ธรรมะเพื่อประชาชน ◎ เตรียมพร้อมก่อนไปสัมปรายภพ ◎ พระเทพญาณมหามุนี

    

         ในสังสารวัฏที่แวดล้อมด้วยภัยนานัปการ มีภัยที่น่าหวาดกลัวที่สุด ก็คือภัยในอบายภูมิ เพราะภพของอบายนั้น เป็นภพที่เสวยวิบากมีความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อพลัดตกไปในอบายแล้ว กว่าจะกลับมาสู่สุคติภูมิได้ ต้องใช้เวลายาวนานมากทีเดียว ดังนั้น ควรที่เราจะต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการตั้งใจทำคุณงามความดี เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะได้ไปสู่สุคติภูมิอย่างเดียว แต่ถ้าหากเกิดมาแล้ว เป็นอยู่เพียงสักแต่ว่ามีลมหายใจเข้าออก ไม่ได้สั่งสมบุญเพิ่มเติมให้กับตัวเอง ชีวิตก็ว่างเปล่าจากสิ่งที่มีคุณค่า เกิดมาใช้ชีวิตไม่คุ้ม   ดังนั้น เราเกิดมาควรแสวงหาสาระแก่นสารของชีวิต ด้วยการสั่งสมบุญให้เต็มที่ และก็ประพฤติธรรมมีใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกัน

          มีสุภาษิตบทหนึ่งปรากฏอยู่ในสัตติคุมพชาดก ความว่า

“บุคคลใดห่อกฤษณาไว้ด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของคนนั้น ย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งไป
การเข้าไปคบนักปราชญ์ย่อมเป็นเหมือนอย่างนั้น
บัณฑิตรู้ความสำเร็จผลของตนดุจใบไม้ห่อกฤษณาแล้ว ไม่พึงเข้าไปคบอสัตบุรุษ
พึงคบสัตบุรุษ เพราะว่าอสัตบุรุษมักจะนำไปสู่นรก ส่วนสัตบุรุษชักนำไปสู่สุคติสวรรค์”


       ชีวิตในสัมปรายภพของมนุษย์เรา จะตัดสินกันว่าจะไปอบายภูมิหรือสุคติภูมิ ส่วนหนึ่งก็ดูกันที่การคบมิตรนี่แหละ ถ้ามิตรสหายดีก็มีสุคติเป็นที่ไป เพราะมิตรดีหรือสัตบุรุษ จะชักนำให้เราดำรงอยู่บนหนทางสวรรค์นิพพาน จะไม่แนะนำไปในทางเสื่อม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ชื่อว่าเป็นยอดกัลยาณมิตรของโลก รองลงมาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ถ้าหากใครได้มีโอกาสพบเห็น ได้ฟังธรรม ได้สนทนาธรรม และได้บำเพ็ญบุญกับพระอริยเจ้าเหล่านี้ บุคคลนั้นนับได้ว่า เป็นผู้มีโชคอย่างมหาศาล ที่ได้สัตบุรุษแนะแนวทางไปสวรรค์และนิพพาน


       เหมือนตัวอย่างของเทพบุตรท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังเสวยบุญอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทพบุตรที่แม้กระทั่งพระอินทร์ก็ยังเคยเกรงบารมี เพราะเวลาที่เทพบุตรท่านนี้ นั่งราชรถท่องเที่ยวไปในอุทยานสวรรค์พร้อมกับบริวาร เมื่อเคลื่อนผ่านมาใกล้เวชยันตปราสาท พระอินทร์ถึงกับต้องรีบหลบเข้าไปในวิมานของท่าน เพราะรัศมีของเทพบุตรท่านนี้สว่างไสวกว่ารัศมีของพระอินทร์ เพราะฉะนั้น ในวันนี้หลวงพ่อจะขอเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้

       ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เป็นผู้รักษาศีลอย่างเคร่งครัด เห็นภัยในวัฏสงสาร สู้อุตสาหะบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มกำลังศรัทธา แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูง เมื่อละโลกไปแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการรักษาศีลบริสุทธิ์ จึงไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่จนตราบเท่าสิ้นอายุขัย จากนั้นก็จุติขึ้นไปอุบัติในเทวโลกชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านก็ได้กลับมาเสวยสุขอยู่ชั้นดาวดึงส์พอดี ความสว่างไสวที่เกิดจากรัศมีกายของท่านนี่แหละ ทำให้พระอินทร์จำเป็นต้องลงจากเทวโลก เพื่อมาเพิ่มเติมบุญกุศลให้กับตัวเอง ด้วยการเนรมิตกายเป็นคนแก่ชรา แสร้งทำเป็นเดินงกๆ เงิ่นๆ แล้วมาถวายบิณฑบาตกับพระมหากัสสปเถระ



        ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นาน   เทพบุตรท่านนี้ได้จุติลงมาเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าอัสสกะในโปตลินคร ได้รับเฉลิมพระนามว่า สุชาติ     เมื่อพระกุมารอายุได้ ๑๖ ปี ก็ได้เสด็จลี้ภัยจากวังหลวง ไปเป็นพรานป่าอยู่กับชาวบ้านในชนบท   มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่พระกุมารเสด็จออกไปล่าเนื้อตามปกติ ได้มีเทพบุตรองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสหายที่รักกันมากในอดีตชาติ เคยบวชเป็นพระด้วยกันในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เทพบุตรได้เนรมิตตนเป็นเนื้อ แล้ววิ่งไปใกล้ที่อยู่ของพระมหากัจจายนเถระ พระกุมารคิดจะจับเนื้อ จึงรีบวิ่งตามไปจนถึงที่อยู่ของพระเถระ    พอเนื้อวิ่งเข้าไปในเขตที่พักของพระเถระ ก็หายวับไปทันที พระกุมารซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จึงเดินเข้าไปนั่งพักผ่อนใกล้พระเถระ

        พระเถระเห็นลักษณะที่องอาจสง่างามของพระกุมาร รู้ว่าเป็นผู้มีบุญมาเกิดจึงไต่ถามความเป็นมาของพระกุมาร ครั้นทราบว่าเป็นโอรสของกษัตริย์ ก็ได้เทศน์โปรดถึงโทษของการเบียดเบียนสัตว์ ว่า สรรพสัตว์ทุกชนิดต่างก็รักชีวิต รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น หากเรารักชีวิตของตนมากเพียงไร สัตว์อื่นก็รักชีวิตของตัวมากเพียงนั้น ผู้รักตนเองจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น พระกุมารได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็เกิดความปีติเลื่อมใสในธรรมมาก จึงปวารณาตัวว่าจะตั้งใจประพฤติธรรม และเลิกเบียดเบียนสัตว์ตลอดชีวิต

        พระเถระได้อนุโมทนาในกุศลจิตของพระกุมาร แต่เมื่อตรวจดูอายุสังขารของพระกุมารแล้ว ก็ได้บอกว่า พระกุมารจะมีชีวิตอยู่เพียง ๕ เดือนเท่านั้น แม้ได้ทราบความนั้น พระราชกุมารก็ไม่ท้อใจ เพราะเข้าใจดีว่า คงเป็นกรรมในอดีตตามมาส่งผล ก็ไม่ได้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอะไร จึงถามพระเถระถึงวิธีการที่จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์

  
      
         พระเถระกล่าวสอนว่า มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ไม่มีใครสามารถจะเอาชนะได้ ความตายเกิดขึ้นได้ทั้งคนชราและทารกแรกเกิด ไม่เว้นแม้กระทั่งพระเจ้าจักรพรรดิ ขอพระกุมารอย่าได้หวาดหวั่นไปเลย เพราะเรามีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นก็จะต้องรับผลของกรรมนั้น ขอพระองค์อย่าได้ประมาท จงใช้วันเวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้มีคุณค่ามากที่สุด ด้วยการเร่งสั่งสมเสบียงบุญติดตัวไป บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเราในสัมปรายภพ และจงพร้อมเสมอที่จะเผชิญหน้ากับพญามัจจุราช แล้วบอกพระกุมารให้ไปถวายบังคมลาพระบิดา เพราะพระกุมารจะมีชีวิต อยู่ได้อีกเพียง ๕ เดือน แล้วพระเถระจะตามไปในภายหลัง
        
        พระกุมารมีจิตเลื่อมใสในพระเถระมาก จึงได้ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หลังจากนั้น ก็รีบลาพระเถระกลับพระราชวัง พระเถระได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุที่ท่านเก็บไว้ให้ไปบูชาอีกด้วย พระราชกุมารเมื่อกลับไปเฝ้าพระบิดา ก็ได้ทูลเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อพระบิดาได้ฟัง ก็เกิดความเลื่อมใสในพระเถระไปด้วย จึงมีรับสั่งให้สร้างมหาวิหาร สร้างพระเจดีย์บูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


         เมื่อพระเถระมาถึงพระนคร พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ก็เสด็จมาต้อนรับ แล้วทูลนิมนต์ให้พระเถระเข้าไปในวิหาร อุปัฏฐากดูแลท่านเป็นอย่างดี พระราชกุมารอาศัยพระเถระเป็นยอดกัลยาณมิตรคอยชี้ทางสวรรค์ให้ ก็ได้บำเพ็ญทานรักษาศีลอย่างเต็มที่ด้วยจิตที่ร่าเริงเบิกบาน ดูเหมือนว่าพระกุมารจะไม่หวาดหวั่นต่อพญามัจจุราชเลย ทรงให้กำลังใจคนรอบข้างว่า อย่าได้เป็นห่วงพระองค์ แต่จงห่วงที่จะไม่ได้ทำความดี แล้วพระองค์ก็มุ่งสั่งสมบุญ ให้ทุกอนุวินาทีผ่านไปอย่างมีคุณค่า เป็นเวลาแห่งบุญกุศลล้วน ๆ


         พอครบ ๕ เดือน พระกุมารก็สิ้นพระชนม์ตามที่พระเถระพยากรณ์เอาไว้จริงๆ แต่คุณงามความดีที่พระองค์ได้สร้างไว้ในภพชาตินั้น ทำให้พระองค์ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงส์พิภพ มีราชรถประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ที่เกิดขึ้นด้วยบุญญานุภาพ แล้วยังมีบริวารแวดล้อมอีกมากมาย ซึ่งก็ได้นามว่า จูฬรถเทพบุตรตามเดิม แต่ครั้งนี้มีบริวารและวิมานที่สว่างไสวกว่าเดิมมากทีเดียว เทพบุตรได้ตรวจดูกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ ก็บังเกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระเถระที่ได้อนุเคราะห์ จึงตั้งใจไปนมัสการพระมหากัจจายนะ และประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น โดยมาปรากฏกายอยู่กลางอากาศ   และเทพบุตรก็ได้เล่าประวัติการสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ในช่วงเวลาอันแสนสั้นเพียงระยะเวลา ๕ เดือนเท่านั้น พร้อมกับประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้มหาชนได้ทราบว่า “พระรัตนตรัยมีอานุภาพไม่มีประมาณ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ผู้ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ย่อมไปสู่สุคติ” แล้วเทพบุตรก็ได้อันตรธานไปสู่เทวโลกตามเดิม


        เราจะเห็นว่าการได้มีโอกาสคบหาสมาคมกับสัตบุรุษอย่างเรื่องนี้ ได้พระมหากัจจายนเถระเป็นกัลยาณมิตร และเป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยม ทำให้ได้สติเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และมีโอกาสได้สั่งสมบุญใหญ่ อันเป็นเหตุให้ได้สวรรค์สมบัติ แต่ชีวิตของชาวโลกส่วนใหญ่แม้มีเวลาเหลืออีกไม่มากแต่ก็ยังประมาทในชีวิตกันมาก จึงห่างเหินจากพระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และมักจะทุ่มเทให้กับการทำมาหากิน ได้เงินทองมาแล้วก็เก็บสะสมเอาไว้ ไม่ยอมนำออกให้ทาน อันจะเป็นเสบียงติดตามตัวไปข้ามชาติ เพราะฉะนั้น เวลาในชีวิตเรามีไม่มาก ความตายไม่มีนิมิตหมาย ให้รีบประพฤติธรรม ไปฟังธรรมและสนทนาธรรมกับท่านผู้รู้ ที่จะแนะนำหนทางสวรรค์ให้กับเราได้ เราจะได้ข้อคิดดีๆ เพื่อนำไปใช้ในการดำรงชีวิตที่มีอยู่อย่างจำกัด ชีวิตหลังความตายจะได้ไปสุคติโลกสวรรค์กัน

                                                                                                                                            พระเทพญาณมหามุนี


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ประกาศ
เรียนเพื่อนสมาชิก

เนื่องจากทีมงานได้ตรวจสอบทางเทคนิคพบว่าการแสดงความคิดเห็นในกระทู้นี้ เช่น

ชุดที่ 1 ความคิดเห็นที่ 0 (หัวกระทู้หมายเลข 34979452) ,
ความคิดเห็นที่ 13 กระทู้หมายเลข 34979452 และ
ความคิดเห็นที่ 10 กระทู้หมายเลข 34950074

ชุดที่ 2 ความคิดเห็นที่ 12 กระทู้หมายเลข 34979452

ชุดที่ 3 ความคิดเห็นที่ 8 กระทู้หมายเลข 34950074 และ
ความคิดเห็นที่ 9 กระทู้หมายเลข 34979452

มีความเชื่อมโยงว่าจะถูกโพสต์มาจาก Computer เครื่องเดียวกัน
จึงขอให้เพื่อนสมาชิกโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่