กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กำลังนั่งทรงอักษรอยู่ในห้องทำงาน
“เพลานี้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ราษฎรก็อยู่กินกันอย่างสงบสุข” กษัตริย์คิด
“จริงอยู่ เพลานี้ข้าวปลาอาหารมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ และราษฎรอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ถ้าท่านไม่ฟังคำเตือนของข้า บ้านเมืองที่ท่านรักนักรักหนา อาจจะเกิดหายนะตามมา” เสียงหนึ่งดังแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจก้องอยู่ในโสตประสาทของกษัตริย์
“ท่านเป็นใครกัน” กษัตริย์ถามขึ้น พร้อมมีสีหน้าหวาดกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น
“เราเอง วิรุง” มิทันขาดคำก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนพร้อมถือไม้เท้าขึ้นมา
กษัตริย์มีทีท่าสงสัยและลังเล พินิจพิจารณาก่อนจะค่อยๆ ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“เราแน่ใจว่า เรามิเคยพบหรือรู้จักท่านมาก่อน” กษัตริย์ตอบ
พ่อเฒ่าวิรุงยิ้มนิดๆ ในใบหน้า ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ในห้องทรงงาน
“ใช่ กับท่าน ท่านอาจจะจำเราไม่ได้ เราเคยเจอท่านตั้งแต่ท่านยังเล็กนัก พ่อของท่าน คือ สหายของเรา” พ่อเฒ่าตอบ
“ท่านคือ สหายของท่านพ่อเราหรือ ใครจะไปเชื่อว่าท่านพ่อเราจะมีเพื่อนแบบนี้ และต่อให้เป็นจริงๆ ท่านก็น่าจะอายุ 100 กว่าปีได้แล้ว” กษัตริย์ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยเต็มที
“เราเป็นเพื่อนของพ่อท่านจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเราพิสูจน์ให้ดูก็ได้ ตรงผนังกำแพงด้านหลังภาพวาดนั่น จะมีช่องลับซ่อนอยู่ ท่านต้องเอาภาพนั้นออกก่อน” วิรุงบอกกษัตริย์
กษัตริย์พยายามลองทำตามเพื่อพิสูจน์สิ่งที่วิรุงพูด
“ไหนกัน ไม่เห็นมีช่องลับอะไร นอกจากพนังที่ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยอะไรเลยสักนิด” กษัตริย์ต่อว่า
“ก็ท่านมองด้วยตา ท่านจะเห็นได้อย่างไรกันเล่า ท่านต้องมองสิ่งนั้นด้วยใจแล้วท่านถึงจะเห็น” วิรุงตอบ
“มานี่ข้าจะทำให้ดูเอง” เฒ่าวิรุงพูดพร้อมกับเดินไปตรงตำแหน่งช่องลับนั้นซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนจะมีช่องลับได้
วิรุงเดินเข้าไปใกล้ฝาผนังตรงนั้นพร้อมกับเอาหัวไม้เท้ากะเทาะเข้าไป เสียงดังก้องแต่แผ่วเบานั่นหมายถึงภายในมีช่องว่างอะไรซ่อนอยู่
“ท่านรู้ได้อย่างไรกัน” กษัตริย์อดที่จะถามต่อไม่ได้
“ท่านอย่าถามเลยว่าเรารู้ได้อย่างไร ข้าน่าจะถามท่านว่า ทำไมท่านถึงไม่รู้” วิรุงตอบกลับด้วยคำถาม
“อ้าว แล้วจะเปิดอย่างไรล่ะ” กษัตริย์ถาม
“นี่ยังไง” วิรุงเดินไปที่โต๊ะทรงงาน แล้วเปิดลิ้นชักออกมา ก่อนที่ใช้มือจับตัวมังกรที่อยู่ในลิ้นชัก หมุนไปอีกด้านหนึ่ง แล้วเสียงเบาๆ ของกำแพงหินก็ค่อยๆ ขยับเปิดออกมาให้เห็นช่องว่างที่เก็บสิ่งของบางอย่างอยู่ภายใน
“นี่ท่าน ท่าน ท่านเป็นเพื่อนท่านพ่อจริงๆ หรอกหรือ” กษัตริย์ถามด้วยความสงสัยปนแปลกใจเป็นที่สุด
“ใช่ แล้วท่านก็ควรนำสิ่งของในนั้นออกมาดูเสียก่อนว่าเป็นอันใด” เฒ่าวิรุงบอกพร้อมกับค่อยๆ นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม
“นี่มันอะไรกันท่านพ่อเฒ่า” กษัตริย์ถือกระดาษม้วนใหญ่ๆ เก่าเก็บมา 3 ม้วน พร้อมกริชด้ามเล็ก ประดับไปด้วยทับทิมสีแดงที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรกริชเล่มนี้ได้ เนื้อยังเป็นเงามัน และคมกริบ
“อะท่าน ระวังความคมของกริชเล่มนั้นด้วยนะท่าน ถ้าไม่ใช่เจ้าของของกริชจริงๆ อย่าไปใช้เลยจะอันตรายเสียเปล่าๆ” พ่อเฒ่าวิรุงเตือนกษัตริย์ ก่อนที่กษัตริย์จะค่อยๆ วางกริชลงบนโต๊ะ พร้อมกับหอบกระด้านม้วนมาส่งให้วิรุง
“นี่มันอะไรกัน” กษัตริย์ถามพ่อเฒ่า
“นี่ก็คือสิ่งที่จะช่วยท่าน เมื่อยามที่ถึงภาวะคับขันอย่างไรละพระองค์” พ่อเฒ่าวิรุงตอบ
“ภาวะคับขันอันใด ข้ามิเห็นจะรู้เรื่องเลยท่านผู้เฒ่า ตอนนี้บ้านเมืองของเราก็ปกติสุขดี หาได้เกิดภยันอันตรายอื่นใดไม่” กษัตริย์ตอบท่านผู้เฒ่า
“อย่าชะล่าใจไปนักท่าน ในเวลานี้ใกล้เกิดหายนะขึ้นกับเมืองของท่าน ถ้าท่านไม่อยากให้เกิดหายนะหรือการนองเลือด ได้โปรดฟังคำเตือนของเรา” พ่อเฒ่าวิรุงเตือนด้วยสีหน้าเงียบขรึม
“ข้ายังไม่เข้าใจที่ท่านบอก ท่านพ่อเฒ่าและข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ข้าจะไว้ใจท่านได้ และท่านจะพูดความจริงกับข้าทุกประการ” กษัตริย์ถาม
“สิ่งนี้พอจะยืนยัน ได้หรือไม่” ชายชราพูดพลางเอื้อมมือไปแตะที่แขนของกษัตริย์ตรงหน้า ทันทีนั้นภาพอดีตก็เกิดขึ้น ชายชราตรงหน้าในครั้งนั้น เอื้อมมือมาจับศีรษะของทารกน้อยในเบาะทองพลางเอ่ยวาจา
“ในภายภาคหน้าขอให้เจ้าเป็นกษัตริย์ที่ดี และถ้าเกิดมีเหตุอันใดไม่ว่าเราอยู่หนใด เราจะรีบกลับมาช่วยเจ้า” ชายชราเอ่ย
“ขอบคุณท่านพ่อเฒ่า เราขอฝากบุตรเราด้วยถ้าเกิดเหตุอันใด ขอท่านอย่าได้ละทิ้ง ขอท่านจงมาช่วยบุตรเราด้วยเถิด” กษัตริย์วิษณุมหาราช บิดาของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชในครานั้นเอ่ยขึ้น
“เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา” พ่อเฒ่าเอ่ย
ภาพในอดีตค่อยๆ เลือนลางจางหายไป
“โอ้ ท่านพ่อเฒ่า ข้าขอไหว้ท่าน” กษัตริย์ภัคขินัยพูด
“ไม่เป็นไรหรอกท่าน ที่เรารีบมานี่ เพราะเราได้ข่าวที่เป็นลางร้ายที่จะเกิดขึ้นในครานี้ เลยรีบรุดมาหาท่านเพื่อหาทางป้องกันไว้ก่อน” พ่อเฒ่าตอบ
“เอ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือท่าน” กษัตริย์ถาม
“ท่านจะจัดให้มีการไหว้บูชาเทพเจ้า ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ตอนกลางคืนจริงหรือไม่” ชายชราถาม
“จริง ท่าน” กษัตริย์ตอบ
“แล้วท่านยังจะให้จัดพิธีเลือกคู่ครองให้กับองค์หญิงด้วยรึ” ผู้เฒ่าถามต่อ
“จริงทุกประการ” กษัตริย์ตอบ
“ในเวลานั้นในวันดังกล่าว ท่านรู้หรือไม่ ไม่ใช่จะทำให้เกิดผลดี มีแต่จะทำให้เกิดหายนะ อย่างแสนสาหัส” พ่อเฒ่าตอบ
องค์กษัตริย์ได้ฟังมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง
“หายนะเหรอ ไม่นะ ไม่น่าจะเป็นไปได้” กษัตริย์คิดก่อนจะพูดต่อว่า
“จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านโหรหลวงเป็นผู้ทำนายฤกษ์นี้เอง” กษัตริย์ตอบ
“งั้นก็ต้องถามว่า ท่านโหรหลวงเกี่ยวข้องอะไรกับแม่เฒ่า ทำไมถึงเจตนาทำเช่นนั้น ในคืนพระจันทร์สีเลือด” ชายชราถาม
“แม่เฒ่าอะไรกันท่านวิรุง” กษัตริย์ถามอย่างฉงนใจหนัก
“ถ้าท่านได้อ่านในบันทึกม้วนนั้น ท่านก็จะรู้เรื่องแม่เฒ่า” วิรุงพูดพร้อมกับชี้ไปที่กระดาษม้วนล่างสุด
“แต่ข้ายังมิได้อ่าน” กษัตริย์ตอบ
“ใช่ ท่านยังมิได้อ่าน แต่ท่านจะประกอบพิธีนั้นในตอนกลางคืนไม่ได้” วิรุงบอกกษัตริย์
“แล้วถ้าทำพิธีจะเป็นเช่นไร และถ้าไม่ทำพิธีจะเป็นเช่นไร” กษัตริย์ถาม
“ถ้าทำพิธีในวัน เวลาที่โหรหลวงกำหนด บ้านเมืองจะสงบสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่าเราจะสูญเสีย 1 ชีวิตเพื่อบูชาแม่เฒ่า แต่หลังจากที่แม่เฒ่าหลังจากดื่มเลือดสาวพรหมจรรย์แล้วจะกลับมามีอิทธิฤทธิ์แลอำนาจ ซึ่งสาวพรหมจรรย์ที่นางวางแผนไว้ก็คือ ลูกหญิงของท่าน” พ่อเฒ่าพูด
“อะไรนะ ท่านว่าอะไรนะ ลูกหญิงของข้านะรึ ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นลูกของข้า”” กษัตริย์อุทานถามด้วยความตกใจ
“ลูกท่าน มีบางสิ่งที่สตรีอื่นไม่มี การดื่มเลือดบุตรีของท่านจะทำให้แม่เฒ่ากลับมามีพลังอำนาจมากเกินกว่าใครจะเทียบได้ แม้แต่ข้าเอง” พ่อเฒ่าอธิบาย
“แลถ้าปล่อยให้เกิดการดื่มเลือดจากบุตรีของท่านแล้วไซร้ หลังจากตอนนั้นแม้แต่ท่านก็ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของนาง แต่หากในทางตรงกันข้าม หากไม่มีการบูชาหรือเซ่นสังเวยแล้วไซร้ ในเพลานั้นบ้านเมืองก็จะเกิดหายนะ นองเลือดในคืนจันทร์สีเลือดเช่นกัน เพราะแม่เฒ่าคงจะไม่ยอมให้บ้านเมืองสุขสงบอีกต่อไปหรอก” พ่อเฒ่าอธิบาย
“ไม่ว่าจะทางไหน ก็คือ นองเลือด แล้วข้าควรจะทำอย่างไรเล่าท่าน” กษัตริย์ถาม
“ท่านไว้ใจข้า และเชื่อข้าไหม” พ่อเฒ่าถามกษัตริย์อย่างจริงจัง
“ได้ ข้าเชื่อ” กษัตริย์ตอบอย่างรู้ว่าไม่มีตัวเลือกอื่นใดที่ช่วยได้กับเหตุการณ์ในครั้งนี้
“ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะจัดการเองท่านจงทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถิด” ชายชราบอก
“แล้วอีกอย่าง สิ่งที่ท่านควรจะทำในระหว่างนี้ คือ ท่านควรจะอ่านบันทึกนั่นให้ครบ และเก็บกริชไว้ให้ดีรอเจ้าของตัวจริงมาเจอ เข้าใจที่ข้าบอกใช่ไหม” ชายชราถามย้ำอีกรอบ
“ข้าเข้าใจแล้วท่านผู้เฒ่า ฝากท่านด้วย” กษัตริย์เอ่ยด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะมาส่งข่าวท่านเองเป็นระยะ” ชายชราตอบพร้อมหายไป เหลือเพียงกษัตริย์นั่งในห้องทรงอักษรองค์เดียวกับแววตาที่มีกังวล
“มันจะเกิดสิ่งใดขึ้น แม่เฒ่าคือใคร ทำไมถึงได้ต้องการดื่มเลือดบุตรีของข้า ข้าควรจะทำเยี่ยงไรดี“ กษัตริย์ได้แต่ตกใจเป็นที่สุดกับสิ่งที่ได้รับ สาส์นจากชายชราที่นำมาบอกทำให้อึ้งกับสิ่งที่รับรู้ ทำเอาเขาหมดแรงทรุดตัวลงที่โต๊ะทรงอักษร กับกริชที่วางอยู่ตรงหน้า และม้วนกระดาษที่อยู่ในมือ
"นาคาพิฆาต" ตอนที่ 5 สาส์นจากชายชรา by วุรุฬห์
กษัตริย์ภัคขินัยมหาราช กำลังนั่งทรงอักษรอยู่ในห้องทำงาน
“เพลานี้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ราษฎรก็อยู่กินกันอย่างสงบสุข” กษัตริย์คิด
“จริงอยู่ เพลานี้ข้าวปลาอาหารมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ และราษฎรอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ถ้าท่านไม่ฟังคำเตือนของข้า บ้านเมืองที่ท่านรักนักรักหนา อาจจะเกิดหายนะตามมา” เสียงหนึ่งดังแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจก้องอยู่ในโสตประสาทของกษัตริย์
“ท่านเป็นใครกัน” กษัตริย์ถามขึ้น พร้อมมีสีหน้าหวาดกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น
“เราเอง วิรุง” มิทันขาดคำก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนพร้อมถือไม้เท้าขึ้นมา
กษัตริย์มีทีท่าสงสัยและลังเล พินิจพิจารณาก่อนจะค่อยๆ ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“เราแน่ใจว่า เรามิเคยพบหรือรู้จักท่านมาก่อน” กษัตริย์ตอบ
พ่อเฒ่าวิรุงยิ้มนิดๆ ในใบหน้า ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ในห้องทรงงาน
“ใช่ กับท่าน ท่านอาจจะจำเราไม่ได้ เราเคยเจอท่านตั้งแต่ท่านยังเล็กนัก พ่อของท่าน คือ สหายของเรา” พ่อเฒ่าตอบ
“ท่านคือ สหายของท่านพ่อเราหรือ ใครจะไปเชื่อว่าท่านพ่อเราจะมีเพื่อนแบบนี้ และต่อให้เป็นจริงๆ ท่านก็น่าจะอายุ 100 กว่าปีได้แล้ว” กษัตริย์ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยเต็มที
“เราเป็นเพื่อนของพ่อท่านจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเราพิสูจน์ให้ดูก็ได้ ตรงผนังกำแพงด้านหลังภาพวาดนั่น จะมีช่องลับซ่อนอยู่ ท่านต้องเอาภาพนั้นออกก่อน” วิรุงบอกกษัตริย์
กษัตริย์พยายามลองทำตามเพื่อพิสูจน์สิ่งที่วิรุงพูด
“ไหนกัน ไม่เห็นมีช่องลับอะไร นอกจากพนังที่ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยอะไรเลยสักนิด” กษัตริย์ต่อว่า
“ก็ท่านมองด้วยตา ท่านจะเห็นได้อย่างไรกันเล่า ท่านต้องมองสิ่งนั้นด้วยใจแล้วท่านถึงจะเห็น” วิรุงตอบ
“มานี่ข้าจะทำให้ดูเอง” เฒ่าวิรุงพูดพร้อมกับเดินไปตรงตำแหน่งช่องลับนั้นซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนจะมีช่องลับได้
วิรุงเดินเข้าไปใกล้ฝาผนังตรงนั้นพร้อมกับเอาหัวไม้เท้ากะเทาะเข้าไป เสียงดังก้องแต่แผ่วเบานั่นหมายถึงภายในมีช่องว่างอะไรซ่อนอยู่
“ท่านรู้ได้อย่างไรกัน” กษัตริย์อดที่จะถามต่อไม่ได้
“ท่านอย่าถามเลยว่าเรารู้ได้อย่างไร ข้าน่าจะถามท่านว่า ทำไมท่านถึงไม่รู้” วิรุงตอบกลับด้วยคำถาม
“อ้าว แล้วจะเปิดอย่างไรล่ะ” กษัตริย์ถาม
“นี่ยังไง” วิรุงเดินไปที่โต๊ะทรงงาน แล้วเปิดลิ้นชักออกมา ก่อนที่ใช้มือจับตัวมังกรที่อยู่ในลิ้นชัก หมุนไปอีกด้านหนึ่ง แล้วเสียงเบาๆ ของกำแพงหินก็ค่อยๆ ขยับเปิดออกมาให้เห็นช่องว่างที่เก็บสิ่งของบางอย่างอยู่ภายใน
“นี่ท่าน ท่าน ท่านเป็นเพื่อนท่านพ่อจริงๆ หรอกหรือ” กษัตริย์ถามด้วยความสงสัยปนแปลกใจเป็นที่สุด
“ใช่ แล้วท่านก็ควรนำสิ่งของในนั้นออกมาดูเสียก่อนว่าเป็นอันใด” เฒ่าวิรุงบอกพร้อมกับค่อยๆ นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม
“นี่มันอะไรกันท่านพ่อเฒ่า” กษัตริย์ถือกระดาษม้วนใหญ่ๆ เก่าเก็บมา 3 ม้วน พร้อมกริชด้ามเล็ก ประดับไปด้วยทับทิมสีแดงที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรกริชเล่มนี้ได้ เนื้อยังเป็นเงามัน และคมกริบ
“อะท่าน ระวังความคมของกริชเล่มนั้นด้วยนะท่าน ถ้าไม่ใช่เจ้าของของกริชจริงๆ อย่าไปใช้เลยจะอันตรายเสียเปล่าๆ” พ่อเฒ่าวิรุงเตือนกษัตริย์ ก่อนที่กษัตริย์จะค่อยๆ วางกริชลงบนโต๊ะ พร้อมกับหอบกระด้านม้วนมาส่งให้วิรุง
“นี่มันอะไรกัน” กษัตริย์ถามพ่อเฒ่า
“นี่ก็คือสิ่งที่จะช่วยท่าน เมื่อยามที่ถึงภาวะคับขันอย่างไรละพระองค์” พ่อเฒ่าวิรุงตอบ
“ภาวะคับขันอันใด ข้ามิเห็นจะรู้เรื่องเลยท่านผู้เฒ่า ตอนนี้บ้านเมืองของเราก็ปกติสุขดี หาได้เกิดภยันอันตรายอื่นใดไม่” กษัตริย์ตอบท่านผู้เฒ่า
“อย่าชะล่าใจไปนักท่าน ในเวลานี้ใกล้เกิดหายนะขึ้นกับเมืองของท่าน ถ้าท่านไม่อยากให้เกิดหายนะหรือการนองเลือด ได้โปรดฟังคำเตือนของเรา” พ่อเฒ่าวิรุงเตือนด้วยสีหน้าเงียบขรึม
“ข้ายังไม่เข้าใจที่ท่านบอก ท่านพ่อเฒ่าและข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ข้าจะไว้ใจท่านได้ และท่านจะพูดความจริงกับข้าทุกประการ” กษัตริย์ถาม
“สิ่งนี้พอจะยืนยัน ได้หรือไม่” ชายชราพูดพลางเอื้อมมือไปแตะที่แขนของกษัตริย์ตรงหน้า ทันทีนั้นภาพอดีตก็เกิดขึ้น ชายชราตรงหน้าในครั้งนั้น เอื้อมมือมาจับศีรษะของทารกน้อยในเบาะทองพลางเอ่ยวาจา
“ในภายภาคหน้าขอให้เจ้าเป็นกษัตริย์ที่ดี และถ้าเกิดมีเหตุอันใดไม่ว่าเราอยู่หนใด เราจะรีบกลับมาช่วยเจ้า” ชายชราเอ่ย
“ขอบคุณท่านพ่อเฒ่า เราขอฝากบุตรเราด้วยถ้าเกิดเหตุอันใด ขอท่านอย่าได้ละทิ้ง ขอท่านจงมาช่วยบุตรเราด้วยเถิด” กษัตริย์วิษณุมหาราช บิดาของกษัตริย์ภัคขินัยมหาราชในครานั้นเอ่ยขึ้น
“เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา” พ่อเฒ่าเอ่ย
ภาพในอดีตค่อยๆ เลือนลางจางหายไป
“โอ้ ท่านพ่อเฒ่า ข้าขอไหว้ท่าน” กษัตริย์ภัคขินัยพูด
“ไม่เป็นไรหรอกท่าน ที่เรารีบมานี่ เพราะเราได้ข่าวที่เป็นลางร้ายที่จะเกิดขึ้นในครานี้ เลยรีบรุดมาหาท่านเพื่อหาทางป้องกันไว้ก่อน” พ่อเฒ่าตอบ
“เอ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือท่าน” กษัตริย์ถาม
“ท่านจะจัดให้มีการไหว้บูชาเทพเจ้า ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ตอนกลางคืนจริงหรือไม่” ชายชราถาม
“จริง ท่าน” กษัตริย์ตอบ
“แล้วท่านยังจะให้จัดพิธีเลือกคู่ครองให้กับองค์หญิงด้วยรึ” ผู้เฒ่าถามต่อ
“จริงทุกประการ” กษัตริย์ตอบ
“ในเวลานั้นในวันดังกล่าว ท่านรู้หรือไม่ ไม่ใช่จะทำให้เกิดผลดี มีแต่จะทำให้เกิดหายนะ อย่างแสนสาหัส” พ่อเฒ่าตอบ
องค์กษัตริย์ได้ฟังมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง
“หายนะเหรอ ไม่นะ ไม่น่าจะเป็นไปได้” กษัตริย์คิดก่อนจะพูดต่อว่า
“จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านโหรหลวงเป็นผู้ทำนายฤกษ์นี้เอง” กษัตริย์ตอบ
“งั้นก็ต้องถามว่า ท่านโหรหลวงเกี่ยวข้องอะไรกับแม่เฒ่า ทำไมถึงเจตนาทำเช่นนั้น ในคืนพระจันทร์สีเลือด” ชายชราถาม
“แม่เฒ่าอะไรกันท่านวิรุง” กษัตริย์ถามอย่างฉงนใจหนัก
“ถ้าท่านได้อ่านในบันทึกม้วนนั้น ท่านก็จะรู้เรื่องแม่เฒ่า” วิรุงพูดพร้อมกับชี้ไปที่กระดาษม้วนล่างสุด
“แต่ข้ายังมิได้อ่าน” กษัตริย์ตอบ
“ใช่ ท่านยังมิได้อ่าน แต่ท่านจะประกอบพิธีนั้นในตอนกลางคืนไม่ได้” วิรุงบอกกษัตริย์
“แล้วถ้าทำพิธีจะเป็นเช่นไร และถ้าไม่ทำพิธีจะเป็นเช่นไร” กษัตริย์ถาม
“ถ้าทำพิธีในวัน เวลาที่โหรหลวงกำหนด บ้านเมืองจะสงบสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่าเราจะสูญเสีย 1 ชีวิตเพื่อบูชาแม่เฒ่า แต่หลังจากที่แม่เฒ่าหลังจากดื่มเลือดสาวพรหมจรรย์แล้วจะกลับมามีอิทธิฤทธิ์แลอำนาจ ซึ่งสาวพรหมจรรย์ที่นางวางแผนไว้ก็คือ ลูกหญิงของท่าน” พ่อเฒ่าพูด
“อะไรนะ ท่านว่าอะไรนะ ลูกหญิงของข้านะรึ ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นลูกของข้า”” กษัตริย์อุทานถามด้วยความตกใจ
“ลูกท่าน มีบางสิ่งที่สตรีอื่นไม่มี การดื่มเลือดบุตรีของท่านจะทำให้แม่เฒ่ากลับมามีพลังอำนาจมากเกินกว่าใครจะเทียบได้ แม้แต่ข้าเอง” พ่อเฒ่าอธิบาย
“แลถ้าปล่อยให้เกิดการดื่มเลือดจากบุตรีของท่านแล้วไซร้ หลังจากตอนนั้นแม้แต่ท่านก็ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของนาง แต่หากในทางตรงกันข้าม หากไม่มีการบูชาหรือเซ่นสังเวยแล้วไซร้ ในเพลานั้นบ้านเมืองก็จะเกิดหายนะ นองเลือดในคืนจันทร์สีเลือดเช่นกัน เพราะแม่เฒ่าคงจะไม่ยอมให้บ้านเมืองสุขสงบอีกต่อไปหรอก” พ่อเฒ่าอธิบาย
“ไม่ว่าจะทางไหน ก็คือ นองเลือด แล้วข้าควรจะทำอย่างไรเล่าท่าน” กษัตริย์ถาม
“ท่านไว้ใจข้า และเชื่อข้าไหม” พ่อเฒ่าถามกษัตริย์อย่างจริงจัง
“ได้ ข้าเชื่อ” กษัตริย์ตอบอย่างรู้ว่าไม่มีตัวเลือกอื่นใดที่ช่วยได้กับเหตุการณ์ในครั้งนี้
“ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะจัดการเองท่านจงทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถิด” ชายชราบอก
“แล้วอีกอย่าง สิ่งที่ท่านควรจะทำในระหว่างนี้ คือ ท่านควรจะอ่านบันทึกนั่นให้ครบ และเก็บกริชไว้ให้ดีรอเจ้าของตัวจริงมาเจอ เข้าใจที่ข้าบอกใช่ไหม” ชายชราถามย้ำอีกรอบ
“ข้าเข้าใจแล้วท่านผู้เฒ่า ฝากท่านด้วย” กษัตริย์เอ่ยด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะมาส่งข่าวท่านเองเป็นระยะ” ชายชราตอบพร้อมหายไป เหลือเพียงกษัตริย์นั่งในห้องทรงอักษรองค์เดียวกับแววตาที่มีกังวล
“มันจะเกิดสิ่งใดขึ้น แม่เฒ่าคือใคร ทำไมถึงได้ต้องการดื่มเลือดบุตรีของข้า ข้าควรจะทำเยี่ยงไรดี“ กษัตริย์ได้แต่ตกใจเป็นที่สุดกับสิ่งที่ได้รับ สาส์นจากชายชราที่นำมาบอกทำให้อึ้งกับสิ่งที่รับรู้ ทำเอาเขาหมดแรงทรุดตัวลงที่โต๊ะทรงอักษร กับกริชที่วางอยู่ตรงหน้า และม้วนกระดาษที่อยู่ในมือ