าตามคำทำนายของท่านโหราฯ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบสอง ตอนกลางคืน” สิเกนช่วยตอบอีกแรง
“............” มิรงค์มีสีหน้าบรรยายไม่ถูก เงียบไปอึดใจ จึงเอ่ยถาม
“สิเกน เอ็งมีกระดานชนวนบ้างไหมวะ”
“ไม่มีหรอก ข้าเป็นช่างทองนะ ไม่ใช่หมอดูจะได้ใช้กระดานชนวน แต่ถ้าท่านจะหาแผ่นทองและไฟละก็ ข้านะพอมี” สิเกนตอบ
“เออ นั่นข้ารู้ละ” มิรงค์เงียบไปพัก ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นปราณภพกำลังแกะสลักทองอยู่ไม่ไกลนัก
“เออ ไอ้หลานรัก” มิรงค์เอ่ยเรียก “เอ็งช่วยไปนำกระดานชนวน ดินสอชนวน และหนังสือปึกใหญ่ที่วางข้างๆ กันมาให้ข้าหน่อย”
“ได้ ท่านลุง” ปราณภพตอบพร้อมขยับตัวกำลังจะไป
“เดี่ยวก่อน แล้วเอ็งเอาแผ่นหนังม้วนเก่าๆ ที่วางไว้ในกล่องใต้ฐานพระพุทธรูปมาให้ข้าด้วย ข้าสังหรณ์ใจว่าต้องใช้มัน” มิรงค์บอก ประโยคหลังเบาเหมือนเอ่ยกับตัวเอง
“ได้ ท่านลุง” ชายหนุ่มรีบเดินออกจากบ้านไปตามคำบอกของมิรงค์
มิรงค์ขยับมานั่งพร้อมหน้าสิเกนและอำมาตย์เช่นเดิม
“มันเรื่องอะไรกันรึ ท่านมิรงค์” สิเกนถาม
“ใช่ ท่านมิรงค์ ปกติดูท่านไม่เป็นอย่างนี้ นี่ทำไมดูเรื่องใหญ่จังละท่าน” อำมาตย์เอ่ย
“ขอให้สังหรณ์ของข้าผิดด้วยเถิด เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” มิรงค์พูด พร้อมซ่อนสายตากังวล แต่ก็มิวายที่เพื่อนทั้งสองจะเห็นได้
ผ่านไปชั่วเพียงอึดใจ ปราณภพ ก็กลับมาพร้อมกับกระดานชนวนตามที่เฒ่ามิรงค์สั่งก่อนจะยื่นส่งให้พร้อมกับพูดว่า
“ท่านลุง นี่จ้ะของที่ท่านให้ไปเอา”
มิรงค์รับกระดานชนวนมาจากปรานภพ พร้อมทั้งขีดเขียนตำราชนวนอยู่สักพัก ส่วนสหายทั้งสองก็รอฟังผลคำทำนายอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงหลานรักที่เป็นผู้ไปนำกระดานชนวนมาให้ ชายชราถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่เล็ดรอดสายตาของผู้เป็นหลานที่นั่งสังเกตได้
“มันน่าแปลกนะ ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้นะ” ชายชราบ่นอย่างมีสีหน้ากังวลใจ พลางบ่นต่อ
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย”
สิเกนถาม “คิดอะไรเหรอ ตกลงวันดังกล่าว ดีหรือไม่ดีล่ะท่าน”
“นั่นสิ ตกลงได้ความว่าอะไรบ้าง” ท่านอำมาตย์ถามพร้อม
“เฮ้อ!” มิรงค์ถอยหายใจ พลางตอบว่า “ได้คำตอบแล้วล่ะ”
“จริงอยู่ที่ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ในปีนี้ ฤกษ์ดีก็จริง ถ้าจัดทำพิธีในช่วงเวลาเช้าก่อนเที่ยง แต่ถ้าจัดตอนกลางคืนในช่วงใกล้พระจันทร์เต็มดวง ผลจะออกมาตรงกันข้าม” เฒ่ามิรงค์พูดด้วยความหนักใจ
“หมายความว่ายังไงท่านลุง” เด็กหนุ่มถาม
“ก็หมายความว่า ถ้าจัดทำพิธีในตอนกลางคืนใกล้พระจันทร์เต็มดวง อาจจะทำให้เกิดหายนะ เพราะในปีนี้ครบรอบ 700 ปีที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งซึ่งจะทำให้เกิดอาเพศ” ชายชราอธิบาย
“อธิบายให้ชัดๆ หน่อยสิวะ ไอ้ที่ครบรอบ 700 ปี หมายถึงอะไรวะ” อำมาตย์ถาม
“ก็หมายถึง เมื่อ 700 ปี ที่แล้วได้เกิดเหตุการณ์คืนพระจันทร์เต็มดวงและเป็นปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือด ว่ากันว่าในคืนวันดังกล่าว เจ้าแม่จะดื่มเลือดสาวบริสุทธิ์ที่ทำพิธีร่ายรำถวายเทพเจ้า แต่ถ้าไม่มีการร่ายรำถวายเทพเจ้า หรือไม่มีการนำสาวพรหมจรรย์ถวายให้เจ้าแม่ดื่มเลือดแล้วไซร้ บ้านเมืองก็จะเกิดหายนะ ธรณีจะสูบ แผ่นดินจะสะเทือน เลือดจะไหลนองแผ่นดิน” ชายชราเล่า พลางถอนหายใจ
“แล้วเราหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ได้หรือไม่” ท่านอำมาตย์ถามต่อ
“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ ไม่มีในบันทึกบอกไว้ แต่...ข้ารู้จักคนๆ หนึ่งที่สามารถช่วยได้” มิรงค์ตอบ
“ใครเหรอท่าน” สิเกนถาม
“ก็อาจารย์ของข้าเอง ท่านพ่อเฒ่าวิรุง” ชายชราตอบ
“แล้วเราจะพบ ท่านพ่อเฒ่าของท่านลุงได้อย่างไรล่ะ” เด็กหนุ่มถาม
"นาคาพิฆาต" ตอนที่ 4 คืนปริศนา by วิรุฬห์
“นี่นะน้องหญิง เจ้ายังมิได้บอกพี่เลยว่าสิ่งที่เจ้ากังวลใจนะ คือเรื่องอันใดรึ” บุรุษวัยกลางคนอายุประมาณ 50 เอ่ยถามสตรีที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสตรีที่รักปานดวงใจมาเป็นเวลาช้านาน กษัตริย์ผู้ครองเมืองกุสินารา ต่อหน้าทหารและประชาชน เขาคือกษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา และความน่าเกรงขาม หากแต่พออยู่กับสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “มเหสี” เขากลับกลายเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งซึ่งรักหญิงคนหนึ่งปานดวงใจ
กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช มีมงกุฎและยศถาบรรดาศักดิ์ที่บ่งบอกว่าหน้าที่นั้นหนักหนาสาหัสเพียงไร หากทว่ามิว่าจะเหนื่อยแสนเหนื่อยสักเพียงใด ก็สามารถเก็บความรู้สึกและความกังวลในใจได้อย่างมิดชิด จะมีเพียงแต่รอยยิ้มที่ทำให้สตรีผู้อยู่ข้างกายสบายใจ แค่เพียงได้เห็นใบหน้าสักเพียงนิดของมเหสีจุฬารัศมี ก็ทำให้ความกลัดกลุ้มในใจของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชลดลงอย่างประหลาด
“สิ่งที่น้องกังวลใจนั้น น้องคิดว่าสิ่งนั้นยากเกินกว่าที่เราจะสามารถแก้ไขได้นะเพคะท่านพี่” มเหสีเอ่ยขึ้น
“พี่เป็นถึงกษัตริย์ จะมีสิ่งใดอีกเล่า ที่พี่จะแก้ปัญหาให้น้องมิได้ เว้นแต่เพียงดวงดาวดาราบนท้องฟ้าไกลเท่านั้น” กษัตริย์ตอบพร้อมอ้อมแขนที่แข็งแกร่งทั้งสองข้างโอบกอดมเหสีจากทางเบื้องหลัง
“สิ่งที่น้องกังวลนั้น น้องกังวลถึงลูกหญิงของเราเพคะ ” มเหสีเอ่ย พลางพูดต่อ
“เมืองของเรานั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขมาช้านาน ในปีก่อนที่มีการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า ณ วิหารเทวาลัยนั้นเล่า ครานั้นมีเจ้าชายมาร่วมงานจากหลายเมืองด้วยกัน แลลูกหญิงของเราก็รำถวายบูชาเทพเจ้า ในครั้งนั้นหม่อมฉันมองออกว่า เจ้าชายวิรังสี จากเมืองมเหศวร พึงพอใจลูกหญิงของเรามาก แลเจ้าชายองค์อื่นๆ ก็มีทีท่าที่ไม่แตกต่างกัน ฉะนั้น หากเราจะเลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งให้อภิเษกสมรสกับบุตรีของเรานั้น หม่อมฉันเกรงว่าจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเมืองได้นะเพคะ”
“น้องหญิงเอ๋ย รู้ไหมน้องนะ คิดกังวลมากเกินไปแล้ว ลูกของเราเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของกุลสตรีและเป็นคนดี และพี่ชื่อว่า เทพเทวะ จักต้องนำพาให้ลูกหญิงของเราพบเจอผู้ที่เหมาะสมและคู่ควร” กษัตริย์เอ่ยขึ้น พลางปลอบอย่างถนุถนอมให้คลายกังวลใจ มเหสีจุฬารัศมี ผ่อนคลายความทุกข์กังวลในใจลง จักมีก็เพียงแต่แววตาที่ยังอดฉายแสงแห่งกังวลออกมามิได้
“ในปีนี้ จะเป็นอีกปี ที่ในคืนวันเพ็ญ พี่จะให้ลูกของเราร่ายรำบูชาเทพเจ้า ณ เทวาลัย หากทว่าปีนี้จักเป็นปีที่พิเศษกว่าทุกๆ ปี เพราะปีนี้จักเป็นปีที่ลูกหญิงของเรา ครบ 18 ชันษา เป็นวัยที่เหมาะสมที่จะมีคู่ครองที่เหมาะสม เพราะฉะนั้น พี่จะใช้การจัดงานในครั้งนี้หลังจากบูชาเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราจะให้มีการจัดพิธีคัดเลือกผู้ที่จะเหมาะสมกับบุตรีของเรา ฉะนั้น ในการจัดงานครั้งนี้หลังจากได้บุรุษที่คู่ควรกับลูกหญิงของเราแล้ว พี่จักให้มีการเฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน และจักยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เราจะเชิญเมืองต่างๆ เข้ามาร่วมพิธีในการบูชาเทพเจ้าแลเจ้าชายองค์ใดหรือบุรุษใด ที่ยังมิได้มีคู่ครองแล้วไซร้ สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นคู่ครองของลูกเราในครั้งนี้ได้พี่จะให้ประกาศไปทั่วแคว้น เห็นทีครานี้อาจจะเกิดปาฏิหาริย์ให้ลูกเราได้พบคนที่เหมาะสมและคู่ควรก็เป็นได้” ชายวัยกลางคนกล่าว
ในท้องพระโรง กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช ได้สั่งให้โหรหลวงทำนายฤกษ์ดีในการจัดพิธีบูชาเทพเจ้า
“ข้าพระองค์ได้ตรวจดวงเมืองแล้วในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบสองนี้ จะเป็นเดือนที่พระจันทร์เต็มดวงพร้อมทั้งฤกษ์ดวงเมืองดีเหมาะแก่การทำพิธีบูชาเทพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หากแต่จะทำให้เกิดผลดีกับบ้านเมืองมากที่สุดควรจะทำพิธีในตอนกลางคืนช่วงพระจันทร์ใกล้เต็มดวงจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ที่สุดพระเจ้าข้า” โหรหลวงกล่าว
“เอ ท่านโหรา การทำพิธี ทำพิธีในตอนกลางวันก่อนเที่ยงวันจะมิดีกว่าหรือ เหมือนเช่นทุกปี ตอนกลางคืนจะได้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน” ท่านอำมาตย์กล่าว
“ท่านอำมาตย์มิรู้อะไร คืนพระจันทร์เต็มดวงในลักษณะเช่นนี้ 100 กว่าปีถึงจะมีสักครั้งหนึ่ง ปีนี้เราโชคดีที่มาครบในยุคเรา ถ้าพลาดโอกาสในช่วงนี้ ก็จะไม่ได้เจอโอกาสฤกษ์ดีอย่างนี้ละนะท่าน” โหรากล่าว
“เอาละ ที่ผ่านมาเวลามีงานอะไรสำคัญ ท่านโหราก็เป็นผู้ตรวจดูดวงเมืองตลอดมิเห็นเป็นไร ถ้าเช่นนั้นเราจักตกลงให้จัดงานพิธีบูชาเทพเจ้า ตามที่ท่านโหราบอก ส่วนการเตรียมงานข้ามอบหมายให้ท่านโหรหลวงและท่านอำมาตย์ช่วยกันจัดการงานเหมือนเคย” กษัตริย์ตรัสสั่งพร้อมทั้งอธิบายต่อ
“เรามีงานให้พวกท่านทำอีกอย่างหนึ่ง ในปีนี้หลังจากงานบูชาเทพเจ้าแล้ว เราจักให้จัดพิธีเลือกคู่ครอง ของบุตรีเราด้วย”
“ท่านอำมาตย์ ท่านจงไปป่าวประกาศให้ทั่วทุกแคว้น เจ้าชายองค์ใดหรือบุรุษใด ที่ยังมิได้มีคู่ครองแล้วไซร้ สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นคู่ครองขององค์หญิงดาราลักษณ์ในครั้งนี้ ส่วนกฎและกติกาในการคัดเลือกนั้น ทุกท่านที่เข้าร่วมการคัดเลือก จักได้ทราบพร้อมกันในวันและเวลาที่จะแข่งขัน” กษัตริย์ประกาศก้องออกไป
“รับด้วยเกล้าขอรับ” อำมาตย์รับพระราชบัญชาพร้อมด้วยสีหน้าครุ่นคิด ครานี้ช่างแปลกนัก นอกจากจะให้จัดพิธีบูชาเทพเจ้าในเวลากลางคืน แลยังต่อจากนั้น ยังจะให้มีพิธีการคัดเลือกราชบุตรเขยอีก “เฮ้อ กลุ้มแทน”
ณ บ้านนายช่างทอง บนโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่ มีเก้าอี้สามารถนั่งรอบๆ ได้ประมาณ 6 คนเป็นโต๊ะที่นายช่างทองมักจะใช้เป็นที่รับแขกหรือคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างสม่ำเสมอ
“ข้าไม่เข้าใจเลยนะท่านสิ่งสิเกน ทำไมท่านโหราจึงบอกเช่นนั้น การจัดพิธีในวันนั้นไม่แปลก แต่แปลกตรงที่ ทำไมต้องจัดพิธีต่างๆ ในตอนกลางคืน ช่วงพระจันทร์ใกล้เต็มดวง แทนที่จะจัดในช่วงเช้าเหมือนปีผ่านๆ มา แล้วไหนยังจะให้มีพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยอีก ข้าว่ามันทะๆ นะท่านว่าไหม” ท่านอำมาตย์ปรับทุกข์กับสิเกน เพื่อนสนิทมาช้านาน
“ถามข้ารึ ข้าก็ไม่รู้หรอกแต่ก็อย่างว่าบางทีท่านโหราฯ อาจจะเจอฤกษ์ที่ดี ซึ่งจะได้ผลดีต้องบูชาตอนกลางคืนก็ได้กระมัง พอกษัตริย์ท่านเห็นเป็นฤกษ์งามยามดี ก็เลยให้เอาพิธีเลือกคู่ไปพร้อมๆ กันเลย ดีกว่ามาจัดอีกทีภายหลัง ฮ่า ฮ่า ท่านก็อย่าคิดมากไปเลย” สิเกนตอบพร้อมหัวเราะ แล้วส่งถ้วยชาให้ดื่มเผื่อจะได้ใจเย็นลง
“ว่าอย่างไร วันนี้มีอะไรกินบ้าง” เสียงของมิรงค์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่ออกมา
“ อ้าว เจ้าอำมาตย์ก็อยู่รึ แหมไม่ได้เจอกันเสียนาน ไปได้ดี เป็นขุนน้ำขุนนางในวัง พุงนี้พลุ้ยขึ้นเป็นกองเลยนะ” มิรงค์เอ่ยพลางกระเซ้าเย้าแหย่อดีตเพื่อนรักขณะเดินเข้ามาในบ้านช่างทองของสิเกน และถือโอกาสนั่งร่วมโต๊ะหยิบถ้วยน้ำชาของท่านอำมาตย์มาดื่ม
“เออนี่ ไม่ได้เจอท่านตั้งนานนะท่านอำมาตย์ใหญ่ ชุดนี่สวยมากเลยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มิรงค์พูด พลางหัวเราะ พร้อมแปลกใจในสีหน้ากังวลของอำมาตย์อย่างชัดเจน จริงอยู่ ชายชรา 3 คนเป็นเพื่อนสนิทกันมาช้านาน มิรงค์ สิเกน และอำมาตย์ ทุกครั้งที่เจอกันมักจะมีเรื่องเฮฮา หรือต่อปากต่อคำเป็นประจำ แต่ครานี้ อำมาตย์เงียบแทนที่จะทักทายหรือต่อปากต่อคำเหมือนอย่างเคย
“มีเรื่องอะไรรึ ทำไมทำหน้าตาอย่างกับเมียเสีย” มิรงค์เอ่ยถาม ให้สนุกไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเมียของอำมาตย์ตายไปนานแล้ว
“เมียข้าไม่ได้เสียโว้ย เพราะเมียข้าตายไปนานแล้ว แต่ที่ข้ากังวลคือ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบสอง จะจัดให้มีพิธีบูชาเทพเจ้า” อำมาตย์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“อ้าว ก็มันเป็นวันดี จัดพิธีบูชาเทพเจ้าวันนี้ก็ไม่เห็นแปลก” มิรงค์ตอบพร้อมหัวเราะหึหึ
“ท่านคิดมากไปหรือป่าว ระวังนะท่าน คิดมากเกิดไปประเดี๋ยวศีรษะจะไม่มีผมนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มิรงค์พูดพร้อมยั่วประสาทแต่ก็หาได้ทำให้อำมาตย์ต่อล้อต่อเถียงเหมือนอย่างเดิมได้
“มันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าท่านโหราฯ ไม่แนะนำให้จัดพิธีในตอนกลางคืน” อำมาตย์เอ่ยอย่างมีกังวล
“.....มันก็.....หา เอ็งว่าอะไรนะ ไอ้อำมาตย์ ทำพิธีตอนกลางคืนเหรอ? เอ็งพูดชัดๆ สิว่าข้าไม่ได้หูฝาดไป” มิรงค์เอ่ยอย่างตกใจ
“ท่านไม่ได้หูฝาดหรอกท่านมิรงค์ ท่านอำมาตย์บอกว่า กษัตริย์จะให้มีการจัดพิธีบูชาเทพเจ้าตามคำทำนายของท่านโหราฯ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบสอง ตอนกลางคืน” สิเกนช่วยตอบอีกแรง
“............” มิรงค์มีสีหน้าบรรยายไม่ถูก เงียบไปอึดใจ จึงเอ่ยถาม
“สิเกน เอ็งมีกระดานชนวนบ้างไหมวะ”
“ไม่มีหรอก ข้าเป็นช่างทองนะ ไม่ใช่หมอดูจะได้ใช้กระดานชนวน แต่ถ้าท่านจะหาแผ่นทองและไฟละก็ ข้านะพอมี” สิเกนตอบ
“เออ นั่นข้ารู้ละ” มิรงค์เงียบไปพัก ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นปราณภพกำลังแกะสลักทองอยู่ไม่ไกลนัก
“เออ ไอ้หลานรัก” มิรงค์เอ่ยเรียก “เอ็งช่วยไปนำกระดานชนวน ดินสอชนวน และหนังสือปึกใหญ่ที่วางข้างๆ กันมาให้ข้าหน่อย”
“ได้ ท่านลุง” ปราณภพตอบพร้อมขยับตัวกำลังจะไป
“เดี่ยวก่อน แล้วเอ็งเอาแผ่นหนังม้วนเก่าๆ ที่วางไว้ในกล่องใต้ฐานพระพุทธรูปมาให้ข้าด้วย ข้าสังหรณ์ใจว่าต้องใช้มัน” มิรงค์บอก ประโยคหลังเบาเหมือนเอ่ยกับตัวเอง
“ได้ ท่านลุง” ชายหนุ่มรีบเดินออกจากบ้านไปตามคำบอกของมิรงค์
มิรงค์ขยับมานั่งพร้อมหน้าสิเกนและอำมาตย์เช่นเดิม
“มันเรื่องอะไรกันรึ ท่านมิรงค์” สิเกนถาม
“ใช่ ท่านมิรงค์ ปกติดูท่านไม่เป็นอย่างนี้ นี่ทำไมดูเรื่องใหญ่จังละท่าน” อำมาตย์เอ่ย
“ขอให้สังหรณ์ของข้าผิดด้วยเถิด เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” มิรงค์พูด พร้อมซ่อนสายตากังวล แต่ก็มิวายที่เพื่อนทั้งสองจะเห็นได้
ผ่านไปชั่วเพียงอึดใจ ปราณภพ ก็กลับมาพร้อมกับกระดานชนวนตามที่เฒ่ามิรงค์สั่งก่อนจะยื่นส่งให้พร้อมกับพูดว่า
“ท่านลุง นี่จ้ะของที่ท่านให้ไปเอา”
มิรงค์รับกระดานชนวนมาจากปรานภพ พร้อมทั้งขีดเขียนตำราชนวนอยู่สักพัก ส่วนสหายทั้งสองก็รอฟังผลคำทำนายอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงหลานรักที่เป็นผู้ไปนำกระดานชนวนมาให้ ชายชราถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่เล็ดรอดสายตาของผู้เป็นหลานที่นั่งสังเกตได้
“มันน่าแปลกนะ ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้นะ” ชายชราบ่นอย่างมีสีหน้ากังวลใจ พลางบ่นต่อ
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย”
สิเกนถาม “คิดอะไรเหรอ ตกลงวันดังกล่าว ดีหรือไม่ดีล่ะท่าน”
“นั่นสิ ตกลงได้ความว่าอะไรบ้าง” ท่านอำมาตย์ถามพร้อม
“เฮ้อ!” มิรงค์ถอยหายใจ พลางตอบว่า “ได้คำตอบแล้วล่ะ”
“จริงอยู่ที่ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ในปีนี้ ฤกษ์ดีก็จริง ถ้าจัดทำพิธีในช่วงเวลาเช้าก่อนเที่ยง แต่ถ้าจัดตอนกลางคืนในช่วงใกล้พระจันทร์เต็มดวง ผลจะออกมาตรงกันข้าม” เฒ่ามิรงค์พูดด้วยความหนักใจ
“หมายความว่ายังไงท่านลุง” เด็กหนุ่มถาม
“ก็หมายความว่า ถ้าจัดทำพิธีในตอนกลางคืนใกล้พระจันทร์เต็มดวง อาจจะทำให้เกิดหายนะ เพราะในปีนี้ครบรอบ 700 ปีที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งซึ่งจะทำให้เกิดอาเพศ” ชายชราอธิบาย
“อธิบายให้ชัดๆ หน่อยสิวะ ไอ้ที่ครบรอบ 700 ปี หมายถึงอะไรวะ” อำมาตย์ถาม
“ก็หมายถึง เมื่อ 700 ปี ที่แล้วได้เกิดเหตุการณ์คืนพระจันทร์เต็มดวงและเป็นปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือด ว่ากันว่าในคืนวันดังกล่าว เจ้าแม่จะดื่มเลือดสาวบริสุทธิ์ที่ทำพิธีร่ายรำถวายเทพเจ้า แต่ถ้าไม่มีการร่ายรำถวายเทพเจ้า หรือไม่มีการนำสาวพรหมจรรย์ถวายให้เจ้าแม่ดื่มเลือดแล้วไซร้ บ้านเมืองก็จะเกิดหายนะ ธรณีจะสูบ แผ่นดินจะสะเทือน เลือดจะไหลนองแผ่นดิน” ชายชราเล่า พลางถอนหายใจ
“แล้วเราหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ได้หรือไม่” ท่านอำมาตย์ถามต่อ
“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ ไม่มีในบันทึกบอกไว้ แต่...ข้ารู้จักคนๆ หนึ่งที่สามารถช่วยได้” มิรงค์ตอบ
“ใครเหรอท่าน” สิเกนถาม
“ก็อาจารย์ของข้าเอง ท่านพ่อเฒ่าวิรุง” ชายชราตอบ
“แล้วเราจะพบ ท่านพ่อเฒ่าของท่านลุงได้อย่างไรล่ะ” เด็กหนุ่มถาม