เราเคยมีรัฐบุรุษอาวุโสอย่าง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่เป็นผู้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย เป็นนายกฯถึง 3 สมัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอีกหลายสมัย เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การเพียงคนเดียวของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม นอกจากนี้ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัฐกาลที่ 8 นับเป็นบุคคลที่ทำคุณงามความดี สร้างคุณประโยชน์นานัปการให้กับประเทศไทย
แต่แล้วรัฐบุรุษผู้นี้ก็ถูกกล่าวหาจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคตของรัฐกาลที่ 8 และต้องลี้ภัยการเมืองจนถึงแก่อสัญกรรมในต่างแดน หลังเกิดการรัฐประหาร
เราเคยมี ดร.ป๋วย อึ้งภากร ที่เป็นอดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีอายุน้อยที่สุดด้วยวัย 43 ปี อยู่ในตำแหน่งถึง 12 ปีเศษ เป็นหนึ่งในสมาชิกขบวนการเสรีไทย ได้พยายามไกล่เกลี่ยกับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมรับขบวนการเสรีไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ประเทศไทยจึงไม่ถือเป็นผู้แพ้สงคราม
นอกจากนี้ ดร.ป๋วยยังได้รับการยกย่องจากนักวิชาการเยอรมันให้เป็น “บิดาของเมืองไทยสมัยใหม่) ในฐานะผู้วางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ดร.ป๋วยยังได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริหารสาธารณะในปี 2508 และได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโก้ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี 2558
เช่นเคย ดร.ป๋วยถูกกล่าวหาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่คิดจะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามด้วยการไล่ล่าจากฝ่ายตรงข้าม จนต้องหนีออกนอกประเทศ หลังเกิดรัฐประหาร แม้สุดท้าย ดร.ป๋วยได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด แต่ก็ถึงแก่กรรมที่กรุงลอนดอน
คุณชาติชาย ชุณหะวัณ นายกฯคนที่ 17 ของไทย มีผลงานที่โดดเด่น เช่น การประสานงานให้มีการเจรจาร่วมระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของสมเด็จสีหนุ
นโยบายต่างประเทศที่มีชื่อเรียกกันจนแพร่หลายคือ นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”
อนุมัติโครงการเพื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ เช่น
โครงการโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านล้านเลขหมาย
โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ
ทำให้ตัวเลขความความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนั้น ร้อนแรงถึงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี กระทั่งมีการคาดหมายโดยทั่วไปว่า ประเทศไทยจะเป็น “เสือตัวที่ 5” ต่อจากเสือเศรษฐกิจของเอเชียอย่างเกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์และไต้หวัน
แล้วนายกฯชาติชายก็ถูกโจมตีเรื่องการทุจริตหาผลประโยชน์ในโครงการลงทุนของรัฐ จนเกิดวาทกรรม “บุฟเฟ่คาบิเนต” และที่คุ้นๆจนถึงวันนี้ก็คือ “เผด็จการรัฐสภา” สุดท้ายน้าชาติก็เลยถูกยึดอำนาจการปกครองไปอีกคน
แล้วก็มาถึง ดร.ทักษิณ นายกฯคนที่ 23 ของประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินนโยบายต่างๆ
เพื่อลดความยากจนในชนบท โดยสามารถลดความยากจนได้ถึงครึ่งหนึ่งภายใน 4 ปี
ริเริ่มระบบหลักประกันสุภาพถ้วนหน้าด้วยโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
ใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ก่อนกำหนด
ปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้น จนได้รับความนิยมอย่างสูง
เริ่มโครงกาพื้นฐานขนานใหญ่ รวมทั้งถนน การขนส่งมวลชน และสนามบินสุวรรณภูมิ
หนี้สาธารณะลดลงจากร้อยละ 57 ของจีดีพี เหลือร้อยละ 41 ในเวลา 4 ปี
รวมถึงระดับการฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ลดลง โดยดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ มีคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 3.2 เป็น 3.8 ระหว่าง พ.ศ. 2544 และ 2549
ระดับนานาชาติก็ให้ความยอมรับ ศรัทธาในวิสัยทัศน์ และการบริหาร จนในยุคนั้น ไทยแทบจะเป็นเสือตัวที่ 5 อย่างเต็มภาคภูมิ
นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกมากมายที่ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศให้ความศรัทธา จนเป็นนายกฯคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งได้อยู่จนครบวาระ และยังเป็นนายกฯคนแรกที่ได้คะแนนอย่างถล่มทลายจนกลายเป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งได้เป็นนายกฯสมัยที่สอง
แต่แล้วการพายเรือก็วนอยู่ในอ่างเหมือนเช่นเคย จากฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ รวมกลุ่มกันสร้างวาทกรรม “กู้ชาติ” “เผด็จการรัฐสภา” “อยากเป็นประธานาธิบดี” “ผลประโยชน์ทับซ้อน” “ควบคุมสื่อ” และไม้ตายสุดท้ายก็คือการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร เพื่อประโยชน์ของตัวเองกับครอบครับ ดังนั้นก็วนกลับไปสู่การยึดอำนาจอีกครั้ง แล้วคุณทักษิณก็ต้องออกนอกประเทศตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะโลกกำลังเข้าสู่โลกแห่งดิจิตอล การรับข้อมูลข่าวสารไม่เพียงแค่ในเมือง แต่ตามชนบทก็ล้วนได้รับข้อมูลรวดเร็วพอกัน ดังนั้นการต่อสู้กันระหว่างความเชื่อกับความศรัทธา จึงยึดเยื้อกันมาถึงทุกวันนี้
สุดท้ายนายกฯทักษิณจะเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทินเหมือนสามท่านแรก หรือ จะเป็นอสูรร้ายที่เกาะกินประเทศตามข้อกล่าวหา คงต้องรอให้สถานการณ์เข้าสู่ปกติ กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เอนเอียง
แต่ที่รอไม่ได้นั่นคือ ประชาธิปไตยครับ ซึ่งจากเหตุต่างๆที่ผ่านมา มันทำให้เห็นว่า ไม่ใช่เราไม่พร้อมจะมีประชาธิปไตย แต่เราถูกตัดตอนประชาธิปไตยต่างหากเล่า ดังนั้นถ้าจะให้ประเทศไทยพายเรือออกจากอ่างไปสู่โลกกว้าง จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยเป็นตัวนำทางครับ
และการปกป้องประชาธิปไตยที่ดีที่สุดก็คือ การปล่อยให้ประชาชนเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วค่อยๆพัฒนาไปสู่ระดับสากล ไม่ใช่การตัดตอนแล้วร่างขึ้นใหม่หรอกนะครับ จะบอกให้
ปล.1 ต้องขอขอบคุณ วิกิพีเดีย ที่ช่วยเติมข้อมูลส่วนที่ขาดหายจากความทรงจำ มาเป็นข้อเขียนในวันนี้ครับ
ปล.2 ต้องขอบคุณคุณโจขิงแห่งราชดำเนิน ที่ติติงผมในเรื่องพายเรือในอ่าง จนทำให้เกิดบทความในวันนี้ครับ
พายเรือในอ่าง จนประเทศไทยไปไม่ถึงไหน---------------ทวดเอง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม นอกจากนี้ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัฐกาลที่ 8 นับเป็นบุคคลที่ทำคุณงามความดี สร้างคุณประโยชน์นานัปการให้กับประเทศไทย
แต่แล้วรัฐบุรุษผู้นี้ก็ถูกกล่าวหาจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคตของรัฐกาลที่ 8 และต้องลี้ภัยการเมืองจนถึงแก่อสัญกรรมในต่างแดน หลังเกิดการรัฐประหาร
เราเคยมี ดร.ป๋วย อึ้งภากร ที่เป็นอดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีอายุน้อยที่สุดด้วยวัย 43 ปี อยู่ในตำแหน่งถึง 12 ปีเศษ เป็นหนึ่งในสมาชิกขบวนการเสรีไทย ได้พยายามไกล่เกลี่ยกับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมรับขบวนการเสรีไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ประเทศไทยจึงไม่ถือเป็นผู้แพ้สงคราม
นอกจากนี้ ดร.ป๋วยยังได้รับการยกย่องจากนักวิชาการเยอรมันให้เป็น “บิดาของเมืองไทยสมัยใหม่) ในฐานะผู้วางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ดร.ป๋วยยังได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริหารสาธารณะในปี 2508 และได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโก้ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี 2558
เช่นเคย ดร.ป๋วยถูกกล่าวหาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่คิดจะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามด้วยการไล่ล่าจากฝ่ายตรงข้าม จนต้องหนีออกนอกประเทศ หลังเกิดรัฐประหาร แม้สุดท้าย ดร.ป๋วยได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด แต่ก็ถึงแก่กรรมที่กรุงลอนดอน
คุณชาติชาย ชุณหะวัณ นายกฯคนที่ 17 ของไทย มีผลงานที่โดดเด่น เช่น การประสานงานให้มีการเจรจาร่วมระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของสมเด็จสีหนุ
นโยบายต่างประเทศที่มีชื่อเรียกกันจนแพร่หลายคือ นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”
อนุมัติโครงการเพื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ เช่น
โครงการโทรศัพท์พื้นฐาน 3 ล้านล้านเลขหมาย
โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ
ทำให้ตัวเลขความความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนั้น ร้อนแรงถึงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี กระทั่งมีการคาดหมายโดยทั่วไปว่า ประเทศไทยจะเป็น “เสือตัวที่ 5” ต่อจากเสือเศรษฐกิจของเอเชียอย่างเกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์และไต้หวัน
แล้วนายกฯชาติชายก็ถูกโจมตีเรื่องการทุจริตหาผลประโยชน์ในโครงการลงทุนของรัฐ จนเกิดวาทกรรม “บุฟเฟ่คาบิเนต” และที่คุ้นๆจนถึงวันนี้ก็คือ “เผด็จการรัฐสภา” สุดท้ายน้าชาติก็เลยถูกยึดอำนาจการปกครองไปอีกคน
แล้วก็มาถึง ดร.ทักษิณ นายกฯคนที่ 23 ของประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินนโยบายต่างๆ
เพื่อลดความยากจนในชนบท โดยสามารถลดความยากจนได้ถึงครึ่งหนึ่งภายใน 4 ปี
ริเริ่มระบบหลักประกันสุภาพถ้วนหน้าด้วยโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
ใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ก่อนกำหนด
ปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้น จนได้รับความนิยมอย่างสูง
เริ่มโครงกาพื้นฐานขนานใหญ่ รวมทั้งถนน การขนส่งมวลชน และสนามบินสุวรรณภูมิ
หนี้สาธารณะลดลงจากร้อยละ 57 ของจีดีพี เหลือร้อยละ 41 ในเวลา 4 ปี
รวมถึงระดับการฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ลดลง โดยดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ มีคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 3.2 เป็น 3.8 ระหว่าง พ.ศ. 2544 และ 2549
ระดับนานาชาติก็ให้ความยอมรับ ศรัทธาในวิสัยทัศน์ และการบริหาร จนในยุคนั้น ไทยแทบจะเป็นเสือตัวที่ 5 อย่างเต็มภาคภูมิ
นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกมากมายที่ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศให้ความศรัทธา จนเป็นนายกฯคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งได้อยู่จนครบวาระ และยังเป็นนายกฯคนแรกที่ได้คะแนนอย่างถล่มทลายจนกลายเป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งได้เป็นนายกฯสมัยที่สอง
แต่แล้วการพายเรือก็วนอยู่ในอ่างเหมือนเช่นเคย จากฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ รวมกลุ่มกันสร้างวาทกรรม “กู้ชาติ” “เผด็จการรัฐสภา” “อยากเป็นประธานาธิบดี” “ผลประโยชน์ทับซ้อน” “ควบคุมสื่อ” และไม้ตายสุดท้ายก็คือการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร เพื่อประโยชน์ของตัวเองกับครอบครับ ดังนั้นก็วนกลับไปสู่การยึดอำนาจอีกครั้ง แล้วคุณทักษิณก็ต้องออกนอกประเทศตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะโลกกำลังเข้าสู่โลกแห่งดิจิตอล การรับข้อมูลข่าวสารไม่เพียงแค่ในเมือง แต่ตามชนบทก็ล้วนได้รับข้อมูลรวดเร็วพอกัน ดังนั้นการต่อสู้กันระหว่างความเชื่อกับความศรัทธา จึงยึดเยื้อกันมาถึงทุกวันนี้
สุดท้ายนายกฯทักษิณจะเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทินเหมือนสามท่านแรก หรือ จะเป็นอสูรร้ายที่เกาะกินประเทศตามข้อกล่าวหา คงต้องรอให้สถานการณ์เข้าสู่ปกติ กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เอนเอียง
แต่ที่รอไม่ได้นั่นคือ ประชาธิปไตยครับ ซึ่งจากเหตุต่างๆที่ผ่านมา มันทำให้เห็นว่า ไม่ใช่เราไม่พร้อมจะมีประชาธิปไตย แต่เราถูกตัดตอนประชาธิปไตยต่างหากเล่า ดังนั้นถ้าจะให้ประเทศไทยพายเรือออกจากอ่างไปสู่โลกกว้าง จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยเป็นตัวนำทางครับ
และการปกป้องประชาธิปไตยที่ดีที่สุดก็คือ การปล่อยให้ประชาชนเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วค่อยๆพัฒนาไปสู่ระดับสากล ไม่ใช่การตัดตอนแล้วร่างขึ้นใหม่หรอกนะครับ จะบอกให้
ปล.1 ต้องขอขอบคุณ วิกิพีเดีย ที่ช่วยเติมข้อมูลส่วนที่ขาดหายจากความทรงจำ มาเป็นข้อเขียนในวันนี้ครับ
ปล.2 ต้องขอบคุณคุณโจขิงแห่งราชดำเนิน ที่ติติงผมในเรื่องพายเรือในอ่าง จนทำให้เกิดบทความในวันนี้ครับ