บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/34918459
ความเดิม บทที่แล้ว
เจคและทริกเกอร์ สองน้องหมาผู้น่ารัก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพักร้อนกับคุณผู้หญิง
โดยมาอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อน ซึ่งอยู่ข้างบ้านคุณนายใจดี เจ้านายของแมวปิฬาร์
นำไปสู่กะละมังปริศนา และเวลาเช้าอันน่ารักแบบวุ่นวาย
ของเจค ทริกเกอร์ ปิฬาร์ และหนูแจ๋ว
“แหม...เห็นว่าเป็นหมาเมืองนอก นึกว่าจะเห่าสำเนียงต่างประเทศให้เป็นบุญหูเสียหน่อย นึกว่าจะ ...อะโฮ้ง ..หรือ ...อะโฮ่งซซ์...อิด.สะ โฮ้งซ์...เสียอีก ว้า.....”
========================
แมวปิฬาร์ VS เจคและทริกเกอร์
บทที่ 2
========================
พูดจบก็ถอยห่างออกจากประตู้รั้วอย่างระมัดระวัง เพราะกะละมังใบใหม่ยังอยู่ในอ้อมกอด นึกถึงกระปุกออมสินรูปน้องแมวทีไรก็ใจหายวูบ ยังกินเหรียญไม่อิ่มแล้วก็ต้องมาสิ้นอายุไขเสียแล้ว เป็นเพราะแมวปิฬาร์แท้ๆ คอยดูก็แล้วกัน คุณนายใจดีเผลอเมื่อไรจะทำแมวแกงอ่อมกินเสียให้เข็ด
พอเดินมาถึงข้างบ้านหนูแจ๋วมองปราดไปก็ใจหายวาบอีกครั้ง เพราะตรงใกล้ๆ กับก๊อกน้ำประปาโคนต้นไม้ใหญ่ กะละมังซึ่งหายไปกลับมาวางตั้งอยู่ราวปาฏิหาริย์
“ไม่จริง...ล้อกันเล่นใช่ไหม”
หนูแจ๋วปล่อยกะละมังหล่นจากอ้อมกอด หัวใจตัวเองเหมือนปลิวปลิวร่วงหล่นตามลงไปด้วย นี่มันผีหลอกหรืออย่างไร จะว่าคุณผู้หญิงเอามาวางก็เป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้วันหยุด คุณผู้หญิงจะตื่นสายเป็นพิเศษ และแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ค้นบ้านทุกตารางนิ้วแล้วก็ไม่เจอ
เด็กสาวบ้านนาได้แต่ยืนตาค้างตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก จินตนาการล่องลอยไปแสนไกล แสดงว่าการทุบกระปุกออมสินแมวเป็นส่วนเกินของความจำเป็นไปเสียแล้ว นี่มันอาถรรพ์หรือเวทมนตร์ดลบันดาลกันแน่ จะเอากะมะลังใบใหม่ไปคืนร้านดีไหม แต่ถ้าเอาไปคืนกลับมาบ้านกะละมังใบเก่าเกิดหายไปอีกจะทำอย่างไร เสียดายเงินก็เสียดาย
“เป็นเพราะแกตัวเดียว ยัยปิฬาร์ คอยดูก็แล้วกัน จะจับมาทำแมวผัดเผ็ดจานเด็ดสักวัน”
สุดท้ายก็ไปลงที่แมวเจ้าปัญหาจนได้ ก่อนจะยืนตัดสินใจต่อไปว่าจะเอากะละมังไปคืนหรือไม่คืนดี งานการไม่ต้องทำกันเพราะในใจของเด็กสาวบ้านนาเกิดความสับสนในชีวิตเสียแล้ว
ข้างฝ่ายแมวปิฬาร์ผู้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกหมายหัวอยู่กำลังสนใจบางอย่างอันชวนสนุกสนานเหลือเกิน
ในขณะเจคและทริกเกอร์ไปเห่าอยู่ประตู้รั้วบ้านอย่างเมามัน บนกำแพงด้านข้างของบ้านก็ปรากฏร่างของแมวปิฬาร์ขึ้นอย่างเงียบเชียบ โดยมีจุดประสงค์คือชิ้นเนื้อไก่ทอดวางอยู่ในจานหน้าบ้านของคุณหญิงเพื่อนบ้าน ไก่ทอดมีสองชิ้น เสียดายว่าคงแบกใส่หลังมาสองชิ้นไม่ได้ ถ้าจะเลือกต้องเลือกชิ้นเล็กเพราะคาบง่ายสบายปาก
ไม่ต้องเสียเวลาคิดตัดสินใจให้นานเกินรอ แมวสาวกระโดดผลุงลงไปอย่างเงียบกริบด้วยวิชาตัวแมว คาบเอาไก่ทอดติดปากขึ้นมาชิ้นหนึ่งก่อนกระโดดกลับขึ้นมาบนกำแพง แล้ววางอาหารชิ้นงามลงบนกำแพงอย่างมีความสุขสนุกสนาน โดยสองหมาผู้มาใหม่ไม่รู้ว่าอาหารถูกแมวแอบคาบไปเสียแล้ว
พอหนูแจ๋วเดินเข้าบ้านไป สองน้องหมาก็วิ่งกลับมายังจานอาหารของตนเอง เจคไม่มีปัญหาอะไรเพราะอาหารในจานยังอยู่เป็นปกติสุข แต่ทริกเกอร์พอมาถึงจานอาหารของตัวเองก็ใจหายวาบมองดูจานอันว่างเปล่าอย่างไม่เชื่อสายตา มันเป็นไปได้อย่างไรว่าไก่ทอดแสนงามหายไปได้อย่างไร มองดูรอบๆ ก็ไม่ปรากฏร่องรอย เลยหันไปตามลูกพี่เพื่อความแน่ใจ
“ไม่นะ....โอ ไม่....พี่เจคครับ ไก่ผมหาย พี่เจคเอาไปหรือเปล่าครับ”
ลูกพี่กำลังจะงับลงบนชิ้นไก่ด้วยหัวใจเปี่ยมอิ่ม หันมามองอย่างขัดอารมณ์
“นายโวยวายอะไร”
“ก็ไก่ผมหาย”
“แล้วฉันจะไปรู้นายเหรอ...”
“ก็เราอยู่กันสองคน เอ้ย... สองตัวเท่านั้น ถ้าพี่เจคไม่เอาไปแล้วหมาตัวไหนจะเอาไปล่ะครับ”
ทริกเกอร์ตั้งข้อสงสัยด้วยความเสียดายปนขุ่นเคืองเพราะหาหลักฐานไม่ได้ ลูกพี่มองแล้วส่ายหน้าส่ายหางอย่างเอือมระอาพูดว่า
“อย่ามามั่วนิ่มนะ ฉันกับนายไปมาพร้อมกัน จะเอาเวลาที่ไหนไปกินไก่ของแก ว่าแต่....เอ๊ะ...หรือว่า...”
เจคหยุดพูดแล้วมองหน้าลูกน้องตัวแสบอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง
“หรือว่าแกกินหมดแล้ว มาหาเรื่องฉันแก้เกี้ยวกันแน่”
“โธ่...พี่เจค” ทริกเกอร์ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ผมเพิ่งกลับมาถึงจานเมื่อตะกี้นี่เอง จะกินไก่ชิ้นใหญ่หมดในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงครับ ผมไม่ใช่งูเหลือมจะจะกินโดยไม่ต้องเคี้ยว”
“อ้าว...ไหนนายบอกว่าไก่ของนายชิ้นเล็กไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้มาบอกชิ้นใหญ่”
“โธ่...อย่าพูดล้อเล่นสิครับ ไก่มันหายไปจริงๆ ว่าแต่ขอแบ่งไก่ของพี่เจคมาสักครึ่งได้ไหมครับ”
“เสียใจด้วยนะ” เจคส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“นายก็รู้ว่าการฉีกแบ่งชิ้นเนื้อให้กันมันผิดวัฒนธรรมของพวกเรา ถ้าเป็นชิ้นเป็นต่อนยังพอว่าไปอย่าง แต่ถ้ามีชิ้นเดียวไม่เคยว่าหมาจะฉีกแบ่งกัน เสียใจด้วยนะทริก... อ้ำล่ะนะ”
ว่าพลางลูกพี่ก็อ้าปากงับไก่ทอดชิ้นงามเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยล้นเหลือ ท่ามกลางสายตาอันเจ็บปวดรวดร้าวใจของลูกน้อง แถมยังต้องมาฟังเสียงเคี้ยวเสียงชื่นชมของเจคอีกราวกับจะตอกย้ำความขมขื่น
“อืมม์...ช่างเป็นเนื้อไก่แสนนุ่มเหลือเกิน ความนุ่มละมุนกรุ่นลิ้นที่พอดีไม่มากไม่น้อย กระดูกไก่ก็ไม่เปราะหรือแข็งเกินไป เวลาเคี้ยวให้ความรู้สึกกรุบกรับกำซาบเขี้ยว กลิ่นหอมหวนชวนลิ้มลองรสชาติแสนอร่อยจนน่าตกใจ โอ ไม่เคยกินไก่ทอดอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
กินจนหมดแล้วลูกพี่จึงเงยหน้าเผยตัวรำพึงออกมาด้วยความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ด้วยภาษาคลาสสิก
“โอ...แซบอีหลี”
ลูกน้องฟังแล้วยิ่งสลด ไม่เข้าใจว่าทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เกิดมาไม่เคยไปเกะกะระรานพาลใคร ทำไมถึงต้องเป็นเรา
ฝ่ายแมวปิฬาร์ ยืนมองลงมาจากขอบรั้วอย่างสงสัย เพราะฟังภาษาหมาไม่ออก ไม่รู้ว่าเจ้าหมาสองตัวทำอะไรกันเดี๋ยวก็เห่าเดี๋ยวก็หอน แต่ช่างเถอะ ไม่อยากสนใจ เอาไก่ทอดไปกินดีกว่า คิดแล้วก็ก้มลงคาบไก่ทอดชิ้นงามกระโดดลงไปในเขตบ้านของตัวเองด้วยท่าทีลีลาสวยงาม แต่เพราะคำนึงถึงลีลาการกระโดดมากเกินไปตามนิสัยรักสวยรักงาม แมวสาวเลยชนเข้าบริเวณลำตัวของหนูแจ๋วผู้ยังคงยืนคิดในใจ คืน..ไม่คืน...อย่างไม่รู้สร่างเข้าอย่างจัง
“ว้าย..”
“เหมี้ยว...!”
คนตกใจผวาหงายหลังล้มก้นกระแทก แมวกระเด็นไปอีกด้านแบบหมดท่าอันสวยงามแต่ก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปหลังบ้านอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณเพราะเคยชินกับกรณีหนูแจ๋วตกใจแล้วไล่ตี ไม่ว่าหมาหรือแมวเวลาตกใจต้องวิ่งก่อนเป็นอันดับแรก ผิดกับคนเราเมื่อตกใจจะมีหลายแบบ
แค่คราวนี้หนูแจ๋วไม่มีแรงตกใจแล้ววิ่งไล่ตีใครเพราะกำลังตัดสินใจและหมดกำลังใจกับเหตุการณ์ประหลาดภายในบ้าน ฝากตกใจไว้ก่อนเถอะยัยปิฬาร์ เด็กสาวบ้านนาคิดอย่างโมโห ก่อนลุกขึ้นเดินไปดูกะละมังเจ้าปัญหาแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง
ในกะละมังมีไก่ทอดชิ้นหนึ่งวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบเสงี่ยม
เอาเข้าไป...แปลกประหลาดเข้าไป....หนูแจ๋วนึกในใจ ขณะค่อยย่อตัวลงไปดูไก่ทอดเพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่ภาพหลอน เอื้อมมือไปแตะอย่างระมัดระวัง...ไก่ทอดยังอุ่นๆอยู่เลย และสะอาดสะอ้าน เพราะไม่ได้หล่นลงบนพื้นยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับคนใช้ตัวเก่ง หรือแมวปิฬาร์จะคาบมาจากบ้านอื่น แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจะมาอยู่ในกะละมังได้อย่างไร ถ้าแมวจะกินไก่ทอดแล้วเอามาวางในกะละมังได้ อีกหน่อยปิฬาร์จะไม่ถือซ้อนส้อมและผ้ากันเปื้อนมากินอาหารเช้าหรืออย่างไร
คนรับใช้ประจำบ้านลุกขึ้นยืน มองซ้ายมองขวา ก่อนเดินไปชิดกำแพงรั้วบ้านมองข้ามรั้วไปยังอีกฝั่ง ก็เห็นน้องหมาสองตัวกำลังทำท่าเหมือนพูดจากันอยู่ จะเป็นได้ไหมว่าเป็นไก่ของหมาสองตัวนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วไก่ชิ้นงามจะรอดพ้นปากหมาข้ามรั้วบ้านมาได้อย่างไร
แต่ว่า....ไก่ทอดที่มาตกอยู่ในบ้านของเรา ตามกฎหมายน่าจะเป็นของเรานี่นา...สายตาของหนูแจ๋วเริ่มปรากฏแววเจ้าเล่ห์ขึ้นทีละน้อย และไก่ย่างชิ้นงามยังคงอุ่นหอมน่ากินเหลือเกินราวกับไม่เคยต้องมือหมามือแมวมาก่อน
ข้าวเหนียวก็คงนึ่งได้ที่จนสุกแล้ว ขาดแต่กับข้าวเท่านั้น มีไก่ทอดมาปรากฏราวฟ้าประทานช่างหอมหอนเหลือเกิน น่ากินเหลือใจจะไปอดทน
หนูแจ๋วเดินมาใช้มือขวาหยิบชื้นไก่ขึ้นจากกะละมัง อ้าปากกว้างขึ้นอย่างช้าๆ ยกไก่ทอดขึ้นทีละน้อย
แต่ถ้าเกิดเป็นไก่ทอดของน้องหมาข้างบ้านจริงๆล่ะ มีความเป็นไปได้เพราะได้ยินเสียงคนข้างบ้านลุกขึ้นทำครัวตั้งแต่เช้าแล้ว เราจะใจดำกินอาหารน้องหมาได้อย่างไร
“ไม่น่ะ...ไม่ๆๆได้โปรด...”
หนูแจ๋วพยายามเบี่ยงหน้าออกไปด้านซ้ายสุดชีวิต ออกแรงกดมือซ้ายของตัวเองไม่ให้มือขวายกไก่ทอดสูงขึ้นมาอีก
“แจ๋วไม่กิ้น ไม่กิน”
“กินเถอะน่า...” เสียงอะไรบางอย่างกระซิบมาจากด้านขวาในความรู้สึก
“คิดดูนะ ไก่ทอดยังสะอาดอุ่นน่ากิน จะลองกัดชิมดูสักชิ้นดูก่อนก็ได้ หรือจะเอาไปกินในครัวกับข้าวเหนียวนึ่งก็ได้นะจ๊ะ... แซบอะหลีเด้อ”
พลังลึกลับผลักดันมือขวาให้สูงขึ้น ปากอ้ากว้างขึ้นอีก น้ำลายหมดไหลสามหยด
“นั่นอาจเป็นของหมาข้างบ้านนะจ๊ะ”
อีกเสียงแทรกขึ้นมาจากทางด้านซ้าย
“เธอจะแย่งน้องหมากินหรือจ๊ะ”
“ไม่นะ...”
เด็กสาวกัดฟันออกแรงสุดชีวิตสะบัดหน้าไปทางซ้ายสุดแรงเกิด พยายามงับปากตัวลงให้ปิดสนิทเพราะแมลงวันเริ่มบินมาตอม แต่ว่าช่างเป็นไปอย่างลำบากยากเย็นเหลือเกิน
“โอ คุณพระคุณเจ้า ช่วยแจ๋วด้วย โปรดประทานกำลังให้แจ๋วด้วย”
“รีบกินเถอะน่า อย่าเรื่องมาก ทุ่นค่าอาหารเช้าไปได้มื้อหนึ่งเชียวนะ”
เสียงจากด้านขวาเร่งเร้ามาอีก ถ้ามีใครมาเห็นสภาพของคนรับใช้บ้านคุณนายใจดีคงประหลาดใจและขบขันกับอาการเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเอง และความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริง พลังด้านมืดและพลังด้านสว่างกำลังแย่งชิงร่างกายและจิตใจของหนูแจ๋วอย่างเต็มพลังอำนาจของแต่ละฝ่าย
“เมี้ยว!”
เสียงแมวตัวหนึ่งร้องเสียงดังอยู่ข้างหน้า แมวปิฬาร์นั่นเอง ผู้ไม่สนใจว่าหนูแจ๋วกำลังทำบ้าอะไรอยู่ สนใจแต่ไก่ทอดในมือข้างขวาของคนรับใช้ประจำบ้านเท่านั้น ก็ลงทุนไปคาบมากับปาก อยู่ดีๆมีคนมาแย่งไปอย่างไรก็ยอมไม่ได้ เลยทำท่าจะกระโดดขึ้นมางับ
พอได้ยินเสียงแมวเจ้าปัญหา หนูแจ๋วได้สติโยนไก่ทอดในมือทิ้งไปทันทีรู้สึกราวกับว่ามีกรรมการมาแยกมวยระหว่างอำนาจฝ่ายมืดและฝ่ายสว่าง ไก่ชิ้นงามลอยคว้างข้ามกำแพงไปและช่างบังเอิญแบบไม่น่าเชื่อว่าพอตกถึงพื้นก็กระเด็นลงไปอยู่ในจานของทริกเกอร์อย่างไม่น่าเป็นไปได้
หนูแจ๋วคล้ายถูกปลดปลอดจากพันธนาการ ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง หัวใจปลอดโปร่งล่องลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าสวยงามยามเช้า พร้อมกับการหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข นึกถึงคำสอนของพ่อแม่พร่ำสอนวันแรกที่คุณนายใจดีไปรับตัวถึงบ้านนอก
“แจ๋ว แกไปอยู่กับคุณนายใจดี ทำตัวให้ดีเป็นที่ไว้วางใจ สมกับที่คุณนายไว้วางใจแกและครอบครัวเรา สิ่งของใดไม่ใช่ของเราอย่าไปยึดถือยึดติดแย่งชิงฉกฉวย อย่าโลภจนหลง อย่าหลงจนลืม อย่าลืมจนเกียจคร้าน ละโลภ โกรธ หลง มีสติ สติทำให้เกิดปัญญา ปัญญาเป็น....”
มีต่อครับ
แมวปิฬาร์ VS เจคและทริกเกอร์...บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/34918459
ความเดิม บทที่แล้ว
เจคและทริกเกอร์ สองน้องหมาผู้น่ารัก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพักร้อนกับคุณผู้หญิง
โดยมาอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อน ซึ่งอยู่ข้างบ้านคุณนายใจดี เจ้านายของแมวปิฬาร์
นำไปสู่กะละมังปริศนา และเวลาเช้าอันน่ารักแบบวุ่นวาย
ของเจค ทริกเกอร์ ปิฬาร์ และหนูแจ๋ว
“แหม...เห็นว่าเป็นหมาเมืองนอก นึกว่าจะเห่าสำเนียงต่างประเทศให้เป็นบุญหูเสียหน่อย นึกว่าจะ ...อะโฮ้ง ..หรือ ...อะโฮ่งซซ์...อิด.สะ โฮ้งซ์...เสียอีก ว้า.....”
========================
แมวปิฬาร์ VS เจคและทริกเกอร์
บทที่ 2
========================
พูดจบก็ถอยห่างออกจากประตู้รั้วอย่างระมัดระวัง เพราะกะละมังใบใหม่ยังอยู่ในอ้อมกอด นึกถึงกระปุกออมสินรูปน้องแมวทีไรก็ใจหายวูบ ยังกินเหรียญไม่อิ่มแล้วก็ต้องมาสิ้นอายุไขเสียแล้ว เป็นเพราะแมวปิฬาร์แท้ๆ คอยดูก็แล้วกัน คุณนายใจดีเผลอเมื่อไรจะทำแมวแกงอ่อมกินเสียให้เข็ด
พอเดินมาถึงข้างบ้านหนูแจ๋วมองปราดไปก็ใจหายวาบอีกครั้ง เพราะตรงใกล้ๆ กับก๊อกน้ำประปาโคนต้นไม้ใหญ่ กะละมังซึ่งหายไปกลับมาวางตั้งอยู่ราวปาฏิหาริย์
“ไม่จริง...ล้อกันเล่นใช่ไหม”
หนูแจ๋วปล่อยกะละมังหล่นจากอ้อมกอด หัวใจตัวเองเหมือนปลิวปลิวร่วงหล่นตามลงไปด้วย นี่มันผีหลอกหรืออย่างไร จะว่าคุณผู้หญิงเอามาวางก็เป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้วันหยุด คุณผู้หญิงจะตื่นสายเป็นพิเศษ และแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ค้นบ้านทุกตารางนิ้วแล้วก็ไม่เจอ
เด็กสาวบ้านนาได้แต่ยืนตาค้างตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก จินตนาการล่องลอยไปแสนไกล แสดงว่าการทุบกระปุกออมสินแมวเป็นส่วนเกินของความจำเป็นไปเสียแล้ว นี่มันอาถรรพ์หรือเวทมนตร์ดลบันดาลกันแน่ จะเอากะมะลังใบใหม่ไปคืนร้านดีไหม แต่ถ้าเอาไปคืนกลับมาบ้านกะละมังใบเก่าเกิดหายไปอีกจะทำอย่างไร เสียดายเงินก็เสียดาย
“เป็นเพราะแกตัวเดียว ยัยปิฬาร์ คอยดูก็แล้วกัน จะจับมาทำแมวผัดเผ็ดจานเด็ดสักวัน”
สุดท้ายก็ไปลงที่แมวเจ้าปัญหาจนได้ ก่อนจะยืนตัดสินใจต่อไปว่าจะเอากะละมังไปคืนหรือไม่คืนดี งานการไม่ต้องทำกันเพราะในใจของเด็กสาวบ้านนาเกิดความสับสนในชีวิตเสียแล้ว
ข้างฝ่ายแมวปิฬาร์ผู้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกหมายหัวอยู่กำลังสนใจบางอย่างอันชวนสนุกสนานเหลือเกิน
ในขณะเจคและทริกเกอร์ไปเห่าอยู่ประตู้รั้วบ้านอย่างเมามัน บนกำแพงด้านข้างของบ้านก็ปรากฏร่างของแมวปิฬาร์ขึ้นอย่างเงียบเชียบ โดยมีจุดประสงค์คือชิ้นเนื้อไก่ทอดวางอยู่ในจานหน้าบ้านของคุณหญิงเพื่อนบ้าน ไก่ทอดมีสองชิ้น เสียดายว่าคงแบกใส่หลังมาสองชิ้นไม่ได้ ถ้าจะเลือกต้องเลือกชิ้นเล็กเพราะคาบง่ายสบายปาก
ไม่ต้องเสียเวลาคิดตัดสินใจให้นานเกินรอ แมวสาวกระโดดผลุงลงไปอย่างเงียบกริบด้วยวิชาตัวแมว คาบเอาไก่ทอดติดปากขึ้นมาชิ้นหนึ่งก่อนกระโดดกลับขึ้นมาบนกำแพง แล้ววางอาหารชิ้นงามลงบนกำแพงอย่างมีความสุขสนุกสนาน โดยสองหมาผู้มาใหม่ไม่รู้ว่าอาหารถูกแมวแอบคาบไปเสียแล้ว
พอหนูแจ๋วเดินเข้าบ้านไป สองน้องหมาก็วิ่งกลับมายังจานอาหารของตนเอง เจคไม่มีปัญหาอะไรเพราะอาหารในจานยังอยู่เป็นปกติสุข แต่ทริกเกอร์พอมาถึงจานอาหารของตัวเองก็ใจหายวาบมองดูจานอันว่างเปล่าอย่างไม่เชื่อสายตา มันเป็นไปได้อย่างไรว่าไก่ทอดแสนงามหายไปได้อย่างไร มองดูรอบๆ ก็ไม่ปรากฏร่องรอย เลยหันไปตามลูกพี่เพื่อความแน่ใจ
“ไม่นะ....โอ ไม่....พี่เจคครับ ไก่ผมหาย พี่เจคเอาไปหรือเปล่าครับ”
ลูกพี่กำลังจะงับลงบนชิ้นไก่ด้วยหัวใจเปี่ยมอิ่ม หันมามองอย่างขัดอารมณ์
“นายโวยวายอะไร”
“ก็ไก่ผมหาย”
“แล้วฉันจะไปรู้นายเหรอ...”
“ก็เราอยู่กันสองคน เอ้ย... สองตัวเท่านั้น ถ้าพี่เจคไม่เอาไปแล้วหมาตัวไหนจะเอาไปล่ะครับ”
ทริกเกอร์ตั้งข้อสงสัยด้วยความเสียดายปนขุ่นเคืองเพราะหาหลักฐานไม่ได้ ลูกพี่มองแล้วส่ายหน้าส่ายหางอย่างเอือมระอาพูดว่า
“อย่ามามั่วนิ่มนะ ฉันกับนายไปมาพร้อมกัน จะเอาเวลาที่ไหนไปกินไก่ของแก ว่าแต่....เอ๊ะ...หรือว่า...”
เจคหยุดพูดแล้วมองหน้าลูกน้องตัวแสบอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง
“หรือว่าแกกินหมดแล้ว มาหาเรื่องฉันแก้เกี้ยวกันแน่”
“โธ่...พี่เจค” ทริกเกอร์ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ผมเพิ่งกลับมาถึงจานเมื่อตะกี้นี่เอง จะกินไก่ชิ้นใหญ่หมดในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงครับ ผมไม่ใช่งูเหลือมจะจะกินโดยไม่ต้องเคี้ยว”
“อ้าว...ไหนนายบอกว่าไก่ของนายชิ้นเล็กไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้มาบอกชิ้นใหญ่”
“โธ่...อย่าพูดล้อเล่นสิครับ ไก่มันหายไปจริงๆ ว่าแต่ขอแบ่งไก่ของพี่เจคมาสักครึ่งได้ไหมครับ”
“เสียใจด้วยนะ” เจคส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“นายก็รู้ว่าการฉีกแบ่งชิ้นเนื้อให้กันมันผิดวัฒนธรรมของพวกเรา ถ้าเป็นชิ้นเป็นต่อนยังพอว่าไปอย่าง แต่ถ้ามีชิ้นเดียวไม่เคยว่าหมาจะฉีกแบ่งกัน เสียใจด้วยนะทริก... อ้ำล่ะนะ”
ว่าพลางลูกพี่ก็อ้าปากงับไก่ทอดชิ้นงามเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยล้นเหลือ ท่ามกลางสายตาอันเจ็บปวดรวดร้าวใจของลูกน้อง แถมยังต้องมาฟังเสียงเคี้ยวเสียงชื่นชมของเจคอีกราวกับจะตอกย้ำความขมขื่น
“อืมม์...ช่างเป็นเนื้อไก่แสนนุ่มเหลือเกิน ความนุ่มละมุนกรุ่นลิ้นที่พอดีไม่มากไม่น้อย กระดูกไก่ก็ไม่เปราะหรือแข็งเกินไป เวลาเคี้ยวให้ความรู้สึกกรุบกรับกำซาบเขี้ยว กลิ่นหอมหวนชวนลิ้มลองรสชาติแสนอร่อยจนน่าตกใจ โอ ไม่เคยกินไก่ทอดอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
กินจนหมดแล้วลูกพี่จึงเงยหน้าเผยตัวรำพึงออกมาด้วยความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ด้วยภาษาคลาสสิก
“โอ...แซบอีหลี”
ลูกน้องฟังแล้วยิ่งสลด ไม่เข้าใจว่าทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เกิดมาไม่เคยไปเกะกะระรานพาลใคร ทำไมถึงต้องเป็นเรา
ฝ่ายแมวปิฬาร์ ยืนมองลงมาจากขอบรั้วอย่างสงสัย เพราะฟังภาษาหมาไม่ออก ไม่รู้ว่าเจ้าหมาสองตัวทำอะไรกันเดี๋ยวก็เห่าเดี๋ยวก็หอน แต่ช่างเถอะ ไม่อยากสนใจ เอาไก่ทอดไปกินดีกว่า คิดแล้วก็ก้มลงคาบไก่ทอดชิ้นงามกระโดดลงไปในเขตบ้านของตัวเองด้วยท่าทีลีลาสวยงาม แต่เพราะคำนึงถึงลีลาการกระโดดมากเกินไปตามนิสัยรักสวยรักงาม แมวสาวเลยชนเข้าบริเวณลำตัวของหนูแจ๋วผู้ยังคงยืนคิดในใจ คืน..ไม่คืน...อย่างไม่รู้สร่างเข้าอย่างจัง
“ว้าย..”
“เหมี้ยว...!”
คนตกใจผวาหงายหลังล้มก้นกระแทก แมวกระเด็นไปอีกด้านแบบหมดท่าอันสวยงามแต่ก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปหลังบ้านอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณเพราะเคยชินกับกรณีหนูแจ๋วตกใจแล้วไล่ตี ไม่ว่าหมาหรือแมวเวลาตกใจต้องวิ่งก่อนเป็นอันดับแรก ผิดกับคนเราเมื่อตกใจจะมีหลายแบบ
แค่คราวนี้หนูแจ๋วไม่มีแรงตกใจแล้ววิ่งไล่ตีใครเพราะกำลังตัดสินใจและหมดกำลังใจกับเหตุการณ์ประหลาดภายในบ้าน ฝากตกใจไว้ก่อนเถอะยัยปิฬาร์ เด็กสาวบ้านนาคิดอย่างโมโห ก่อนลุกขึ้นเดินไปดูกะละมังเจ้าปัญหาแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง
ในกะละมังมีไก่ทอดชิ้นหนึ่งวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบเสงี่ยม
เอาเข้าไป...แปลกประหลาดเข้าไป....หนูแจ๋วนึกในใจ ขณะค่อยย่อตัวลงไปดูไก่ทอดเพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่ภาพหลอน เอื้อมมือไปแตะอย่างระมัดระวัง...ไก่ทอดยังอุ่นๆอยู่เลย และสะอาดสะอ้าน เพราะไม่ได้หล่นลงบนพื้นยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับคนใช้ตัวเก่ง หรือแมวปิฬาร์จะคาบมาจากบ้านอื่น แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจะมาอยู่ในกะละมังได้อย่างไร ถ้าแมวจะกินไก่ทอดแล้วเอามาวางในกะละมังได้ อีกหน่อยปิฬาร์จะไม่ถือซ้อนส้อมและผ้ากันเปื้อนมากินอาหารเช้าหรืออย่างไร
คนรับใช้ประจำบ้านลุกขึ้นยืน มองซ้ายมองขวา ก่อนเดินไปชิดกำแพงรั้วบ้านมองข้ามรั้วไปยังอีกฝั่ง ก็เห็นน้องหมาสองตัวกำลังทำท่าเหมือนพูดจากันอยู่ จะเป็นได้ไหมว่าเป็นไก่ของหมาสองตัวนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วไก่ชิ้นงามจะรอดพ้นปากหมาข้ามรั้วบ้านมาได้อย่างไร
แต่ว่า....ไก่ทอดที่มาตกอยู่ในบ้านของเรา ตามกฎหมายน่าจะเป็นของเรานี่นา...สายตาของหนูแจ๋วเริ่มปรากฏแววเจ้าเล่ห์ขึ้นทีละน้อย และไก่ย่างชิ้นงามยังคงอุ่นหอมน่ากินเหลือเกินราวกับไม่เคยต้องมือหมามือแมวมาก่อน
ข้าวเหนียวก็คงนึ่งได้ที่จนสุกแล้ว ขาดแต่กับข้าวเท่านั้น มีไก่ทอดมาปรากฏราวฟ้าประทานช่างหอมหอนเหลือเกิน น่ากินเหลือใจจะไปอดทน
หนูแจ๋วเดินมาใช้มือขวาหยิบชื้นไก่ขึ้นจากกะละมัง อ้าปากกว้างขึ้นอย่างช้าๆ ยกไก่ทอดขึ้นทีละน้อย
แต่ถ้าเกิดเป็นไก่ทอดของน้องหมาข้างบ้านจริงๆล่ะ มีความเป็นไปได้เพราะได้ยินเสียงคนข้างบ้านลุกขึ้นทำครัวตั้งแต่เช้าแล้ว เราจะใจดำกินอาหารน้องหมาได้อย่างไร
“ไม่น่ะ...ไม่ๆๆได้โปรด...”
หนูแจ๋วพยายามเบี่ยงหน้าออกไปด้านซ้ายสุดชีวิต ออกแรงกดมือซ้ายของตัวเองไม่ให้มือขวายกไก่ทอดสูงขึ้นมาอีก
“แจ๋วไม่กิ้น ไม่กิน”
“กินเถอะน่า...” เสียงอะไรบางอย่างกระซิบมาจากด้านขวาในความรู้สึก
“คิดดูนะ ไก่ทอดยังสะอาดอุ่นน่ากิน จะลองกัดชิมดูสักชิ้นดูก่อนก็ได้ หรือจะเอาไปกินในครัวกับข้าวเหนียวนึ่งก็ได้นะจ๊ะ... แซบอะหลีเด้อ”
พลังลึกลับผลักดันมือขวาให้สูงขึ้น ปากอ้ากว้างขึ้นอีก น้ำลายหมดไหลสามหยด
“นั่นอาจเป็นของหมาข้างบ้านนะจ๊ะ”
อีกเสียงแทรกขึ้นมาจากทางด้านซ้าย
“เธอจะแย่งน้องหมากินหรือจ๊ะ”
“ไม่นะ...”
เด็กสาวกัดฟันออกแรงสุดชีวิตสะบัดหน้าไปทางซ้ายสุดแรงเกิด พยายามงับปากตัวลงให้ปิดสนิทเพราะแมลงวันเริ่มบินมาตอม แต่ว่าช่างเป็นไปอย่างลำบากยากเย็นเหลือเกิน
“โอ คุณพระคุณเจ้า ช่วยแจ๋วด้วย โปรดประทานกำลังให้แจ๋วด้วย”
“รีบกินเถอะน่า อย่าเรื่องมาก ทุ่นค่าอาหารเช้าไปได้มื้อหนึ่งเชียวนะ”
เสียงจากด้านขวาเร่งเร้ามาอีก ถ้ามีใครมาเห็นสภาพของคนรับใช้บ้านคุณนายใจดีคงประหลาดใจและขบขันกับอาการเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเอง และความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริง พลังด้านมืดและพลังด้านสว่างกำลังแย่งชิงร่างกายและจิตใจของหนูแจ๋วอย่างเต็มพลังอำนาจของแต่ละฝ่าย
“เมี้ยว!”
เสียงแมวตัวหนึ่งร้องเสียงดังอยู่ข้างหน้า แมวปิฬาร์นั่นเอง ผู้ไม่สนใจว่าหนูแจ๋วกำลังทำบ้าอะไรอยู่ สนใจแต่ไก่ทอดในมือข้างขวาของคนรับใช้ประจำบ้านเท่านั้น ก็ลงทุนไปคาบมากับปาก อยู่ดีๆมีคนมาแย่งไปอย่างไรก็ยอมไม่ได้ เลยทำท่าจะกระโดดขึ้นมางับ
พอได้ยินเสียงแมวเจ้าปัญหา หนูแจ๋วได้สติโยนไก่ทอดในมือทิ้งไปทันทีรู้สึกราวกับว่ามีกรรมการมาแยกมวยระหว่างอำนาจฝ่ายมืดและฝ่ายสว่าง ไก่ชิ้นงามลอยคว้างข้ามกำแพงไปและช่างบังเอิญแบบไม่น่าเชื่อว่าพอตกถึงพื้นก็กระเด็นลงไปอยู่ในจานของทริกเกอร์อย่างไม่น่าเป็นไปได้
หนูแจ๋วคล้ายถูกปลดปลอดจากพันธนาการ ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง หัวใจปลอดโปร่งล่องลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าสวยงามยามเช้า พร้อมกับการหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข นึกถึงคำสอนของพ่อแม่พร่ำสอนวันแรกที่คุณนายใจดีไปรับตัวถึงบ้านนอก
“แจ๋ว แกไปอยู่กับคุณนายใจดี ทำตัวให้ดีเป็นที่ไว้วางใจ สมกับที่คุณนายไว้วางใจแกและครอบครัวเรา สิ่งของใดไม่ใช่ของเราอย่าไปยึดถือยึดติดแย่งชิงฉกฉวย อย่าโลภจนหลง อย่าหลงจนลืม อย่าลืมจนเกียจคร้าน ละโลภ โกรธ หลง มีสติ สติทำให้เกิดปัญญา ปัญญาเป็น....”
มีต่อครับ