นิยายเรื่องเก่านำมาเล่าใหม่ค่ะ ปรับปรุงเนื้อหา เพิ่มรายละเอียด รื้อบางช่วงใหม่หมด
และเป็นแนว Yaoi แต่ไม่มีฉากเรทนะคะ
ทัณฑ์นักล่า อาญาลวง
บทที่ 1
อากีระ
เสียงตุบตับเหมือนคนกำลังวิวาทกันดังออกมาจากตรอกแคบๆไม่ไกลจากโรงเรียนมัธยมเท่าใดนัก ถ้าใครสักคนสนใจมองจะเห็นวัยรุ่นสามคนกำลังรุมเตะนักเรียนวัยเดียวกันแต่ตัวเล็กกว่าอย่างสนุกสนาน พอหยุดหนึ่งในกลุ่มก็นั้นกระชากคอเสื้อของเขาให้ลุกขึ้น ฝ่ามือหนาฟาดเปรี้ยงจนหน้าสะบัดก่อนผลักให้กระแทกกับกำแพง ร่างผอมบางไหลรูดลงไปนั่งกองกับพื้นพอขยับก็ถูกเท้าของเด็กอีกคนเหยียบเอาไว้
“อย่าสะเออะมายุ่งกับพวกฉันอีกไม่อย่างนั้นจะเจ็บตัวยิ่งกว่านี้”
คนตัวโตที่สุดในกลุ่มกระชากเสียงขู่ก่อนหันไปทางเพื่อนทั้งสองคน “ไปโว้ยพวกเรา”
ทั้งคู่พยักหน้ารับแต่ก่อนจะเดินหนึ่งในนั้นหันไปถ่มน้ำลายใส่คนที่พื้นและสำรากคำพูดอย่างดูถูก
“
! อย่างแกมันก็ได้แค่นี้แหละวะไอ้นักเรียนดีเด่น”
จากนั้นทั้งหมดก็เดินส่ายอาดๆออกไปทิ้งให้เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นยืนโซเซไปมา พอเห็นกุ๊ยทั้งสามพ้นไปจากสายตาแล้วเขาก็ถ่มเลือดออกจากปาก จัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้เข้ารูประหว่างนั้นเองเด็กสาวในชุดนักเรียนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อากีระ!”
“คิยูกิ” เด็กชายเอ่ยตอบพร้อมกับใช้หลังมือป้ายเลือดที่ติดอยู่ริมปาก คิยูกิเลยใช้ผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดใบหน้าให้
“โดนพวกอิวาซากิทำร้ายอีกแล้วเหรอ” ถามอย่างไม่ค่อยพอใจนักแต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่สนใจ
“พวกเขาเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ” ตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้สร้างความกังวลต่อเขาเท่าใดนัก คิยูกิย่นคิ้วทำหน้ามู่
“นี่ไม่เรียกว่านิดหน่อยแล้วนะ” เธอกระแทกเสียงพลางใช้นิ้วแตะหยดเลือดเล็กๆตรงมุมปากแล้วยื่นไปจ่อไว้ที่หน้าของเด็กหนุ่ม “ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ จะได้จับเจ้าพวกนั้นมาลงโทษ”
“อย่านะ!” อากีระร้องเสียงดังจนอีกฝ่ายผงะ พอรู้ตัวเขาก้มหน้าลงมองพื้น “ถ้าทำแบบนั้นเธอจะพลอยซวยไปด้วย ขอร้องล่ะฉันไม่เป็นอะไรจริงๆเธออย่ายุ่งเรื่องนี้เลยนะ”
คิยูกิมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เพราะทุกครั้งที่โดนทำร้ายและเธอพยายามไปบอกอาจารย์เขาจะรีบห้ามพร้อมยกเหตุผลแบบเดิม เป็นแบบนี้มาตลอดจนบางทีเธออยากจะทำเป็นไม่สนแต่สุดท้ายก็อดเข้ามาช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ก็เช่นกันนอกจากจะห้ามแล้วเด็กหนุ่มยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาทำให้คิยูกินึกฉุนอยู่เหมือนกัน
“จริงๆเลยนะคนอย่างเธอนี่” เด็กสาวบ่นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เย็นชาเกินไปแล้ว”
“เย็นชา” อากีระทวนคำอย่างงงๆ อีกฝ่ายพยักหน้าและเอานิ้วจิ้ม จิ้มไปที่หน้าอกของเขาตามจังหวะการพูด
“ก็เธอน่ะชอบทำตัวเป็นพวกไม่รู้สึกรู้สากับอะไรซักอย่าง ไม่โกรธ ไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นคนแบบนี้ทั้งที่ตอนเด็กๆเธอเป็นคนร่าเริงแถมยังใจดีอีกด้วย”
อากีระยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ท่าทางที่เหมือนหุ่นยิ่งทำให้คิยูกิเป็นห่วง
“นี่”
“หือ” เขาลดสายตาลงมามองเด็กสาวพอเห็นสีหน้ากังวลของเธอเขาก็ส่งยิ้มให้ “ฉันแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มเก็บกระเป๋านักเรียนที่ถูกยัดลงถังขยะมาปัดสองสามครั้งก่อนยื่นมือไปดึงกระเป๋าของคิยูกิ เธอรั้งกลับ
“ฉันถือเองได้”
“เถอะน่า” อากีระดึงกระเป๋าออกมาจากมือของเธอแล้วออกเดินนำ คิยูกิเร่งเท้าก้าวตามจนทัน ระหว่างเดินเคียงคู่กันไปนั้นเด็กสาวที่มีคำถามอัดแน่นอยู่ในในจึงเอ่นปากเรียก
“นี่อากีระ” พอเห็นคนถูกเรียกเลิกคิ้วแทนการขานรับเธอกลับนิ่งเหมือนลังเลก่อนตัดสินใจพูดต่อ
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ร่าเริง ยิ้มง่ายและใจดีมากๆ แล้วทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนไปเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้ล่ะ”
“ฉันโตขึ้นมั้ง” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงพ่นลมหายใจที่ดังออกมาจากอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าคู่สนทนาของตนอยู่ในอารมณ์ไม่พอใจ “อย่าคิดมากน่า”
“ก็ได้ถ้าเธอสัญญาว่าพรุ่งนี้จะไม่ไปตอแยกับพวกอิวาซากิอีก”
อากีระมองหน้าเพื่อนสาวของเขาและยิ้ม
“ก็ได้” เขาส่งกระเป๋าคืนให้เธอเมื่อทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายชื่อ
“ชิมามูระ” เด็กสาวเปิดประตูรั้วและหันมาส่งยิ้มให้กับเขา
“ถ้าอย่างงั้น เจอกันพรุ่งนี้นะ” เธอโบกมือให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้าน อากีระยืนอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินจากมาพร้อมประโยคที่วิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่ในหัว
“ทำไมจู่ๆเธอถึงกลายเป็นคนเย็นชา ไร้ความรู้สึกแบบนี้ล่ะ”
คำถามของคิยูกิทำให้อากีระเครียดจนเผลอกัดปากตัวเอง เขาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก คิยูกิ” เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ภาพของตัวเขาเองตอนยังเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆกำลังอุ้มร่างห้อยร่องแร่งไร้วิญญาณของแมวสีขาวที่ถูกกลุ่มเด็กวัยไล่เรี่ยกันทุบตีจนตายด้วยเหตุเพียงเพราะมันเป็นสัตว์เลี้ยงของคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ปิศาจ ความเศร้าและความเจ็บปวดกับความสูญเสียทำให้เขาขาดสติและคงลงมือทำอะไรบางอย่างที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดแต่ส่งผลให้เด็กคนหนึ่งตาย แม้ตำรวจจะไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนลงมือแต่คนบางกลุ่มไม่คิดแบบนั้น ผลก็คือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่าง ถูกกันให้อยู่นอกกลุ่มและโดนทำร้ายอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจสร้างรอยแผลที่ไม่มีวันจางหาย นับแต่นั้นอากีระจึงตั้งปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้ความโกรธเข้ามาครอบงำตัวเองอย่างเด็ดขาด
“ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก ไม่มีวัน”
ประโยคนั้นเฝ้าวนเวียนอยู่ในหัว เด็กหนุ่มจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังก้าวลงไปบนพื้นถนน เสียงตะโกนด้วยความตระหนกของคนรอบตัวดังระงม ตามด้วยเสียงบาดหูของแตรและเสียงเบรก นั่นเองที่ทำให้อากีระสะดุ้งสุดตัวหลุดจากภวังค์พอเห็นมฤตูสี่ล้อวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่ไม่สามารถหยุดได้ทัน ดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลง
“ระวัง!!”
อ้อมแขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งคว้าร่างผอมบางของเขากระชากกลับไปยังทางเท้า เสียงสบถของคนขับรถซึ่งจอดห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าวตะโกนลั่น
“อยากตายนักเรอะไง ไอ้เด็กบ้า!”
เขาขับรถกระชากออกไปทันทีที่พูดจบ เด็กหนุ่มซึ่งยังคงมีสีหน้างงงันกับเหตุการณ์เมื่อครู่อ้าปากค้างขณะกำลังรวบรวมสติ
“ลุกขึ้นเสียทีสิ!”
เสียงทุ้มดังขึ้นริมหู อากีระผวาเฮือกก่อนก้มลงมองพอเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่บนตักของผู้ชายตัวโตความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า
“ขอโทษ”
เขาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากก่อนจะลุกขึ้นอย่างลุกลนจนแทบจะกลายเป็นกระโดด ชายหนุ่มคนนั้นยันตัวยืนพร้อมกับปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนบนชุดสีดำสนิท
“เปลี่ยนเป็นคำขอบคุณดูจะเข้าท่ากว่านะ” เขาพูดห้วนๆ “ให้ตายเถอะ! นายเดินใจลอยข้ามถนนแบบนี้เป็นประจำเลยหรือไง”
“คือฉัน....” คำพูดค้างไว้แค่นั้นเพราะความตกใจทำให้นึกอะไรไม่ออกแต่พอเห็นเลือดไหลลงมาตามมือของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ทำตาโต
“เลือด!”
ชายหนุ่มคนนั้นยกแขนของตัวเองขึ้นมาดูแล้วยักไหล่ “แค่รอยถลอกน่ะ” พูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนก้มลงหยิบกระเป๋านักเรียนส่งให้อากีระ “ต่อไประวังๆหน่อยล่ะ”
เขาเตือนเชิงสั่งสอนพอเห็นเด็กหนุ่มยืนเหม่อก็เรียกด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“เฮ้!”
“หือ? อ....เอ้อ....อื้อต่อไปฉันจะระวัง” เด็กหนุ่มตอบตะกุกตะกักซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะบอกว่าเพราะตกใจกัเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่น่าใช่ บางทีอาจเป็นเพราะความประหม่าที่เห็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่หน้าคมนัยน์ตาดุผู้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขาจะอายไปทำไม อากีระคิดด้วยหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติก่อนยื่นมือไปรับกระเป๋า ส่วนชายผู้มีน้ำใจมองเลือดที่ซึมจากแก้มขาวๆของคนตัวเล็กกว่าด้วยความเป็นห่วง
“กลับบ้านไปล้างแผลใส่ยาซะ” ดวงตาสีเข้มจ้องหน้าเด็กหนุ่มแน่วนิ่ง บางอย่างที่กำลังเต้นไหวอยู่ในม่านตาทำให้อากีระรู้สึกไหวเยือกไปทั้งตัว ชายแปลกหน้าอมยิ้มน้อยๆคล้ายขบขันกับสีหน้าที่ดูเหมือนกวางน้อยระวังภัย เขาส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“แล้วพบกันใหม่นะ”
พูดแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป อากีระขมวดคิ้วกับท่าทีและคำพูดแปลกๆที่ได้ยิน
“พิลึก” พึมพำกับตัวเองและยักไหล่น้อยๆก่อนข้ามถนนด้วยความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม พอถึงร้านกาแฟฝั่งตรงกันข้ามเขาก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน
“กลับมาแล้วครับ”
พูดด้วยเสียงพอให้คนฟังได้ยิน หญิงสาวซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาล้างแก้วอยู่เงยหน้าขึ้น
“กลับมาแล้วหรือ ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนทุกวันแหละครับ คุณมาโฮ” อากีระตอบขณะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้า
เคาท์เตอร์บาร์ หญิงสาวเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วมายื่นส่งให้พอเห็นหน้าเด็กหนุ่มชัดๆเธอก็ขมวดคิ้ว
“ไปทำอะไรมาน่ะ” เธอถามพร้อมกับยื่นมือออกไปแตะที่แก้มของอากีระ เขาปัดมันอย่างสุภาพ
“หกล้มตอนข้ามถนนน่ะครับ” เขาป้ายเลือดที่ยังคงไหลซึมออกมา มาโฮนิ่วหน้า
“อย่าทำแบบนั้น เดี๋ยวแผลจะติดเชื้อ” เธอหันไปหยิบกล่องพยาบาลและจัดแจงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผล ทันทีที่แตะก็มีแสงสีฟ้าสว่างวาบออกมา มาโฮชะงักมือทันที
“อากีระ”
“ครับ”
“วันนี้เธอไปเจอกับใครมา”
อากีระหวนคิดถึงชายคนที่ช่วยเขาเมื่อครู่ ประกายวาววับจากดวงตาคมดุทำให้เด็กหนุ่มสะกิดใจและรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆซึ่งเขาบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่คำตอบที่หลุดจากปากกลับเป็น
“ไม่มีนี่ครับ” เขาชำเลืองมองมาโฮซึ่งกำลังทายาให้ “ทำไมถึงถามแบบนี้”
หญิงสาวสั่นหน้าและจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับเข้ากล่องก่อนเดินกลับไปยืนที่
เคาท์เตอร์บาร์เช่นเดิม อากีระมองดูเธอด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้แปลกใจนักเพราะมาโฮมักจะทำท่าลึกลับเหมือนทุกครั้งเวลาที่เขาไปพบอะไรแปลกๆก่อนกลับเข้าบ้าน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าทั้งรักและเป็นห่วงเขามากมายเพียงใด มันอาจจะมากกว่าพ่อแม่แท้จริงที่เสียชีวิตไปหลังจากเขาเกิดมาไม่นานเสียด้วยซ้ำแต่ก็ใช่ว่าเขาจะต้องทำตัวเป็นลูกแหง่สร้างภาระให้กับเธอ
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
อากีระพูดและเดินขึ้นไปบนชั้นสองทันที มาโฮมองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวรู้ดีว่าทุกวันนี้อากีระยังถูกเพื่อนกลั่นแกล้งแต่เพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวลจึงพยายามซ่อนรอยแผลและความรู้สึกต่างๆเอาไว้กับตัว บาดแผลเมื่อครู่ก็เช่นกัน แม้เจ้าตัวจะบอกว่าหกล้มแต่มาโฮคิดว่ามันน่าจะมาจากการทำร้ายแต่พิจารณาจากรอยเปื้อนบนเสื้อซึ่งมีทั้งเศษฝุ่นกับคราบสีดำ บางทีมันอาจเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ปัญหาก็คือแสงสีฟ้าซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ทิ้งรอยเอาไว้ ปกติแล้วคนธรรมดาจะมองไม่เห็นแต่หากโดนคนพิเศษอย่างเธอสัมผัส มันจะแสดงปฏิกิริยาออกมา แสดงว่าก่อนหน้านั้นอากีระจะต้องพบกับใครบางคนซึ่งมีเป้าหมายบางอย่างที่ไม่ดีนัก ระหว่างที่ตกอยู่ในความครุ่นคิด จู่ๆเธอก็รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างเหมือนมีดวงตาของใครสักคนกำลังจ้องมองอย่างมุ่งร้ายอยู่บนอีกฝั่งของถนน หญิงสาวรีบเดินไปเปิดประตูร้านและกวาดสายตาไปโดยรอบ ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะที่ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแวววิตก
“หรือพวกเขารู้ที่อยู่ของเราแล้ว”
ทัณฑ์นักล่า อาญาลวง บทที่ 1 อากีระ
และเป็นแนว Yaoi แต่ไม่มีฉากเรทนะคะ
ทัณฑ์นักล่า อาญาลวง
บทที่ 1
อากีระ
เสียงตุบตับเหมือนคนกำลังวิวาทกันดังออกมาจากตรอกแคบๆไม่ไกลจากโรงเรียนมัธยมเท่าใดนัก ถ้าใครสักคนสนใจมองจะเห็นวัยรุ่นสามคนกำลังรุมเตะนักเรียนวัยเดียวกันแต่ตัวเล็กกว่าอย่างสนุกสนาน พอหยุดหนึ่งในกลุ่มก็นั้นกระชากคอเสื้อของเขาให้ลุกขึ้น ฝ่ามือหนาฟาดเปรี้ยงจนหน้าสะบัดก่อนผลักให้กระแทกกับกำแพง ร่างผอมบางไหลรูดลงไปนั่งกองกับพื้นพอขยับก็ถูกเท้าของเด็กอีกคนเหยียบเอาไว้
“อย่าสะเออะมายุ่งกับพวกฉันอีกไม่อย่างนั้นจะเจ็บตัวยิ่งกว่านี้”
คนตัวโตที่สุดในกลุ่มกระชากเสียงขู่ก่อนหันไปทางเพื่อนทั้งสองคน “ไปโว้ยพวกเรา”
ทั้งคู่พยักหน้ารับแต่ก่อนจะเดินหนึ่งในนั้นหันไปถ่มน้ำลายใส่คนที่พื้นและสำรากคำพูดอย่างดูถูก
“! อย่างแกมันก็ได้แค่นี้แหละวะไอ้นักเรียนดีเด่น”
จากนั้นทั้งหมดก็เดินส่ายอาดๆออกไปทิ้งให้เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นยืนโซเซไปมา พอเห็นกุ๊ยทั้งสามพ้นไปจากสายตาแล้วเขาก็ถ่มเลือดออกจากปาก จัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้เข้ารูประหว่างนั้นเองเด็กสาวในชุดนักเรียนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อากีระ!”
“คิยูกิ” เด็กชายเอ่ยตอบพร้อมกับใช้หลังมือป้ายเลือดที่ติดอยู่ริมปาก คิยูกิเลยใช้ผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดใบหน้าให้
“โดนพวกอิวาซากิทำร้ายอีกแล้วเหรอ” ถามอย่างไม่ค่อยพอใจนักแต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่สนใจ
“พวกเขาเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ” ตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้สร้างความกังวลต่อเขาเท่าใดนัก คิยูกิย่นคิ้วทำหน้ามู่
“นี่ไม่เรียกว่านิดหน่อยแล้วนะ” เธอกระแทกเสียงพลางใช้นิ้วแตะหยดเลือดเล็กๆตรงมุมปากแล้วยื่นไปจ่อไว้ที่หน้าของเด็กหนุ่ม “ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ จะได้จับเจ้าพวกนั้นมาลงโทษ”
“อย่านะ!” อากีระร้องเสียงดังจนอีกฝ่ายผงะ พอรู้ตัวเขาก้มหน้าลงมองพื้น “ถ้าทำแบบนั้นเธอจะพลอยซวยไปด้วย ขอร้องล่ะฉันไม่เป็นอะไรจริงๆเธออย่ายุ่งเรื่องนี้เลยนะ”
คิยูกิมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เพราะทุกครั้งที่โดนทำร้ายและเธอพยายามไปบอกอาจารย์เขาจะรีบห้ามพร้อมยกเหตุผลแบบเดิม เป็นแบบนี้มาตลอดจนบางทีเธออยากจะทำเป็นไม่สนแต่สุดท้ายก็อดเข้ามาช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ก็เช่นกันนอกจากจะห้ามแล้วเด็กหนุ่มยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาทำให้คิยูกินึกฉุนอยู่เหมือนกัน
“จริงๆเลยนะคนอย่างเธอนี่” เด็กสาวบ่นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เย็นชาเกินไปแล้ว”
“เย็นชา” อากีระทวนคำอย่างงงๆ อีกฝ่ายพยักหน้าและเอานิ้วจิ้ม จิ้มไปที่หน้าอกของเขาตามจังหวะการพูด
“ก็เธอน่ะชอบทำตัวเป็นพวกไม่รู้สึกรู้สากับอะไรซักอย่าง ไม่โกรธ ไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นคนแบบนี้ทั้งที่ตอนเด็กๆเธอเป็นคนร่าเริงแถมยังใจดีอีกด้วย”
อากีระยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ท่าทางที่เหมือนหุ่นยิ่งทำให้คิยูกิเป็นห่วง
“นี่”
“หือ” เขาลดสายตาลงมามองเด็กสาวพอเห็นสีหน้ากังวลของเธอเขาก็ส่งยิ้มให้ “ฉันแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มเก็บกระเป๋านักเรียนที่ถูกยัดลงถังขยะมาปัดสองสามครั้งก่อนยื่นมือไปดึงกระเป๋าของคิยูกิ เธอรั้งกลับ
“ฉันถือเองได้”
“เถอะน่า” อากีระดึงกระเป๋าออกมาจากมือของเธอแล้วออกเดินนำ คิยูกิเร่งเท้าก้าวตามจนทัน ระหว่างเดินเคียงคู่กันไปนั้นเด็กสาวที่มีคำถามอัดแน่นอยู่ในในจึงเอ่นปากเรียก
“นี่อากีระ” พอเห็นคนถูกเรียกเลิกคิ้วแทนการขานรับเธอกลับนิ่งเหมือนลังเลก่อนตัดสินใจพูดต่อ
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ร่าเริง ยิ้มง่ายและใจดีมากๆ แล้วทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนไปเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้ล่ะ”
“ฉันโตขึ้นมั้ง” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียงพ่นลมหายใจที่ดังออกมาจากอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าคู่สนทนาของตนอยู่ในอารมณ์ไม่พอใจ “อย่าคิดมากน่า”
“ก็ได้ถ้าเธอสัญญาว่าพรุ่งนี้จะไม่ไปตอแยกับพวกอิวาซากิอีก”
อากีระมองหน้าเพื่อนสาวของเขาและยิ้ม
“ก็ได้” เขาส่งกระเป๋าคืนให้เธอเมื่อทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายชื่อ
“ชิมามูระ” เด็กสาวเปิดประตูรั้วและหันมาส่งยิ้มให้กับเขา
“ถ้าอย่างงั้น เจอกันพรุ่งนี้นะ” เธอโบกมือให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้าน อากีระยืนอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินจากมาพร้อมประโยคที่วิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่ในหัว
“ทำไมจู่ๆเธอถึงกลายเป็นคนเย็นชา ไร้ความรู้สึกแบบนี้ล่ะ”
คำถามของคิยูกิทำให้อากีระเครียดจนเผลอกัดปากตัวเอง เขาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก คิยูกิ” เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ภาพของตัวเขาเองตอนยังเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆกำลังอุ้มร่างห้อยร่องแร่งไร้วิญญาณของแมวสีขาวที่ถูกกลุ่มเด็กวัยไล่เรี่ยกันทุบตีจนตายด้วยเหตุเพียงเพราะมันเป็นสัตว์เลี้ยงของคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ปิศาจ ความเศร้าและความเจ็บปวดกับความสูญเสียทำให้เขาขาดสติและคงลงมือทำอะไรบางอย่างที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดแต่ส่งผลให้เด็กคนหนึ่งตาย แม้ตำรวจจะไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนลงมือแต่คนบางกลุ่มไม่คิดแบบนั้น ผลก็คือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่าง ถูกกันให้อยู่นอกกลุ่มและโดนทำร้ายอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจสร้างรอยแผลที่ไม่มีวันจางหาย นับแต่นั้นอากีระจึงตั้งปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้ความโกรธเข้ามาครอบงำตัวเองอย่างเด็ดขาด
“ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก ไม่มีวัน”
ประโยคนั้นเฝ้าวนเวียนอยู่ในหัว เด็กหนุ่มจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังก้าวลงไปบนพื้นถนน เสียงตะโกนด้วยความตระหนกของคนรอบตัวดังระงม ตามด้วยเสียงบาดหูของแตรและเสียงเบรก นั่นเองที่ทำให้อากีระสะดุ้งสุดตัวหลุดจากภวังค์พอเห็นมฤตูสี่ล้อวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่ไม่สามารถหยุดได้ทัน ดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลง
“ระวัง!!”
อ้อมแขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งคว้าร่างผอมบางของเขากระชากกลับไปยังทางเท้า เสียงสบถของคนขับรถซึ่งจอดห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าวตะโกนลั่น
“อยากตายนักเรอะไง ไอ้เด็กบ้า!”
เขาขับรถกระชากออกไปทันทีที่พูดจบ เด็กหนุ่มซึ่งยังคงมีสีหน้างงงันกับเหตุการณ์เมื่อครู่อ้าปากค้างขณะกำลังรวบรวมสติ
“ลุกขึ้นเสียทีสิ!”
เสียงทุ้มดังขึ้นริมหู อากีระผวาเฮือกก่อนก้มลงมองพอเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่บนตักของผู้ชายตัวโตความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า
“ขอโทษ”
เขาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากก่อนจะลุกขึ้นอย่างลุกลนจนแทบจะกลายเป็นกระโดด ชายหนุ่มคนนั้นยันตัวยืนพร้อมกับปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนบนชุดสีดำสนิท
“เปลี่ยนเป็นคำขอบคุณดูจะเข้าท่ากว่านะ” เขาพูดห้วนๆ “ให้ตายเถอะ! นายเดินใจลอยข้ามถนนแบบนี้เป็นประจำเลยหรือไง”
“คือฉัน....” คำพูดค้างไว้แค่นั้นเพราะความตกใจทำให้นึกอะไรไม่ออกแต่พอเห็นเลือดไหลลงมาตามมือของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ทำตาโต
“เลือด!”
ชายหนุ่มคนนั้นยกแขนของตัวเองขึ้นมาดูแล้วยักไหล่ “แค่รอยถลอกน่ะ” พูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนก้มลงหยิบกระเป๋านักเรียนส่งให้อากีระ “ต่อไประวังๆหน่อยล่ะ”
เขาเตือนเชิงสั่งสอนพอเห็นเด็กหนุ่มยืนเหม่อก็เรียกด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“เฮ้!”
“หือ? อ....เอ้อ....อื้อต่อไปฉันจะระวัง” เด็กหนุ่มตอบตะกุกตะกักซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะบอกว่าเพราะตกใจกัเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่น่าใช่ บางทีอาจเป็นเพราะความประหม่าที่เห็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่หน้าคมนัยน์ตาดุผู้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขาจะอายไปทำไม อากีระคิดด้วยหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติก่อนยื่นมือไปรับกระเป๋า ส่วนชายผู้มีน้ำใจมองเลือดที่ซึมจากแก้มขาวๆของคนตัวเล็กกว่าด้วยความเป็นห่วง
“กลับบ้านไปล้างแผลใส่ยาซะ” ดวงตาสีเข้มจ้องหน้าเด็กหนุ่มแน่วนิ่ง บางอย่างที่กำลังเต้นไหวอยู่ในม่านตาทำให้อากีระรู้สึกไหวเยือกไปทั้งตัว ชายแปลกหน้าอมยิ้มน้อยๆคล้ายขบขันกับสีหน้าที่ดูเหมือนกวางน้อยระวังภัย เขาส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“แล้วพบกันใหม่นะ”
พูดแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป อากีระขมวดคิ้วกับท่าทีและคำพูดแปลกๆที่ได้ยิน
“พิลึก” พึมพำกับตัวเองและยักไหล่น้อยๆก่อนข้ามถนนด้วยความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม พอถึงร้านกาแฟฝั่งตรงกันข้ามเขาก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน
“กลับมาแล้วครับ”
พูดด้วยเสียงพอให้คนฟังได้ยิน หญิงสาวซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาล้างแก้วอยู่เงยหน้าขึ้น
“กลับมาแล้วหรือ ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนทุกวันแหละครับ คุณมาโฮ” อากีระตอบขณะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้า
เคาท์เตอร์บาร์ หญิงสาวเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วมายื่นส่งให้พอเห็นหน้าเด็กหนุ่มชัดๆเธอก็ขมวดคิ้ว
“ไปทำอะไรมาน่ะ” เธอถามพร้อมกับยื่นมือออกไปแตะที่แก้มของอากีระ เขาปัดมันอย่างสุภาพ
“หกล้มตอนข้ามถนนน่ะครับ” เขาป้ายเลือดที่ยังคงไหลซึมออกมา มาโฮนิ่วหน้า
“อย่าทำแบบนั้น เดี๋ยวแผลจะติดเชื้อ” เธอหันไปหยิบกล่องพยาบาลและจัดแจงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผล ทันทีที่แตะก็มีแสงสีฟ้าสว่างวาบออกมา มาโฮชะงักมือทันที
“อากีระ”
“ครับ”
“วันนี้เธอไปเจอกับใครมา”
อากีระหวนคิดถึงชายคนที่ช่วยเขาเมื่อครู่ ประกายวาววับจากดวงตาคมดุทำให้เด็กหนุ่มสะกิดใจและรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆซึ่งเขาบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่คำตอบที่หลุดจากปากกลับเป็น
“ไม่มีนี่ครับ” เขาชำเลืองมองมาโฮซึ่งกำลังทายาให้ “ทำไมถึงถามแบบนี้”
หญิงสาวสั่นหน้าและจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับเข้ากล่องก่อนเดินกลับไปยืนที่
เคาท์เตอร์บาร์เช่นเดิม อากีระมองดูเธอด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้แปลกใจนักเพราะมาโฮมักจะทำท่าลึกลับเหมือนทุกครั้งเวลาที่เขาไปพบอะไรแปลกๆก่อนกลับเข้าบ้าน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าทั้งรักและเป็นห่วงเขามากมายเพียงใด มันอาจจะมากกว่าพ่อแม่แท้จริงที่เสียชีวิตไปหลังจากเขาเกิดมาไม่นานเสียด้วยซ้ำแต่ก็ใช่ว่าเขาจะต้องทำตัวเป็นลูกแหง่สร้างภาระให้กับเธอ
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
อากีระพูดและเดินขึ้นไปบนชั้นสองทันที มาโฮมองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวรู้ดีว่าทุกวันนี้อากีระยังถูกเพื่อนกลั่นแกล้งแต่เพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวลจึงพยายามซ่อนรอยแผลและความรู้สึกต่างๆเอาไว้กับตัว บาดแผลเมื่อครู่ก็เช่นกัน แม้เจ้าตัวจะบอกว่าหกล้มแต่มาโฮคิดว่ามันน่าจะมาจากการทำร้ายแต่พิจารณาจากรอยเปื้อนบนเสื้อซึ่งมีทั้งเศษฝุ่นกับคราบสีดำ บางทีมันอาจเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ปัญหาก็คือแสงสีฟ้าซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ทิ้งรอยเอาไว้ ปกติแล้วคนธรรมดาจะมองไม่เห็นแต่หากโดนคนพิเศษอย่างเธอสัมผัส มันจะแสดงปฏิกิริยาออกมา แสดงว่าก่อนหน้านั้นอากีระจะต้องพบกับใครบางคนซึ่งมีเป้าหมายบางอย่างที่ไม่ดีนัก ระหว่างที่ตกอยู่ในความครุ่นคิด จู่ๆเธอก็รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างเหมือนมีดวงตาของใครสักคนกำลังจ้องมองอย่างมุ่งร้ายอยู่บนอีกฝั่งของถนน หญิงสาวรีบเดินไปเปิดประตูร้านและกวาดสายตาไปโดยรอบ ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะที่ดวงตาสีเขียวเข้มฉายแวววิตก
“หรือพวกเขารู้ที่อยู่ของเราแล้ว”