ทัณฑ์นักล่า อาญาลวง (Yaoi) บทที่ 2 นักเรียนใหม่

กระทู้สนทนา
http://ppantip.com/topic/35066153

          บทที่ 2

          

          นักเรียนใหม่

          

          อากาศที่ค่อนข้างเย็นของเช้าวันใหม่ทำให้อากีระหยิบเสื้อแจ็คเก็ตออกมาสวมทับชุดนักเรียนก่อนหันไปคว้ากระเป๋าและใส่รองเท้าอย่างเร่งรีบโดยมีมาโฮยืนมองอยู่ใกล้ๆ แม้ใบหน้าของเธอจะมีรอยยิ้มแต่ลึกลงไปในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความเป็นห่วง

          “วันนี้เลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้านนะอากีระ”

          “ครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองด้วยความสงสัยเพราะทุกครั้งเธอมักจะพูดแค่ว่า อย่าเถลไถลนะซึ่งก็เป็นแค่คำเตือนตามปกติไม่มีความวิตกกังวลแฝงอยู่บนใบหน้าเหมือนที่เขาเห็นในตอนนี้ ประกอบกับคำถามประหลาดเย็นวานเรื่องเขาเจอคนแปลกหน้าหรือเปล่า ยิ่งสร้างความฉงนจนทำให้อยากรู้แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หญิงสาวก็ชิงตัดบทเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  

          “แค่คำเตือนธรรมดาเหมือนทุกครั้งนั่นแหละไม่มีอะไรมากหรอก”

          เธอส่งยิ้มให้เป็นการปิดการสนทนา อากีระจึงทำได้แค่ขมวดคิ้วแต่ไม่กล้าถามอะไรออกไป เด็กหนุ่มพยักหน้าแทนการรับคำก่อนหิ้วกระเป๋าก้าวออกจากบ้าน มาโฮมองตามด้วยความเป็นห่วงกระทั่งอีกฝ่ายไปอยู่อีกด้านของถนน ตอนนั้นที่เธอเห็นเงาสูงทะมึนของใครบางคนมองสวนกลับมาด้วยท่าทางมุ่งร้าย แม้จะเห็นไม่ชัดว่าหน้าตาของคนผู้นั้นเป็นอย่างไรหัวใจของหญิงสาวก็กระตุกวาบด้วยความหวาดกลัว ลางสังหรณ์กระตุ้นเตือนให้นึกถึงเด็กที่เธอรักเหมือนลูกจริงๆ

          “อากีระ”

          มาโฮรีบเดินไปเปิดประตูเพื่อมองให้ชัดว่าเงาปริศนาเป็นใครกันแน่ ทันทีที่บานกระจกเปิดออก เงาคนเมื่อครู่ก็หาบวับไปเหลือไว้แต่กลิ่นไอแห่งความอำมหิต จากประสบการณ์ในอดีตทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นกลิ่นของนักล่า สัมผัสมรณะที่ได้รับทำให้มาโฮต้องกัดริมฝีปากของตัวเอง

          “พวกนั้นเจอเราแล้ว”

          

          */*/*/*/*/*

          

          ระหว่างยืนรอคิยูกิอยู่หน้าบ้าน อากีระฆ่าเวลาด้วยการมองผู้คนที่กำลังเดินไปมาด้วยท่าทางเร่งรีบ แม้ที่นี่จะเป็นเพียงเมืองเล็กๆแต่กระแสธุรกิจที่เจริญขึ้นทุกวันผนวกกับการดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากท้อง ทุกนาทีที่ผ่านไปจึงเป็นสิ่งมีค่าจนไม่มีใครกล้าเดินทอดน่องปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมายาวๆขณะปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับกระแสธารของฝูงชน หากเป็นไปได้เขาอยากให้ความระทมทุกข์ที่หมักหมมมาตั้งแต่อดีตถูกกลืนหายไปกับความเร่งรีบเหล่านั้น เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งเศร้ากับเรื่องขมขื่นอีกต่อไป และหากเทพยดามีจริงเขาก็นึกภาวนาขอให้ทุกคนในเมืองนี้ลืมเรื่องร้ายที่เกิดจากเขาไปให้หมด เรื่องร้ายๆที่มักเกิดขึ้นกับตัวเขาจะได้จบลงเสียที

          ระหว่างยืนคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น จู่ๆฝูงชนทั้งหมดก็หายวับไป ลมที่เคยพัดมาอ่อนๆก็พลอยหยุดนิ่ง ถนนทุกสายเงียบสงัดปราศจากยานพาหนะ กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นพลันรอบกายก็บังเกิดแสงสีขาวสว่างจ้ากลืนทุกอย่างจนดูขาวโพลน ดวงตาของอากีระเบิกกว้างด้วยความฉงนเขาหันซ้ายมองขวาเพื่อหาดูว่าพอจะมีใครเหลือเป็นเพื่อนเขาสักคนหรือไม่ทันใดนั้นเองหัวใจของเขาก็เกิดอาการกระตุก ร่างกายเกิดอาการสั่นสะท้านจากแรงกดดันที่ส่อถึงความมุ่งร้ายสัมผัสมาทางด้านหลัง ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นภายในใจ เด็กหนุ่มหันหน้าขวับไปมอง

          “ใครน่ะ?!”

          ร้องถามทั้งที่ใจยังคงเต้นระรัว มือกำกระเป๋าแน่นจนเหงื่อซึม พอเห็นเงาร่างสูงของใครบางคนปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันเด็กหนุ่มรีบถอยหนีแต่เหมือนเท้าทั้งสองข้างจะถูกยึดด้วยหมุดโลหะทำให้ไม่อาจขยับได้ อากีระก้มหน้าลงมองขาของตัวเองเลิ่กลั่กและพยายามออกแรงดึงแต่มันก็ไม่ยอมขยับ แต่ความตระหนกของเขาก็ถูกขัดด้วยเสียงทุ้มของใครบางคน  

          “ปิศาจ”

          อากีระมุ่นคิ้วหยุดดิ้นรน เขาจ้องร่างทะมึนซึ่งบัดนี้หยุดอยู่ตรงหน้า เสียงคำรามต่ำๆที่ดังออกมาทำให้รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่มาจากเงาประหลาดนี่เอง

          “แกเป็นใคร” เด็กหนุ่มข่มความกลัวร้องถามพลางจ้องร่างตรงหน้าอย่างระแวง ทั้งที่ยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่เขากลับเห็นแค่ลูกไฟสีแดงกำลังเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ในตำแหน่งที่น่าจะเป็นลูกนัยน์ตา ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นมองไม่ออกเลยว่าเป็นยังไง ความกลัวกับสิ่งที่เห็นบังคับให้เขาถามต่อด้วยเสียงที่สั่นอันเนื่องมาจากความกลัว “ต้องการอะไรจากฉัน”

          “ชีวิตของเจ้า” มันตอบสั้นๆพร้อมกับยกมือที่มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นชี้ตรงมาข้างหน้า

          “จงตายซะ!”

          เพลิงสีแดงฉานระเบิดลุกโชติช่วงกลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่วิ่งเข้าใส่อากีระ เขารีบยกมือขึ้นป้องความร้อนของลมสะบัดผ่านหน้าตามมาด้วยเสียงระเบิดดังตูม เปลวไฟแดงฉานเผาแขนเสื้อจนได้กลิ่นเหม็นไหม้แต่ไม่ลามไปถึงส่วนอื่น แทนที่จะได้รับความร้อนของเพลิงเขากลับสัมผัสถึงความเย็นดุจลมในฤดูหนาว ความสงสัยทำให้เด็กหนุ่มมองลอดมือและอ้าปากค้างเมื่อพบว่าร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยม่านทรงกลมสีขาวใส ส่วนเพลิงที่เกิดจากการโจมตีเมื่อครู่แตกสลายหายไปหมดแล้ว

          “โล่คุ้มครอง” เงาปริศนาพูดเสียงเหยียด “สามารถสร้างเกราะได้ทั้งที่ยังไม่รู้สึกถึงพลังของตัวแบบนี้แสดงว่าเจ้าเป็นปิศาจที่แท้จริง”

          ดวงตาแดงก่ำจ้องอากีระอย่างมาดร้าย  

          “ขอสนุกกับเจ้าต่ออีกหน่อยแล้วค่อยกำจัดพร้อมกันที่เดียวทั้งสองคน”

          เป็นคำพูดกำกวมแถมไม่เอ่ยชื่อออกมาแต่อากีระกลับรู้ได้ทันทีว่าเงาร้ายนั้นกำลังพูดถึงใคร ความห่วงทำให้เด็กหนุ่มเผลอหลุดปากร้องห้าม

          “อย่าทำร้ายคุณมาโฮนะ!”

          ดวงตาสีเพลิงหรี่ลงเล็กน้อย อากีระรู้สึกเหมือนร่างนั้นกำลังแสยะยิ้ม  

          “สมเป็นคำพูดของปิศาจ” เสียงคำรามดังออกมาขณะเงาดำเลื่อนตัวถอยห่างออกไป “วันนี้ข้าจะละชีวิตของพวกเจ้าไว้แต่ครั้งหน้าเจ้ากับนางไม่รอดแน่”

          แสงเจิดจ้าบาดตาสว่างวาบขึ้นอีกครั้งจนเด็กหนุ่มต้องหลับตาแน่น อากาศที่หนักอึ้งเหมือนแผ่นหินคลายลง พอความกดดันมลายหายไปเด็กหนุ่มก็ทรงกายยืนต่อไปไม่ไหว ร่างผอมบางทรุดฮวบลงไปนั่งกองกับพื้น ในหูก้องไปด้วยเสียงของใครบางคนกำลังเรียกชื่อเขาไม่หยุด

          “อากีระ อากีระ อากีระ”

          “อือ” เด็กหนุ่มพึมพำด้วยความรำคาญพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างปิดหูของตัวเองเอาไว้ แต่ชื่อของเขาก็ยังถูกเรียก

          “อากีระ”

          คราวนี้มันอยู่ข้างตัวแถมดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกน อากีระสะดุ้งลืมตามองพอเห็นว่าเป็นคิยูกิเด็กหนุ่มก็ลดมือทั้งสองข้างลง อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง

           “เป็นอะไรไปน่ะอากีระ”

          คำถามนั้นทำให้เขาได้สติและเริ่มกวาดตามองไปรอบตัว ฝูงชนยังคงเดินขวักไหขว่ รถราวิ่งไปมาตามปกติ ส่วนคิยูกินั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า มือสองข้างยังคงจับไหล่เขาเอาไว้แน่น ดวงหน้าน่ารักจ้องเขาแน่วนิ่ง

          “อากีระ” เด็กสาวเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งเอ๋อ อากีระยกมือขึ้นกุมหน้าผากและไล่เรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่ไม่ว่าจะเค้นสมองใช้ความคิดยังไงก็นึกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่ แต่ขืนเล่าให้คิยูกิฟังเธออาจเป็นห่วงเขามากกว่าเดิม

          “อยู่ๆก็หน้ามืดขึ้นมาน่ะสงสัยเพราะไม่ได้กินข้าวเช้า” เขาแสร้งปดและส่งยิ้มให้ก่อนดันกายลุกขึ้นแต่ความมึนงงทำให้ซวนเซเล็กน้อย เด็กสาวรีบเข้าไปช่วยประคอง

          “แน่ใจนะว่าแค่หน้ามืด” เธอถามย้ำพร้อมกับใช้หลังมือแตะหน้าผาก “ไข้ก็ไม่มี”

          “ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ” อากีระยืนกรานและเบี่ยงประเด็นเด็กสาวด้วยการคว้ากระเป๋าของเธอมาถือ “สายแล้วรีบไปกันเถอะ”

          เด็กหนุ่มก้าวยาวๆนำไปทันทีเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก คิยูกิมองตามหลังด้วยความเป็นห่วงแต่เพราะรู้นิสัยว่าคนปากแข็งอย่างอากีระต่อให้ไข้ขึ้น 40 องศาก็ไม่มีวันปริปาก เธอจึงจำต้องตัดใจก่อนจะรีบเดินตาม

          พอถึงโรงเรียนทั้งคู่ตรงเข้าห้อง เสียงร้องทักทายจากเพื่อนร่วมชั้นทำให้คิยูกิจำต้องแยกตัวจากอากีระเพื่อเข้าไปพูดคุย ซึ่งเด็กหนุ่มเองก็ไม่ใส่ใจกับการเสวนากับคนอื่นพอถึงโต๊ะก็วางกระเป๋านั่งเท้าคางมองเพื่อนๆที่กำลังนั่งพูดจาเล่นหัวกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น ทุกคนจึงแยกย้ายไปนั่งที่ ถึงอย่างนั้นก็ยังจ้อกันไม่เลิกกระทั่งอาจารย์เปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง หัวหน้าชั้นจึงรีบออกคำสั่ง

           “ทำความเคารพ!”

          เสียงพูดคุยเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ภายในห้องเรียนเงียบกริบลงทันที อาจารย์ประจำชั้นวางสมุดเล่มหนาลงบนโต๊ะกวาดตามองไปทั่วๆและส่งเสียงกระแอมออกมาเบาๆ

          “อรุณสวัสด์ทุกคน ครูหวังว่าการบ้านของพวกเธอคงเสร็จเรียบร้อยดีนะ” เขาแกล้งแยกเขี้ยวขู่เด็กนักเรียนก่อนส่งยิ้มให้และกล่าวต่อด้วยเสียงที่ผ่อนลงกว่าเดิม

          “วันนี้ครูมีเรื่องแปลกใจมาฝาก” เขาเว้นระยะเพื่อให้เด็กทำหน้าอยากรู้อยากเห็นจึงเฉลย “พวกเธอจะได้เพื่อนใหม่มาอีกคน”

          เขาหันไปผงกศีรษะที่ประตูทางเข้าเชิงอนุญาต นักเรียนชายคนหนึ่งจีงเดินเข้ามาและหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง  

          “นิโนมิยะ ยู ครอบครัวของเขาเพิ่งย้ายมาจากไซตามะ” อาจารย์ประจำชั้นหันไปทางเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าขรึมค่อนไปทางดุแถมตัวสูงใหญ่กว่าทุกคนในห้องพอเห็นเขาไม่พูดอะไรเลยช่วยเตือน “ไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอ”

          “ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดออกมาอย่างเสียไม่ได้เพื่อตัดรำคาญมากกว่า น้ำเสียงทุ้มนุ่มสมชายของเขาสร้างความประทับจนสาวบางคนร้องกรี๊ดเบาๆ แต่สำหรับอากีระกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว เขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน เด็กหนุ่มคิดพลางเหลือบตามองคนเข้าใหม่แต่ต้องพบกับความประหลาดใจเพราะเขาคือชายคนเดียวกับคนที่เข้ามาช่วยเมื่อเย็นวาน ที่สำคัญดวงตาสีเข้มของผผู้ชายคนนั้นจ้องตรงเป๋งมายังเขาอย่างเจาะจง  

          “ที่นั่งตรงอากีระยังว่าง” เสียงอาจารย์ดังขัดความคิดของคนทั้งสอง “ขาดเหลืออะไรสงสัยตรงไหนถามเขาได้”

          ไม่มีการตอบรับ ไร้คำขอบคุณหรือกล่าวเพิ่มเติมอะไร นิโนมิยะ ยู ก้าวยาวๆไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะของอากีระท่ามกลางสายตาหลงใหลของเหล่านักเรียนหญิงและแววตาหมั่นไส้แกมริษยาจากกลุ่มนักเรียนชาย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิด ชายหนุ่มหันไปมองอากีระซึ่งกำลังยื่นหนังสือแบ่งหนังสือให้ดูและกระตุกรอยยิ้ม

           “พบกันอีกครั้งจนได้นะ อากีระ”

          น้ำเสียงของเขาสร้างควาตระหนกจนหนังสือหลุดจากมือร่วงลงพื้น เด็กหนุ่มมองคนตัวใหญ่ก้มลงเก็บด้วยหัวใจที่สั่นระรัว มันเป็นเสียงเดียวกันกับเงาปริศนาที่ขู่จะฆ่าเขาเมื่อเช้านี้

          “นายคือคนที่ฉันเจอเมื่อเช้า”

          “พูดเรื่องอะไรของนาย” นิโนมิยะพูดพร้อมกับตีสีหน้างุนงง “จำที่ฉันช่วยนายเอาไว้เมื่อวานไม่ได้เหรอ”

          อากีระเบิกตากว้างทำท่าราวกับคิดขึ้นมาได้

          “จริงด้วย” เขายกมือขึ้นกุมศีรษะแล้วโคลงไปมา “ขอโทษที พอดีฉันกำลังงงกับภาพซ้อนบางอย่างที่เจอมาเมื่อเช้าน่ะเลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป”

          “ภาพซ้อน” นิโนมิยะลดเสียงลงถามเพราะไม่อยากโดนอาจารย์ดุ “ภาพซ้อนอะไรของนาย”

          “เรื่องไร้สาระน่ะ ยังไงฉันก็ต้องขอขอบใจนายมากสำหรับเรื่องเมื่อวาน”

          “ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายตอบอย่างอารมณ์ดีและยุติการสนทนาไว้แค่นั้นก่อนหันไปสนใจกับการสอนตรงหน้าห้อง ส่วนอากีระยังคงชำเลืองมองเขาเป็นระยะแต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า

          “เราคงคิดมากไปเอง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่