อารัมภบท
ข้อมูลต่อไปนี้ข้าพเจ้าสืบค้นฐานข้อมูลจากวิกิพีเดียทั้งภาคภาษาไทยและอังกฤษ รวมถึงเว็บไซต์จากต่างประเทศด้วย หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
( ติดตามอ่านบทความย้อนหลังตามลิงก์นี้ได้ครับ
http://ppantip.com/topic/34974171 )
***ความเดิมตอนที่แล้ว .....ในวันที่ 9 ตุลาคม 1934 ขณะที่สมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ เสด็จเยือนเมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส ขณะทรงประทับรถพระที่นั่งเปิดประทุนแล่นไปตามเส้นทาง ก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยมือสังหารนามว่า "วาโด เชอนอเซมสกี" จากกลุ่มปฏิวัติมาซิโดเนียน.....***
.....เมื่อสิ้นสมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ที่สุดแล้วสมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย พระราชบุตร ทรงขึ้นครองราชสมบัติแห่งยูโกสลาฟแทน แต่ด้วยยังทรงพระเยาว์นัก พระญาติของพระองค์ เจ้าชายพอลแห่งยูโกสลาเวียจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์.....
(ซ้าย สมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 , ขวา เจ้าชายพอล คาราดอเดวิค)
ด้วยปัจจัยและความกดดันหลายๆอย่าง รวมถึงข้อตกลงแวร์ซาย สนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมสำหรับประเทศผู้แพ้สงครามอย่างเยอรมนี หล่อหลอมให้เกิดบุรุษเหล็กอย่างฮิตเลอร์ ซึ่งร่วมมือกับฝูงปีศาจสงครามจากแดนอาทิตย์อุทัย โลกทั้งโลกถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดจากกางเขนเหล็ก และคมดาบซามูไร ณ เวลานั้นโลกเข้าสู่สงครามใหญ่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเยอรมนีตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาอุตสาหกรรมทางทหารอย่างอุกฤต ประเทศผู้ชนะสงครามเมื่อคราวก่อนโน้นก็หนาวขี้กันเป็นแถวๆ รวมถึงราชอณาจักรยูโกสลาเวียที่เตรียมพร้อมรับมือเหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองดีอยู่แล้ว ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง เยอรมนีคู่อริเก่าคงต้องหันมาเล่นงานตนก่อนเป็นแน่แท้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ เยอรมนีเข้าโจมตียูโกสลาเวียและกรีซพร้อมๆกัน ตั้งแต่ 6 เมษายน กองกำลังอากาศยานลุฟท์วาฟเยอรมันได้โจมตีเบลเกรดเมืองหลวงยูโกสลาเวีย โดยจัดหนักถึง 3 วัน 3 คืน เป็นปฏิบัติการลงโทษยูโกสลาเวีย ก่อนที่เยอรมนี,บัลแกเรีย,ฮังการี และอิตาลี จะระดมพลบุกยูโกสลาเวียและกรีซอย่างเต็มรูปแบบ ท้ายที่สุดคณะรัฐบาลยูโกสลาเวียจึงได้ประกาศยอมแพ้สงครามในวันที่ 17 เมษายน สมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 จำต้องเสด็จลี้ภัยสงครามออกนอกประเทศพร้อมคณะรัฐบาล ตอนนี้ยูโกสลาเวียได้ถูกแบ่งเป็น 4 ส่วน จัดสรรค์ตามความต้องการของผู้ยึดครองดินแดนเสร็จสมอารมณ์หมายตามๆกันไป
(แผนที่ยูโกสลาเวีย ถูกจัดทำขึ้นโดยพรรคนาซี)
คราเมื่อเจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวียและคณะรัฐบาลที่ยังถวายความภักดีได้ลี้ภัยสงครามอยู่นั้น ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เจ้าชายพอลไม่รู้ว่าตนจะหนีไปทางไหนดี จะหนีตามน้องไปแล้วทิ้งประชาชนให้โดนสงครามกลืนกินก็กระไรอยู่ ก็เลยประกาศว่า ยูโกสลาเวียจะยึดมั่นในข้อตกลงไตรภาคีของฝ่ายอักษะ เป็นผลให้ยูโกสลาเวียได้กลายเป็นรัฐบริวารเยอรมนีโดยปริยาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสภาสมัชชารัฐธรรมนูญแห่งยูโกสลาเวีย และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งนำโดยเจ้าชายพอลก็ประชุมกันถอนพระอิศริยยศเจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 ซะเลย เจ้าชายพอลพระญาติจึงเข้ากุมอำนาจยูโกสลาเวียแทน แต่ก็เป็นได้เพียงหุ่นเชิดให้นาซีเท่านั้น.....
(เจ้าชายพอลและฮิตเลอร์ )
(สมาชิกกองโจรยูโกสลาเวีย)
.....ระหว่างนี้การสู้รบในสงครามยังคงดำเนินไปอย่างระอุ หน่วยกองโจรและจารชนสายลับต่างๆที่มีอยู่ทั่วยูโกสลาเวีย ยังคงดำเนินปฏิบัติการทางทหารต่อต้านนาซีอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนั้นกองทัพยูโกสลาฟก็เกิดแตกคอกันเอง ด้วยความไม่ลงรอยในทรรศนะคติระบอบปกครอง
กลุ่มแรก คือกลุ่มเช็ทนิกส์ นำโดย "นายพลเดรซา มิเฮลโรวิก" ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน
และกลุ่มที่สอง คือกลุ่มหัวรุนแรงยูโกสลาฟซึ่งเป็นกลุ่มนิยมคอมมิวนิตส์ นำโดย"จอมพลยอซีป บรอซ ตีโต"
(รัฐบุรุษ จอมพลยอซีป บรอซ ตีโต)
กลุ่มเช็ทนิกส์จึงเริ่มลงมือโจมตีที่มั่นกลุ่มหัวรุนแรงอย่างหนัก แต่กระนั้นกลุ่มหัวรุนแรงยูโกสลาฟก็ได้รับการสนับสนุนมากมายจากฝ่ายสัมพันธมิตร.....
.....จวบจนช่วงปลายสงครามโลก ทหารฝ่ายอักษะถูกฝ่ายสัมพันธมิตรบุกตีจนล่าถอยไปเรื่อย และทหารเยอรมันในยูโกสลาเวียก็ถอนกำลังบางส่วนเสริมทัพตนเพื่อรบกับโซเวียตรัสเซีย ช่วงปลายสงครามนั้นเยอรมันอ่อนกำลังลงมากเนื่องจากแพ้ศึกที่ชายแดนโซเวียต จอมพลตีโตจึงอาศัยโอกาสนี้นำกำลังขับไล่ทหารเยอรมันออกจากดินแดนยูโกสลาเวียได้สำเร็จ เขาได้กลายเป็นรัฐบุรุษในเวลาถัดมา
.....จอมพลตีโตผู้นี้แหละครับ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ยูโกสลาเวียยึดรูปแบบการปกครองแบบสังคมนิยมตามโซเวียตรัสเซีย แต่ก็เป็นสังคมนิยมตามใจฉัน คือเป็นคอมมิวนิสต์จริง แต่ก็ไม่ฝักฝ่ายใด รวมทั้งไม่สนแนวทางระบบคอมมิวนิสต์ตัวพ่ออย่างรัสเซียด้วย คงเป็นเพราะจอมพลผู้นี้เคยมีความหลังกับคอมมิวนิสต์ในคุกรัสเซีย วันเวลาในคุกทำให้เกิดศรัทธาในระบอบนี้อย่างฝังหัว
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 และก็การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายพอลผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก มีการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายๆอย่างภายในราชอณาจักรยูโกสลาเวีย ทั้งนี้ยังได้มีการเปลี่ยนชื่ออณาจักรใหม่ เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยยูโกสลาเวีย (DRY) ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อใหม่อีกเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนยูโกสลาเวีย (FPRY) และ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (SFRY) ในเวลาต่อมา.....
.....ในที่นี้ผมจะของดกล่าวถึงราชวงศ์เซอร์เบียในยูโกสลาเวีย แต่จะเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยเหตุการณ์ สำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของสหพันธรัฐแทนนะครับ
อืม....อันที่จริงราชวงศ์เหล่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แทบจะไม่มีส่วนในการปกครองยูโกสลาเวียเลย เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง อำนาจปกครองรัฐส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ควบคุมโดยจอมพลตีโต ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งประธานธิบดีและเลขาธิการสภากลาโหม ซึ่งนั่นเป็นการสร้างอำนาจให้พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของทุกคน ที่อยู่ภายใต้สหพันธรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย
(คงไม่ผิดนะครับ ถ้าผมจะบอกว่า สามคนนี้ คือตัวแทนแห่งความโกลาหลในโลกยุคนั้นเลย เรียงจากซ้าย นิกิต้า ครุสชอฟ , ฟิเดล คาสโตร , เคนเนดี้ )
แต่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง โลกกำลังจะเข้าสู่สงครามใหญ่อีกครั้ง สืบเนื่องจากประเทศมหาอำนาจต่างดำเนินนโยบายเพื่อแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจอีกฝ่าย โลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ภาวะการณ์ในช่วงเวลานั้น ทุกคน ทุกประเทศ ต่างพากันวิตกกับข่าวลือและการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในที่ต่างๆของโลก โดยฝีมือไอ้เด็กเก็บกดอย่างอเมริกาและโซเวียต ด้วยเหตุผลนี้เอง จอมพลตีโตท่านมองเห็นช่องโอกาสแห่งการอยู่รอดจากสงครามใหญ่นี้ และด้วยความขยาดจากสงครามโลกครั้งที่ 1และ2 ซึ่งยูโกสลาเวียตอนนั้นก็โดนกระทืบกระอักกระอ่วมทุกครั้งไป จอมพลตีโตจึงได้ประกาศให้ยูโกสลาเวียเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในเดือนกันยายน ปี 1961 ซึ่งการนี้ก็ขัดใจโซเวียตอย่างมาก แต่แล้วเค้าลางสงครามใหญ่ที่ใครๆก็กลัว ก็ใกล้ปะทุขึ้นจากวิกฤติการณ์นิวเคลียร์ที่คิวบา ในปี 1962 สืบเนื่องจากการแข่งขันสะสมอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ เพื่อคานอำนาจของอีกฝ่ายโดยขาดการยั้งคิดและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์บางจำพวก
.....ท้ายที่สุดสงครามใหญ่ที่ใครๆกลัวกันก็ดันไม่เกิด แต่สงครามเล็กๆที่โหดสัสได้เดินทางไปยังภูมิภาคอินโดจีนแทน..... ยูโกสลาเวียในช่วงสงครามเย็นนี้ ยังคงดำเนินไปด้วยความผาสุขของคนในสหพันธ์อย่างปรกติ แต่น้ำนิ่งมันย่อมไหลลึก ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังคงปฏิบัติการเคลื่อนไหวอยู่อย่างลับๆ รอเพียงเวลาที่เหมาะสมมันจะเผยให้เห็นเองว่า แท้จริงแล้วยังมีคนบางกลุ่ม ไม่ต้องการอยู่ใต้อธิปไตยของยูโกสลาเวียเลย.....
(ติดตามบทความตอนที่ 3 ตามลิงก์นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/34989473 )
ล้างพันธุ์ยูโกสลาเวีย (ตอนที่ 2)
ข้อมูลต่อไปนี้ข้าพเจ้าสืบค้นฐานข้อมูลจากวิกิพีเดียทั้งภาคภาษาไทยและอังกฤษ รวมถึงเว็บไซต์จากต่างประเทศด้วย หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
( ติดตามอ่านบทความย้อนหลังตามลิงก์นี้ได้ครับ http://ppantip.com/topic/34974171 )
***ความเดิมตอนที่แล้ว .....ในวันที่ 9 ตุลาคม 1934 ขณะที่สมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ เสด็จเยือนเมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส ขณะทรงประทับรถพระที่นั่งเปิดประทุนแล่นไปตามเส้นทาง ก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยมือสังหารนามว่า "วาโด เชอนอเซมสกี" จากกลุ่มปฏิวัติมาซิโดเนียน.....***
.....เมื่อสิ้นสมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ที่สุดแล้วสมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย พระราชบุตร ทรงขึ้นครองราชสมบัติแห่งยูโกสลาฟแทน แต่ด้วยยังทรงพระเยาว์นัก พระญาติของพระองค์ เจ้าชายพอลแห่งยูโกสลาเวียจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์.....
(ซ้าย สมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 , ขวา เจ้าชายพอล คาราดอเดวิค)
ด้วยปัจจัยและความกดดันหลายๆอย่าง รวมถึงข้อตกลงแวร์ซาย สนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมสำหรับประเทศผู้แพ้สงครามอย่างเยอรมนี หล่อหลอมให้เกิดบุรุษเหล็กอย่างฮิตเลอร์ ซึ่งร่วมมือกับฝูงปีศาจสงครามจากแดนอาทิตย์อุทัย โลกทั้งโลกถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดจากกางเขนเหล็ก และคมดาบซามูไร ณ เวลานั้นโลกเข้าสู่สงครามใหญ่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเยอรมนีตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาอุตสาหกรรมทางทหารอย่างอุกฤต ประเทศผู้ชนะสงครามเมื่อคราวก่อนโน้นก็หนาวขี้กันเป็นแถวๆ รวมถึงราชอณาจักรยูโกสลาเวียที่เตรียมพร้อมรับมือเหมือนจะรู้ชะตากรรมตัวเองดีอยู่แล้ว ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง เยอรมนีคู่อริเก่าคงต้องหันมาเล่นงานตนก่อนเป็นแน่แท้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ เยอรมนีเข้าโจมตียูโกสลาเวียและกรีซพร้อมๆกัน ตั้งแต่ 6 เมษายน กองกำลังอากาศยานลุฟท์วาฟเยอรมันได้โจมตีเบลเกรดเมืองหลวงยูโกสลาเวีย โดยจัดหนักถึง 3 วัน 3 คืน เป็นปฏิบัติการลงโทษยูโกสลาเวีย ก่อนที่เยอรมนี,บัลแกเรีย,ฮังการี และอิตาลี จะระดมพลบุกยูโกสลาเวียและกรีซอย่างเต็มรูปแบบ ท้ายที่สุดคณะรัฐบาลยูโกสลาเวียจึงได้ประกาศยอมแพ้สงครามในวันที่ 17 เมษายน สมเด็จพระราชาธิบดีปีเตอร์ที่ 2 จำต้องเสด็จลี้ภัยสงครามออกนอกประเทศพร้อมคณะรัฐบาล ตอนนี้ยูโกสลาเวียได้ถูกแบ่งเป็น 4 ส่วน จัดสรรค์ตามความต้องการของผู้ยึดครองดินแดนเสร็จสมอารมณ์หมายตามๆกันไป
(แผนที่ยูโกสลาเวีย ถูกจัดทำขึ้นโดยพรรคนาซี)
คราเมื่อเจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวียและคณะรัฐบาลที่ยังถวายความภักดีได้ลี้ภัยสงครามอยู่นั้น ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เจ้าชายพอลไม่รู้ว่าตนจะหนีไปทางไหนดี จะหนีตามน้องไปแล้วทิ้งประชาชนให้โดนสงครามกลืนกินก็กระไรอยู่ ก็เลยประกาศว่า ยูโกสลาเวียจะยึดมั่นในข้อตกลงไตรภาคีของฝ่ายอักษะ เป็นผลให้ยูโกสลาเวียได้กลายเป็นรัฐบริวารเยอรมนีโดยปริยาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสภาสมัชชารัฐธรรมนูญแห่งยูโกสลาเวีย และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งนำโดยเจ้าชายพอลก็ประชุมกันถอนพระอิศริยยศเจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 ซะเลย เจ้าชายพอลพระญาติจึงเข้ากุมอำนาจยูโกสลาเวียแทน แต่ก็เป็นได้เพียงหุ่นเชิดให้นาซีเท่านั้น.....
(เจ้าชายพอลและฮิตเลอร์ )
(สมาชิกกองโจรยูโกสลาเวีย)
.....ระหว่างนี้การสู้รบในสงครามยังคงดำเนินไปอย่างระอุ หน่วยกองโจรและจารชนสายลับต่างๆที่มีอยู่ทั่วยูโกสลาเวีย ยังคงดำเนินปฏิบัติการทางทหารต่อต้านนาซีอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนั้นกองทัพยูโกสลาฟก็เกิดแตกคอกันเอง ด้วยความไม่ลงรอยในทรรศนะคติระบอบปกครอง
กลุ่มแรก คือกลุ่มเช็ทนิกส์ นำโดย "นายพลเดรซา มิเฮลโรวิก" ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน
และกลุ่มที่สอง คือกลุ่มหัวรุนแรงยูโกสลาฟซึ่งเป็นกลุ่มนิยมคอมมิวนิตส์ นำโดย"จอมพลยอซีป บรอซ ตีโต"
(รัฐบุรุษ จอมพลยอซีป บรอซ ตีโต)
กลุ่มเช็ทนิกส์จึงเริ่มลงมือโจมตีที่มั่นกลุ่มหัวรุนแรงอย่างหนัก แต่กระนั้นกลุ่มหัวรุนแรงยูโกสลาฟก็ได้รับการสนับสนุนมากมายจากฝ่ายสัมพันธมิตร.....
.....จวบจนช่วงปลายสงครามโลก ทหารฝ่ายอักษะถูกฝ่ายสัมพันธมิตรบุกตีจนล่าถอยไปเรื่อย และทหารเยอรมันในยูโกสลาเวียก็ถอนกำลังบางส่วนเสริมทัพตนเพื่อรบกับโซเวียตรัสเซีย ช่วงปลายสงครามนั้นเยอรมันอ่อนกำลังลงมากเนื่องจากแพ้ศึกที่ชายแดนโซเวียต จอมพลตีโตจึงอาศัยโอกาสนี้นำกำลังขับไล่ทหารเยอรมันออกจากดินแดนยูโกสลาเวียได้สำเร็จ เขาได้กลายเป็นรัฐบุรุษในเวลาถัดมา
.....จอมพลตีโตผู้นี้แหละครับ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ยูโกสลาเวียยึดรูปแบบการปกครองแบบสังคมนิยมตามโซเวียตรัสเซีย แต่ก็เป็นสังคมนิยมตามใจฉัน คือเป็นคอมมิวนิสต์จริง แต่ก็ไม่ฝักฝ่ายใด รวมทั้งไม่สนแนวทางระบบคอมมิวนิสต์ตัวพ่ออย่างรัสเซียด้วย คงเป็นเพราะจอมพลผู้นี้เคยมีความหลังกับคอมมิวนิสต์ในคุกรัสเซีย วันเวลาในคุกทำให้เกิดศรัทธาในระบอบนี้อย่างฝังหัว
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายปีเตอร์ที่ 2 และก็การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายพอลผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก มีการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายๆอย่างภายในราชอณาจักรยูโกสลาเวีย ทั้งนี้ยังได้มีการเปลี่ยนชื่ออณาจักรใหม่ เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยยูโกสลาเวีย (DRY) ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อใหม่อีกเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนยูโกสลาเวีย (FPRY) และ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (SFRY) ในเวลาต่อมา.....
.....ในที่นี้ผมจะของดกล่าวถึงราชวงศ์เซอร์เบียในยูโกสลาเวีย แต่จะเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยเหตุการณ์ สำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของสหพันธรัฐแทนนะครับ
อืม....อันที่จริงราชวงศ์เหล่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แทบจะไม่มีส่วนในการปกครองยูโกสลาเวียเลย เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง อำนาจปกครองรัฐส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ควบคุมโดยจอมพลตีโต ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งประธานธิบดีและเลขาธิการสภากลาโหม ซึ่งนั่นเป็นการสร้างอำนาจให้พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของทุกคน ที่อยู่ภายใต้สหพันธรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย
(คงไม่ผิดนะครับ ถ้าผมจะบอกว่า สามคนนี้ คือตัวแทนแห่งความโกลาหลในโลกยุคนั้นเลย เรียงจากซ้าย นิกิต้า ครุสชอฟ , ฟิเดล คาสโตร , เคนเนดี้ )
แต่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง โลกกำลังจะเข้าสู่สงครามใหญ่อีกครั้ง สืบเนื่องจากประเทศมหาอำนาจต่างดำเนินนโยบายเพื่อแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจอีกฝ่าย โลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ภาวะการณ์ในช่วงเวลานั้น ทุกคน ทุกประเทศ ต่างพากันวิตกกับข่าวลือและการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในที่ต่างๆของโลก โดยฝีมือไอ้เด็กเก็บกดอย่างอเมริกาและโซเวียต ด้วยเหตุผลนี้เอง จอมพลตีโตท่านมองเห็นช่องโอกาสแห่งการอยู่รอดจากสงครามใหญ่นี้ และด้วยความขยาดจากสงครามโลกครั้งที่ 1และ2 ซึ่งยูโกสลาเวียตอนนั้นก็โดนกระทืบกระอักกระอ่วมทุกครั้งไป จอมพลตีโตจึงได้ประกาศให้ยูโกสลาเวียเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในเดือนกันยายน ปี 1961 ซึ่งการนี้ก็ขัดใจโซเวียตอย่างมาก แต่แล้วเค้าลางสงครามใหญ่ที่ใครๆก็กลัว ก็ใกล้ปะทุขึ้นจากวิกฤติการณ์นิวเคลียร์ที่คิวบา ในปี 1962 สืบเนื่องจากการแข่งขันสะสมอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ เพื่อคานอำนาจของอีกฝ่ายโดยขาดการยั้งคิดและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์บางจำพวก
.....ท้ายที่สุดสงครามใหญ่ที่ใครๆกลัวกันก็ดันไม่เกิด แต่สงครามเล็กๆที่โหดสัสได้เดินทางไปยังภูมิภาคอินโดจีนแทน..... ยูโกสลาเวียในช่วงสงครามเย็นนี้ ยังคงดำเนินไปด้วยความผาสุขของคนในสหพันธ์อย่างปรกติ แต่น้ำนิ่งมันย่อมไหลลึก ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังคงปฏิบัติการเคลื่อนไหวอยู่อย่างลับๆ รอเพียงเวลาที่เหมาะสมมันจะเผยให้เห็นเองว่า แท้จริงแล้วยังมีคนบางกลุ่ม ไม่ต้องการอยู่ใต้อธิปไตยของยูโกสลาเวียเลย.....
(ติดตามบทความตอนที่ 3 ตามลิงก์นี้ครับ http://ppantip.com/topic/34989473 )