เอาภาพนี้มาแปะแทนเพราะไม่มีภาพปกขึ้นหน้า
- ต่อจากตอนที่แล้วที่พ่อพระเอกบอกให้พระเอกพาไปหาคนน้อง พระเอกพยายามห้ามยังไงก็ไม่ยอม จะไปหาคนน้องให้ได้
- ท่าทางพ่อพระเอกดูจริงจังผิดจากภาพลักษณ์ยามปกติที่ดูหัวอ่อนลิบลับ
- เห็นพ่อเอาจริงแบบนั้น พระเอกก็เลยใจอ่อนยอมบอกว่าจะพาไป แต่ก็บ่ายเบี่ยงว่าคืนนี้ดึกแล้ว ไว้ไปกันวันพรุ่งนี้ดีกว่า
- รุ่งขึ้น พ่อพระเอกก็จัดแจงแต่งสูทเต็มยศ ท่าทางดูจริงจังแข็งขันผิดปกติลิบลับจนพระเอกถึงกับอึ้งว่าต้องแต่งจัดเต็มขนาดนี้เลยเรอะ
- ระหว่างนั้นพระเอกก็ส่งเมลหาคนน้องบอกว่าจะไปหาที่ร้านกับพ่อ (มีแอบๆ เตือนถึงท่าทางของพ่อไว้ด้วย)
- คนน้องก็ตอบกลับมาแบบเฉยๆ และบอกว่าพ่อของคนน้องเองก็เหมือนมีเรื่องอะไรอยากคุยด้วยเหมือนกัน และฝากบอกพระเอกว่าถ้าเกิดอาละวาดจะต่อยกันขึ้นมาก็ช่วยห้ามด้วยละกัน ทำเอาพระเอกถึงกับซีด
- เดินกันสักพักก็มาถึงร้านของพ่อคนน้อง พอเข้าไปในร้านก็เจอคนน้องออกมายืนรอต้อนรับอยู่ ด้านหลังมีพ่อคนน้องที่โดนจับมัดติดเก้าอี้ไว้จนกระดิกไม่ได้อยู่ (โดนมัดไว้ไม่ให้หนีแบบคราวที่แล้วอีก)
- แล้วก็ถึงฉากสามีเก่า (พ่อคนน้อง) กับสามีใหม่ (พ่อพระเอก) เผชิญหน้ากัน พ่อพระเอกท่าทางดุดันน่ากลัวผิดจากเวลาปกติที่มักใจดีอ่อนโยนลิบลับ แผ่รังสีอำมหิตรุนแรงซะจนพ่อของคนน้องได้แต่ยืนตัวลีบทักทายแห้งๆ อย่างวางสีหน้าไม่ถูก
- ฝ่ายพระเอกกับคนน้องเห็นท่าทางพ่อพระเอกแบบนั้นก็หวั่นใจ คิดว่าคงมีการวางมวยกลางร้านกันแล้ว
- แต่สิ่งที่พ่อพระเอกทำหลังจากยืนตีหน้าเหี้ยมใส่พ่อคนน้องก็คือ...หยิบเอาของเยี่ยมท่าทางมีราคามายื่นส่งให้พ่อคนน้อง พร้อมค้อมหัวคำนับอย่างนอบน้อมที่กรุณาดูแลคนน้องเป็นอย่างดี ทำเอาทั้งพระเอกทั้งพ่อคนน้องยืนใบ้แ-กไปเลย
- ทักทายพ่อคนน้องเสร็จ พ่อพระเอกก็หันขวับไปหาคนน้อง แล้วเงื้อมือขึ้นจนสุดทำท่าเหมือนจะตบจนพระเอกตกใจขยับจะร้องห้าม
- แต่สิ่งที่พ่อพระเอกทำจริงๆ ก็คือ...ลดมือลงอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นแตะหน้าของคนน้องไว้ แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่าอยู่ที่นี่สบายดีมั้ย ได้ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า แสดงอาการทั้งเป็นห่วงทั้งโกรธจนร้องไห้ออกมาเลย
- ฝ่ายคนน้องเห็นพ่อเลี้ยงแสดงอาการเป็นห่วงถึงขนาดนี้ก็ตีหน้าเฉยต่อไปอีกไม่ไหว น้ำตาร่วงเป็นสายพลางขอโทษพ่อพระเอกที่ตัวเองเอาแต่ใจหนีออกจากบ้านมา และออกปากเรียกพ่อพระเอกว่า
"พ่อ" เป็นครั้งแรกในวันนี้นี่เอง
- หลังปรับความเข้าใจกันเสร็จ พ่อพระเอกก็มานั่งกินอาหารฝีมือคนน้องในร้านนั้นเอง
- พ่อพระเอกท่าทางถูกใจรสมือคนน้องมาก ชมเปาะไม่ขาดปากว่าอร่อยจริงๆ พลางพูดว่าถ้าแม่คนน้องได้กินจะว่ายังไงบ้างหน้า
- ได้ยินพ่อพระเอกพูดถึงแม่แบบนั้น คนน้องก็หน้าเปลี่ยนสีไปแว่บหนึ่ง พ่อพระเอกเห็นแบบนั้นก็ค่อยๆ อธิบายให้คนน้องฟังว่าตัวเองกับแม่คนน้องน่ะไม่ได้คิดจะคัดค้านเส้นทางเลือกของคนน้องเลยแม้แต่นิดเดียว เอาจริงคือดีใจด้วยซ้ำที่คนน้องตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตัวเองได้ คนเป็นพ่อแม่ยังไงก็ไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองไปขัดขวางความฝันของลูก ซึ่งเรื่องนั้นแม่ของคนน้องก็เข้าใจดี แต่ถึงสมองจะเข้าใจยังไง ในใจก็ยังเจ็บปวดและยอมรับไม่ได้อยู่ดี
- พ่อพระเอกยังเล่าอีกว่า หมู่นี้แม่คนน้องเอาแต่กินเหล้าแล้วร้องไห้ทุกคืนว่าทำไมคนน้องถึงเลือกไปอยู่กับคนที่ทรยศครอบครัวตัวเองอย่างพ่อ และทุกครั้งก็มักจะเล่าเรื่องของทั้งคนพี่คนน้องสมัยยังเด็กให้ฟังประจำ บอกว่าคนพี่นั้นเป็นเด็กเชื่อฟังทุกอย่างมากไปจนน่าเป็นห่วง ในขณะที่คนน้องนั้นเป็นเด็กที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วเกินไปจนชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น
- อยู่ร้านได้พักหนึ่ง พ่อพระเอกก็ขอตัวกลับก่อน ทิ้งให้พระเอกอยู่ที่ร้านกับคนน้องสองคน
- พระเอกถามคนน้องว่าจากนี้ไปจะเอายังไง คนน้องก็บอกว่าเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว หนีไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่ต้องทำให้แม่ยอมรับด้วยอาหารของตัวเองเท่านั้น
- หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไป ภาพฉายให้เห็นชีวิตของคนน้องระหว่างที่กินนอนในร้านพ่อว่าทำอะไรบ้าง (นั่งอ่านหนังสือสอนทำอาหาร, ทำความสะอาดร้าน, เรียนวิธีทำอาหารกับพ่อ, เรียนเป็นกลุ่มร่วมกับพนักงานคนอื่น ฯลฯ)
- วันหนึ่งพระเอกแวะมาหาคนน้องที่ร้านตามปกติ พอเจอกันก็คุยกับคนน้อง อัพเดทเรื่องราวในชมรมวรรณศิลป์ให้ฟังเพราะคนน้องแทบไม่โผล่ไปที่ชมรมเลยจนคนอื่นเป็นห่วงกัน
- ระหว่างนั้นก็มีเสียงเรียกพระเอก พระเอกหันไปมองก็เจออีหนูลูกติดเมียใหม่พ่อคนน้องนั่งหน้าบูดอยู่ในร้านอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พระเอกกับคนน้องมาใช้ร้านของบ้านตัวเองตามใจชอบ (มีมุกพระเอกลืมชื่ออีหนูอีกตามเคย จนต้องตั้งชื่อให้ใหม่เป็น
"วิกกี้" (แผลงจากชื่อฮิบิกิ) แทน เลยเจออีหนูแว้ดใส่เป็นชุดๆ เลย)
- พระเอกก็สงสัยว่าอีหนูมาทำไม อีหนูเลยแกล้งทำซึนบอกว่าแค่มาเฝ้าคอยจับตาดูไม่ให้คนน้องเกิดนึกอยากกลับมาอยู่กับพ่ออีกครั้งแค่นั้นแหละ เลยเจอพระเอกเหน็บเอาจนว้ากแตกอีกรอบ
- แต่พอคนน้องเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ปุ๊บ อีหนูก็เปลี่ยนทีท่าเป็นหน้าบานทันควัน เลยได้รู้ว่าที่แวะมาก็เพราะจะมากินอาหารฝีมือคนน้องประจำนี่เอง
- หลังกินเสร็จ คนน้องก็ถามว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง พระเอกก็ได้แต่นั่งเอ๋อเพราะบรรยายรสชาติไม่เป็น ในขณะที่อีหนูแจกแจงรสชาติอาหารได้เป็นชุดๆ มีชมจุดดีติจุดด้อยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
- หลังจากคนน้องเอาอาหารกลับเข้าไปปรับปรุงในครัว พระเอกก็คุยกับอีหนูต่อ
- พระเอกชมอีหนูเรื่องฝีมือชิมอาหาร อีหนูก็ยืดอกอย่างภูมิใจบอกว่าก็กินข้าวฝีมือเชฟระดับครูมาตลอดนี่นา
- ระหว่างนั้นอีหนูก็ออกปากชมพ่อคนน้องไม่ขาดว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก หลังร้านเจ๊งจนหย่ากับเมียเก่าก็ยังฟื้นตัวจากสถานะตกอับถึงที่สุดจนสร้างร้านใหม่ขึ้นมาได้ แถมยังกิจการรุ่งเรืองขนาดเปิดสาขาสองได้อีก (มีเล่าด้วยว่าพ่อคนน้องมาเจอกับแม่ของอีหนูก็ตอนช่วงตกอับนั่นแหละ)
- พระเอกนั่งฟังเรื่องเล่าของอีหนูแล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมมันต่างกับที่ตัวเองได้ยินจากแม่คนน้องยังกับหนังคนละม้วนแบบนี้ (เผื่อท่านใดจำไม่ได้ แม่คนน้องเล่าว่าพ่อคนน้องติดหญิงเลยทิ้งลูกเมียไป แต่จากที่อีหนูเล่านี่คือฟังเหมือนแยกทางเพราะร้านเจ๊ง ไม่มีตรงไหนพูดถึงว่าติดหญิงเลยหนีไปเลย)
- คิดได้ดังนี้ พระเอกก็เลยขอให้อีหนูช่วยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดที
- แล้วก็ถึงวันที่นัดกันว่าแม่จะมากินอาหารของคนน้องที่ร้านพ่อ ภาพฉายให้เห็นแม่คนน้องยืนอยู่กับพ่อพระเอกตรงหน้าร้านพ่อคนน้อง สีหน้าท่าทางดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ต้องให้พ่อพระเอกช่วยกระตุ้นถึงค่อยกลั้นใจเดินเข้าไปในร้านได้
- เข้าไปถึงก็เจอคนน้องในชุดเชฟเต็มยศออกมาต้อนรับ พร้อมทักทายด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งนั้น
อ่านตอนนี้แล้วชอบพ่อพระเอกแฮะ เป็นหนึ่งในไม่กี่ตอนที่พ่อพระเอกแสดงความแมนกับแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพออกมาให้เห็นจริงๆ แฮะ สีหน้ากับคำพูดตอนที่ดุคนน้องช่วงต้นตอนนั่นให้อารมณ์พ่อโกรธลูกที่หนีออกจากบ้านเต็มๆ จริงๆ
อนึ่ง ช่วงท้ายตอนนี้พระเอกเริ่มสะกิดใจแล้วแฮะว่าระหว่างพ่อแม่ของคนพี่คนน้องน่าจะมีดราม่าราโชมอนอะไรสักอย่างกัน (เอาจริงก็น่าจะสะกิดใจตั้งแต่ตอนคุยกับพ่อคนน้องทีแรกแล้ว แต่ไม่มีจังหวะถามเท่านั้น) เพราะต่างฝ่ายต่างเล่าสาเหตุไม่เหมือนกันเลย ฟังแล้วข้องใจจริงๆ แฮะว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง ทั้งพ่อทั้งแม่มีเรื่องอะไรกันแน่ถึงเล่าไปแบบหนังคนละม้วนกันแบบนี้
รอดูตอนต่อๆ ไปโลดครับ
[Spoil] Domestic na Kanojo #89 - หัวอกพ่อแม่
- ต่อจากตอนที่แล้วที่พ่อพระเอกบอกให้พระเอกพาไปหาคนน้อง พระเอกพยายามห้ามยังไงก็ไม่ยอม จะไปหาคนน้องให้ได้
- ท่าทางพ่อพระเอกดูจริงจังผิดจากภาพลักษณ์ยามปกติที่ดูหัวอ่อนลิบลับ
- เห็นพ่อเอาจริงแบบนั้น พระเอกก็เลยใจอ่อนยอมบอกว่าจะพาไป แต่ก็บ่ายเบี่ยงว่าคืนนี้ดึกแล้ว ไว้ไปกันวันพรุ่งนี้ดีกว่า
- รุ่งขึ้น พ่อพระเอกก็จัดแจงแต่งสูทเต็มยศ ท่าทางดูจริงจังแข็งขันผิดปกติลิบลับจนพระเอกถึงกับอึ้งว่าต้องแต่งจัดเต็มขนาดนี้เลยเรอะ
- ระหว่างนั้นพระเอกก็ส่งเมลหาคนน้องบอกว่าจะไปหาที่ร้านกับพ่อ (มีแอบๆ เตือนถึงท่าทางของพ่อไว้ด้วย)
- คนน้องก็ตอบกลับมาแบบเฉยๆ และบอกว่าพ่อของคนน้องเองก็เหมือนมีเรื่องอะไรอยากคุยด้วยเหมือนกัน และฝากบอกพระเอกว่าถ้าเกิดอาละวาดจะต่อยกันขึ้นมาก็ช่วยห้ามด้วยละกัน ทำเอาพระเอกถึงกับซีด
- เดินกันสักพักก็มาถึงร้านของพ่อคนน้อง พอเข้าไปในร้านก็เจอคนน้องออกมายืนรอต้อนรับอยู่ ด้านหลังมีพ่อคนน้องที่โดนจับมัดติดเก้าอี้ไว้จนกระดิกไม่ได้อยู่ (โดนมัดไว้ไม่ให้หนีแบบคราวที่แล้วอีก)
- แล้วก็ถึงฉากสามีเก่า (พ่อคนน้อง) กับสามีใหม่ (พ่อพระเอก) เผชิญหน้ากัน พ่อพระเอกท่าทางดุดันน่ากลัวผิดจากเวลาปกติที่มักใจดีอ่อนโยนลิบลับ แผ่รังสีอำมหิตรุนแรงซะจนพ่อของคนน้องได้แต่ยืนตัวลีบทักทายแห้งๆ อย่างวางสีหน้าไม่ถูก
- ฝ่ายพระเอกกับคนน้องเห็นท่าทางพ่อพระเอกแบบนั้นก็หวั่นใจ คิดว่าคงมีการวางมวยกลางร้านกันแล้ว
- แต่สิ่งที่พ่อพระเอกทำหลังจากยืนตีหน้าเหี้ยมใส่พ่อคนน้องก็คือ...หยิบเอาของเยี่ยมท่าทางมีราคามายื่นส่งให้พ่อคนน้อง พร้อมค้อมหัวคำนับอย่างนอบน้อมที่กรุณาดูแลคนน้องเป็นอย่างดี ทำเอาทั้งพระเอกทั้งพ่อคนน้องยืนใบ้แ-กไปเลย
- ทักทายพ่อคนน้องเสร็จ พ่อพระเอกก็หันขวับไปหาคนน้อง แล้วเงื้อมือขึ้นจนสุดทำท่าเหมือนจะตบจนพระเอกตกใจขยับจะร้องห้าม
- แต่สิ่งที่พ่อพระเอกทำจริงๆ ก็คือ...ลดมือลงอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นแตะหน้าของคนน้องไว้ แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่าอยู่ที่นี่สบายดีมั้ย ได้ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า แสดงอาการทั้งเป็นห่วงทั้งโกรธจนร้องไห้ออกมาเลย
- ฝ่ายคนน้องเห็นพ่อเลี้ยงแสดงอาการเป็นห่วงถึงขนาดนี้ก็ตีหน้าเฉยต่อไปอีกไม่ไหว น้ำตาร่วงเป็นสายพลางขอโทษพ่อพระเอกที่ตัวเองเอาแต่ใจหนีออกจากบ้านมา และออกปากเรียกพ่อพระเอกว่า "พ่อ" เป็นครั้งแรกในวันนี้นี่เอง
- หลังปรับความเข้าใจกันเสร็จ พ่อพระเอกก็มานั่งกินอาหารฝีมือคนน้องในร้านนั้นเอง
- พ่อพระเอกท่าทางถูกใจรสมือคนน้องมาก ชมเปาะไม่ขาดปากว่าอร่อยจริงๆ พลางพูดว่าถ้าแม่คนน้องได้กินจะว่ายังไงบ้างหน้า
- ได้ยินพ่อพระเอกพูดถึงแม่แบบนั้น คนน้องก็หน้าเปลี่ยนสีไปแว่บหนึ่ง พ่อพระเอกเห็นแบบนั้นก็ค่อยๆ อธิบายให้คนน้องฟังว่าตัวเองกับแม่คนน้องน่ะไม่ได้คิดจะคัดค้านเส้นทางเลือกของคนน้องเลยแม้แต่นิดเดียว เอาจริงคือดีใจด้วยซ้ำที่คนน้องตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตัวเองได้ คนเป็นพ่อแม่ยังไงก็ไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองไปขัดขวางความฝันของลูก ซึ่งเรื่องนั้นแม่ของคนน้องก็เข้าใจดี แต่ถึงสมองจะเข้าใจยังไง ในใจก็ยังเจ็บปวดและยอมรับไม่ได้อยู่ดี
- พ่อพระเอกยังเล่าอีกว่า หมู่นี้แม่คนน้องเอาแต่กินเหล้าแล้วร้องไห้ทุกคืนว่าทำไมคนน้องถึงเลือกไปอยู่กับคนที่ทรยศครอบครัวตัวเองอย่างพ่อ และทุกครั้งก็มักจะเล่าเรื่องของทั้งคนพี่คนน้องสมัยยังเด็กให้ฟังประจำ บอกว่าคนพี่นั้นเป็นเด็กเชื่อฟังทุกอย่างมากไปจนน่าเป็นห่วง ในขณะที่คนน้องนั้นเป็นเด็กที่ก้าวไปข้างหน้าเร็วเกินไปจนชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น
- อยู่ร้านได้พักหนึ่ง พ่อพระเอกก็ขอตัวกลับก่อน ทิ้งให้พระเอกอยู่ที่ร้านกับคนน้องสองคน
- พระเอกถามคนน้องว่าจากนี้ไปจะเอายังไง คนน้องก็บอกว่าเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว หนีไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่ต้องทำให้แม่ยอมรับด้วยอาหารของตัวเองเท่านั้น
- หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไป ภาพฉายให้เห็นชีวิตของคนน้องระหว่างที่กินนอนในร้านพ่อว่าทำอะไรบ้าง (นั่งอ่านหนังสือสอนทำอาหาร, ทำความสะอาดร้าน, เรียนวิธีทำอาหารกับพ่อ, เรียนเป็นกลุ่มร่วมกับพนักงานคนอื่น ฯลฯ)
- วันหนึ่งพระเอกแวะมาหาคนน้องที่ร้านตามปกติ พอเจอกันก็คุยกับคนน้อง อัพเดทเรื่องราวในชมรมวรรณศิลป์ให้ฟังเพราะคนน้องแทบไม่โผล่ไปที่ชมรมเลยจนคนอื่นเป็นห่วงกัน
- ระหว่างนั้นก็มีเสียงเรียกพระเอก พระเอกหันไปมองก็เจออีหนูลูกติดเมียใหม่พ่อคนน้องนั่งหน้าบูดอยู่ในร้านอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พระเอกกับคนน้องมาใช้ร้านของบ้านตัวเองตามใจชอบ (มีมุกพระเอกลืมชื่ออีหนูอีกตามเคย จนต้องตั้งชื่อให้ใหม่เป็น "วิกกี้" (แผลงจากชื่อฮิบิกิ) แทน เลยเจออีหนูแว้ดใส่เป็นชุดๆ เลย)
- พระเอกก็สงสัยว่าอีหนูมาทำไม อีหนูเลยแกล้งทำซึนบอกว่าแค่มาเฝ้าคอยจับตาดูไม่ให้คนน้องเกิดนึกอยากกลับมาอยู่กับพ่ออีกครั้งแค่นั้นแหละ เลยเจอพระเอกเหน็บเอาจนว้ากแตกอีกรอบ
- แต่พอคนน้องเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ปุ๊บ อีหนูก็เปลี่ยนทีท่าเป็นหน้าบานทันควัน เลยได้รู้ว่าที่แวะมาก็เพราะจะมากินอาหารฝีมือคนน้องประจำนี่เอง
- หลังกินเสร็จ คนน้องก็ถามว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง พระเอกก็ได้แต่นั่งเอ๋อเพราะบรรยายรสชาติไม่เป็น ในขณะที่อีหนูแจกแจงรสชาติอาหารได้เป็นชุดๆ มีชมจุดดีติจุดด้อยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
- หลังจากคนน้องเอาอาหารกลับเข้าไปปรับปรุงในครัว พระเอกก็คุยกับอีหนูต่อ
- พระเอกชมอีหนูเรื่องฝีมือชิมอาหาร อีหนูก็ยืดอกอย่างภูมิใจบอกว่าก็กินข้าวฝีมือเชฟระดับครูมาตลอดนี่นา
- ระหว่างนั้นอีหนูก็ออกปากชมพ่อคนน้องไม่ขาดว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก หลังร้านเจ๊งจนหย่ากับเมียเก่าก็ยังฟื้นตัวจากสถานะตกอับถึงที่สุดจนสร้างร้านใหม่ขึ้นมาได้ แถมยังกิจการรุ่งเรืองขนาดเปิดสาขาสองได้อีก (มีเล่าด้วยว่าพ่อคนน้องมาเจอกับแม่ของอีหนูก็ตอนช่วงตกอับนั่นแหละ)
- พระเอกนั่งฟังเรื่องเล่าของอีหนูแล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมมันต่างกับที่ตัวเองได้ยินจากแม่คนน้องยังกับหนังคนละม้วนแบบนี้ (เผื่อท่านใดจำไม่ได้ แม่คนน้องเล่าว่าพ่อคนน้องติดหญิงเลยทิ้งลูกเมียไป แต่จากที่อีหนูเล่านี่คือฟังเหมือนแยกทางเพราะร้านเจ๊ง ไม่มีตรงไหนพูดถึงว่าติดหญิงเลยหนีไปเลย)
- คิดได้ดังนี้ พระเอกก็เลยขอให้อีหนูช่วยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดที
- แล้วก็ถึงวันที่นัดกันว่าแม่จะมากินอาหารของคนน้องที่ร้านพ่อ ภาพฉายให้เห็นแม่คนน้องยืนอยู่กับพ่อพระเอกตรงหน้าร้านพ่อคนน้อง สีหน้าท่าทางดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ต้องให้พ่อพระเอกช่วยกระตุ้นถึงค่อยกลั้นใจเดินเข้าไปในร้านได้
- เข้าไปถึงก็เจอคนน้องในชุดเชฟเต็มยศออกมาต้อนรับ พร้อมทักทายด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งนั้น
อ่านตอนนี้แล้วชอบพ่อพระเอกแฮะ เป็นหนึ่งในไม่กี่ตอนที่พ่อพระเอกแสดงความแมนกับแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพออกมาให้เห็นจริงๆ แฮะ สีหน้ากับคำพูดตอนที่ดุคนน้องช่วงต้นตอนนั่นให้อารมณ์พ่อโกรธลูกที่หนีออกจากบ้านเต็มๆ จริงๆ
อนึ่ง ช่วงท้ายตอนนี้พระเอกเริ่มสะกิดใจแล้วแฮะว่าระหว่างพ่อแม่ของคนพี่คนน้องน่าจะมีดราม่าราโชมอนอะไรสักอย่างกัน (เอาจริงก็น่าจะสะกิดใจตั้งแต่ตอนคุยกับพ่อคนน้องทีแรกแล้ว แต่ไม่มีจังหวะถามเท่านั้น) เพราะต่างฝ่ายต่างเล่าสาเหตุไม่เหมือนกันเลย ฟังแล้วข้องใจจริงๆ แฮะว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง ทั้งพ่อทั้งแม่มีเรื่องอะไรกันแน่ถึงเล่าไปแบบหนังคนละม้วนกันแบบนี้
รอดูตอนต่อๆ ไปโลดครับ