ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยหิมะญี่ปุ่น นั่งรถไฟ 15 วัน จากเหนือสุดถึงใต้สุด
ตอนที่ 1 ซับโปโร เกาะฮอกไกโด
อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ไปแลกเงิน เงินเยนญี่ปุ่น 100 เยน 34.5 บาท แลกเงินญี่ปุ่นไป 30,000 บาท เงินวอนเกาหลี 100 วอน = 3.15 บาท แลกเงินเกาหลีไป 15,000 บาท ราคาตั๋วเครื่องบิน เที่ยวบินแรก ไป ซัปโปโร 18,270 บาท เที่ยวบินที่ 2-3 จากฟุกุโอกะไปปูซานและต่อไปเกาะเจจู 16,962 บาท เที่ยวบินที่ 4 จากเจจูกลับปูซาน 2,200 บาท เที่ยวบินสุดท้ายจากโซลสนามบินนานาชาติอินชอน ถึงดอนเมือง 10,412 บาท รวมค่าเครื่องบินตลอดการเดินทาง 47,845 บาท เฉลี่ยคนละ 23,923 บาท ค่าตั๋วพาส 37,520 บาทคนละ 18,760 บาท
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559 เราออกจากบ้าน 05.05 น. ถึงสนามบิน 05.25 น. เช็คอินแล้วก็กรอกใบเข้า ออกประเทศ กินอาหารเช้า เข้าไปข้างใน เครื่องออก 07.15 น. ถึงกัวลาลัมเปอร์ 10.20 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่นำหน้าไทยอยู่ 1 ชม. นั่งชาร์จแบ็ต จนถึงเวลา 12.30 น. กินข้าวที่เตรียมจากบ้าน ก่อนเข้าไปรอด้านใน เรามีเวลา 13 ชม. แต่ไม่ออกไปไหนเพราะเราเที่ยวที่กัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว หาที่นั่งแชท กับทำงานและชาร์จแบ็ตไปด้วย
ไม่เดือดร้อนเรื่องหิว กับห้องน้ำ เพราะมีห้องน้ำหลายที่ ส่วนอาหารก็เตรียมเผื่อไว้แล้ว คราวนี้เรามีปลั๊กแบบใช้ได้ทั้งในยุโรป เอเชีย และอเมริกา เพื่อนสามารถมาพ่วงได้ เป็นครูหนุ่มชาวอินเดีย มากับภรรยาและเพื่อน จะไปเยี่ยมลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ฟิลิปปินส์ และพ่อลูกเล็ก กับ คู่สมรสใหม่ไปฮันนี่มูนที่บาหลี ก็แวะมาขอใช้บริการ
สนามบิน KLIA2 มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เราแวะใช้บริการครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 เพิ่งเห็นว่า นอกจากมีรถบริการไปที่ทางเข้าขึ้นเครื่องแล้ว ห้องรองรับผู้โดยสารที่จะต่อเครื่องยังมีมากมายหลายห้อง มีที่ให้ชาร์ตแบ็ตมากมาย เมื่อสัมภาระผ่านการสแกนแล้ว เขาก็ปล่อยให้ผู้โดยสารได้ใช้ชีวิตตามสบาย ใครจะกิน จะนอน จะบนพื้น หรือบนเก้าอี้ก็ไม่ว่ากัน
มีถังขยะไว้รองรับขยะในระยะไม่เกิน 20 เมตร มีห้องน้ำสะอาดที่มีสายชำระแบบเปิดหัวใช้วิธีบิดก๊อกเปิด มีสบู่ล้างมือ และกระดาษชำระ สนามบินนี้ไม่เห็นมีเครื่องบินสายการบินอื่นๆ นอกจากแอร์เอเชีย ดูเหมือนว่า พวกเขาจะชาตินิยมมากๆ ใช้รถโปรตอน สายการบินแอร์เอเชียฯลฯ
เราออกจากกัวลาลัมเปอร์เวลา 23.30 น. เป็นเครื่องบินแอร์บัส 330 X ถึงซัปโปโรเวลา 07.50 น. เร็วกว่ากำหนด 15 นาที เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชม. กัปตันแจ้งว่าอุณหภูมิภายนอก-5*C เป็นการให้ข้อมูลแก่ ผู้โดยสารจะได้เตรียมพร้อมก่อนออกจากเครื่อง ว่าจะเผชิญกับอะไรบ้าง เราเข้าเช็คอินเป็นคู่สุดท้ายเพราะไม่ได้กรอกที่อยู่ในญี่ปุ่น ในที่สุดก็มั่วเอาชื่อกับเบอร์โทรของโรงแรมที่เราไม่ได้เข้าพักเพื่อให้ครบทุกช่อง
คราวก่อนที่เราเช็คอินที่สิงคโปร์ก็เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่แนะนำให้เรากรอกที่ที่เรารู้จัก นี่ก็เป็นเกร็ดสำหรับนักเดินทาง กรอกให้ครบทุกช่องเข้าไว้ เขาไม่ตามเช็คแต่ทำตามระเบียบ ตอนยืนในแถวยาวมากส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยกับจีน ไปกับทัวร์ ลุงขอให้น้องที่ยืนต่อจากเราช่วยเซ็ทซิมเน็ท 15 วัน ที่ซื้อจากไทยในราคา 950 บาท โดยการโทรสั่งตามเบอร์ที่น้องปอยพนักงาน H.I.S.ที่ขายตั๋วพาส 14 วันให้กับเรา ค่าตั๋วคนละ 18,760 บาท
เริ่มนับวันที่ขึ้นตั๋วเป็นวันแรก แต่เขาให้เข้าไปสั่งในเว็บ จ่ายเงินโดยการโอนผ่านเน็ท และรับซิมผ่านบริการ EMS 3 วันหลังจากโอนเงิน น้องมี่มีแฟนอยู่โตเกียว สมัครไปทำงานที่ร้านขนมใกล้ๆ กับซัปโปโร ผ่านตม.แล้วเราไปที่สถานีรถไฟ Shin Chitose ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับสนามบิน ขึ้นตั๋วพาสที่ช่องปชส. ใช้เวลาไม่นาน
จนท.แม่นมาก พอเราวางตั๋วพาส พร้อมพาสปอร์ต เธอก็เริ่มงานโดยหยิบแบบฟอร์มให้เรากรอก ออกตั๋วที่นั่งไปสถานีซัปโปโรเวลา 09.48 ให้เรา ในเวลาไม่ถึง 5 นาที เสร็จเวลา 09.45 น.พร้อมอธิบายวิธีการใช้ตั๋วว่า ต้องสำรองที่นั่งทุกครั้ง เพราะเป็นตั๋วกรีนซึ่งมีตู้โดยสารแยกต่างหาก เราต้องวิ่งไปหาชานชาลาให้ทันขึ้นรถ เป็นรถด่วนรับคนจากสนามบินเข้าเมือง เหมือนแอร์พอร์ตลิ้งค์ ของเรารถจอด 7 สถานี ถึงสถานีซัปโปโรโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชม. เหมือนเป็นการนั่งรถไฟสายหิมะ เพราะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยหิมะ ขาวโพลนทั้งหลังคาบ้าน ถนน รถยนต์ ต้นไม้ ฯลฯ
ถึงสถานี ซัปโปโร เรารีบไปจองตั๋วที่จะไป Wakkanai สถานีเหนือสุดของเกาะฮ็อกไกโด ได้ตั๋วรถ 17.49 น. เมื่อเราถามเส้นทางไปศูนย์ราชการที่ภาษาญี่ปุ่นเรียก Q Tojo (คิวโตโจ) เธอก็หยิบแผนที่ของเมือง Wakkanai ฉบับภาษาไทยออกมาประกอบการอธิบาย ว่าสถานที่ท่องเที่ยวต้องเดินออกไปทางทางออกทิศใต้ แล้วเดินไปทางขวาข้ามถนนแล้วเดินตรงไปมีจุดที่นักท่องเที่ยวไป คือ คิวโตโจ หอนาฬิกา หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่มีจุดชมวิวอยู่บนยอด
เราใส่เสื้อผ้าเพิ่มเติมเพราะ 3 ชั้นเอาไม่อยู่ กินไข่ต้มที่นำไปจากบ้านเป็นอาหารเช้า แล้วเดินออกไปตามแผนที่ เดินไปถึงแยกที่ 2 เลี้ยวขวามองตรงไปเห็นหิมะขาวโพลน มีอาคารสวยงามอยู่สุดลานหิมะ นั่นคือ ศูนย์ราชการ ต่อจากนั้นก็เดินต่อไปที่หอนาฬิกา และมองเยื้องไปด้านตรงข้าม เป็นหอส่งสัญญาณทีวี มีสวนสาธารณะดิออริที่ 1-6 (Diori) เริ่มตั้งแต่หอส่งทีวีไปจนถึงเกือบชนภูเขา....
เมื่อออกไปด้านนอกก็เจอหิมะตั้งแต่นอกตัวสถานีไปตลอดทาง.. ขณะที่เรากำลังเดินไปที่ศูนย์ราชการ เราก็ได้เห็นบรรยากาศตอนที่หิมะกำลังโปรยปราย หิมะตกทั้งๆ ที่ท้องฟ้าใสกระจ่าง
เขาใช้รถขูดตรงกลางสวนสาธารณะให้คนเดินได้ มันเป็นส่วนที่หิมะจับตัวแน่น ถ้าเดินนอกรอยขูด รองเท้าก็จะจมลงไปในหิมะ หิมะที่ตกใหม่ๆ เป็นสีขาวสะอาด ดูเหมือนไอศกรีมกะทิที่ไม่ได้ใส่สี ละเอียดยิ่งกว่าน้ำแข็งไส ป้าลองชิมดูมันก็เหมือนน้ำแข็งไสจนละเอียด ไม่รู้ว่าคิดไปเองมั้ยว่าเหมือนมันออกจะมันๆเล็กน้อย ถ้าเอาเฮลบลูบอย ติดไปคงได้เรื่องแน่ๆ
การเดินบนทางที่หิมะถูกย่ำจนแน่น ต้องระมัดระวัง ป้าก็ลื่นหลายครั้งและก้นจ้ำเบ้าไม่เป็นท่า 1 ครั้ง ก็เจ็บแหละเพราะลงแรง ลงไปดูศูนย์การค้าใต้ดินที่ Aurora ก็เหมือนกับช้อปปิ้งมอลล์แถวๆ เซ็นทรัลลาดพร้าว มีถนนคนเดิน 1-7 ผ่ากลางเมือง การเดินท่ามกลางหิมะมันทรมานมาก ถ้าเป็นรองเท้าบูทนิ่มๆ ใส่ถุงเท้าหนานุ่ม เสื้อผ้าที่อุ่นพอ ถุงมือหนา หมวก กับผ้าพันคอที่มิดชิด คงไม่ทรมานมาก
คนที่เดินอยู่นอกอาคารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ได้ยินเสียงนับ 1 2 3 ตอนถ่ายรูปไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่า คนไทย เข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาเน้นอาหารสดที่ต้องนำไปทำให้สุกด้วยตัวเอง หาของกินเป็นเรื่องเป็นราวยากมาก ป้าหยิบประเภทขนมปังมีไส้ใส่ตะกร้าแล้วให้พนง.คิดเงิน เธอบอกว่า ไม่รับเงินที่ป้าส่งให้ ป้าคิดว่า เธอบอกให้จ่ายแบงค์เล็ก ป้าจึงบอกว่า ใบนั้นเล็กที่สุดเท่าที่มีมัน คือ แบงค์ 10,000 เธอบอกไม่รับ
เมื่อถามว่า ใช้บัตรได้มั้ย เธอก็บอกไม่ได้อีก ป้าจึงตัดใจไม่เอา ในขณะที่เดินออกไปหาลุงที่รออยู่ด้านนอก.ก็ฉุกคิดว่า เอาเงินเกาหลีออกมาจ่ายรึเปล่า เพราะไม่ได้ดูสกุลเงิน เห็นมันอยู่ปึกเดียวกับผู้หญิงเกล้าผมก็คิดว่า เป็นสัญลักษณ์ของกิโมโน ปรากฏว่า ตามนั้นเลย เงินที่มีผู้หญิงเป็นเงินเกาหลี เพราะมีประธานาธิบดีเป็นสตรี
ส่วนเงินญี่ปุ่น มีคำว่า Nippon อยู่ด้วย เอาอีกแล้ว คราวก่อนก็ได้ขึ้นรถฟรีที่เดนมาร์ก เพราะเอาเงินสวีเดนจ่าย แล้วคนขับไม่รับ กว่าจะรู้ตัวว่า จ่ายเงินผิดสกุล ก็ตอนซื้ออาหารที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต พอดีพนง.ยินดีรับ แต่ขอทอนเป็นเงินเดนมาร์ก พอกลับไปอีกทีร้านก็ปิดแล้ว คราวนี้ โชคดีที่รู้ตัวเร็วจึงกลับเข้าใหม่
คราวนี้จ่ายแบงค์ 5,000 ได้เงินทอนเป็นแบงค์พัน 4 ใบ เงินเหรียญอีก 176 นับว่าแพงทีเดียว ขนมปังไส้ถั่วแดงอันละ 50 กว่าบาท เงิน 834 เยน ได้ของกินมื้อเล็กๆ 2 มัอ เทียบเป็นเงินไทยประมาณ 270 บาท
เดินผ่านแถวเก้าอี้บนฟุตบาทที่ถูกหิมะจับจองหมดทุกตัว ไม่มีตัวไหนว่างให้คนนั่งได้เลย เมื่อกลับไปที่สถานีรถไฟ กินอาหารและเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็หาที่นั่งเหมาะๆ นั่งทำงานปรากฏว่า ไปเจอตรงที่มีเตาผิงตั้งอยู่ 3 ตัว มีคนนั่งรอบๆ เลยได้ที่อุ่นอยู่ ลักษณะของเตาผิงเหมือนเป็นโคมไฟขนาดใหญ่ มีไส้กลมกลวงเหมือนเหล็กที่ถูกเผาไฟจนคุแดงเป็นตัวทำความร้อน อยู่ในแท่งแก้วทรงกระบอก มีฐาน และฝาปิดด้านบน ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง นอกจากที่ตรงนั่นจะอุ่นแล้วยังมีจอบอกเวลากับชานชาลาให้ดูด้วย ได้ยินเสียงประกาศให้ผู้โดยสารไปขึ้นรถชัดเจน
รถแต่ละขบวนจะได้รับการประกาศไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง โดยมีระยะห่างประมาณ 5 นาที เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ก่อนหน้าที่เราจะได้นั่งที่อุ่น ลุงชวนเดินขึ้นบันไดไปรอที่ชานชาลา แต่พอขึ้นไปแล้วอยู่ไม่ไหว.ถ้าขืนอยู่ที่ชานชาลาจนกว่ารถไฟจะมาอีกเกือบชั่วโมงคงเป็นไข้แน่ เพราะหนาวมาก จึงตัดสินใจเดินลงบันไดมาหาที่นั่ง จึงรู้ว่า มีบันไดเลื่อนขึ้นไปชานชาลาด้วย
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยหิมะญี่ปุ่น นั่งรถไฟ 15 วัน จากเหนือสุดถึงใต้สุด ตอนที่ 1 ซับโปโร เกาะฮอกไกโด
ตอนที่ 1 ซับโปโร เกาะฮอกไกโด
อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ไปแลกเงิน เงินเยนญี่ปุ่น 100 เยน 34.5 บาท แลกเงินญี่ปุ่นไป 30,000 บาท เงินวอนเกาหลี 100 วอน = 3.15 บาท แลกเงินเกาหลีไป 15,000 บาท ราคาตั๋วเครื่องบิน เที่ยวบินแรก ไป ซัปโปโร 18,270 บาท เที่ยวบินที่ 2-3 จากฟุกุโอกะไปปูซานและต่อไปเกาะเจจู 16,962 บาท เที่ยวบินที่ 4 จากเจจูกลับปูซาน 2,200 บาท เที่ยวบินสุดท้ายจากโซลสนามบินนานาชาติอินชอน ถึงดอนเมือง 10,412 บาท รวมค่าเครื่องบินตลอดการเดินทาง 47,845 บาท เฉลี่ยคนละ 23,923 บาท ค่าตั๋วพาส 37,520 บาทคนละ 18,760 บาท
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559 เราออกจากบ้าน 05.05 น. ถึงสนามบิน 05.25 น. เช็คอินแล้วก็กรอกใบเข้า ออกประเทศ กินอาหารเช้า เข้าไปข้างใน เครื่องออก 07.15 น. ถึงกัวลาลัมเปอร์ 10.20 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่นำหน้าไทยอยู่ 1 ชม. นั่งชาร์จแบ็ต จนถึงเวลา 12.30 น. กินข้าวที่เตรียมจากบ้าน ก่อนเข้าไปรอด้านใน เรามีเวลา 13 ชม. แต่ไม่ออกไปไหนเพราะเราเที่ยวที่กัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว หาที่นั่งแชท กับทำงานและชาร์จแบ็ตไปด้วย
ไม่เดือดร้อนเรื่องหิว กับห้องน้ำ เพราะมีห้องน้ำหลายที่ ส่วนอาหารก็เตรียมเผื่อไว้แล้ว คราวนี้เรามีปลั๊กแบบใช้ได้ทั้งในยุโรป เอเชีย และอเมริกา เพื่อนสามารถมาพ่วงได้ เป็นครูหนุ่มชาวอินเดีย มากับภรรยาและเพื่อน จะไปเยี่ยมลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ฟิลิปปินส์ และพ่อลูกเล็ก กับ คู่สมรสใหม่ไปฮันนี่มูนที่บาหลี ก็แวะมาขอใช้บริการ
สนามบิน KLIA2 มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เราแวะใช้บริการครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 เพิ่งเห็นว่า นอกจากมีรถบริการไปที่ทางเข้าขึ้นเครื่องแล้ว ห้องรองรับผู้โดยสารที่จะต่อเครื่องยังมีมากมายหลายห้อง มีที่ให้ชาร์ตแบ็ตมากมาย เมื่อสัมภาระผ่านการสแกนแล้ว เขาก็ปล่อยให้ผู้โดยสารได้ใช้ชีวิตตามสบาย ใครจะกิน จะนอน จะบนพื้น หรือบนเก้าอี้ก็ไม่ว่ากัน
มีถังขยะไว้รองรับขยะในระยะไม่เกิน 20 เมตร มีห้องน้ำสะอาดที่มีสายชำระแบบเปิดหัวใช้วิธีบิดก๊อกเปิด มีสบู่ล้างมือ และกระดาษชำระ สนามบินนี้ไม่เห็นมีเครื่องบินสายการบินอื่นๆ นอกจากแอร์เอเชีย ดูเหมือนว่า พวกเขาจะชาตินิยมมากๆ ใช้รถโปรตอน สายการบินแอร์เอเชียฯลฯ
เราออกจากกัวลาลัมเปอร์เวลา 23.30 น. เป็นเครื่องบินแอร์บัส 330 X ถึงซัปโปโรเวลา 07.50 น. เร็วกว่ากำหนด 15 นาที เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชม. กัปตันแจ้งว่าอุณหภูมิภายนอก-5*C เป็นการให้ข้อมูลแก่ ผู้โดยสารจะได้เตรียมพร้อมก่อนออกจากเครื่อง ว่าจะเผชิญกับอะไรบ้าง เราเข้าเช็คอินเป็นคู่สุดท้ายเพราะไม่ได้กรอกที่อยู่ในญี่ปุ่น ในที่สุดก็มั่วเอาชื่อกับเบอร์โทรของโรงแรมที่เราไม่ได้เข้าพักเพื่อให้ครบทุกช่อง
คราวก่อนที่เราเช็คอินที่สิงคโปร์ก็เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่แนะนำให้เรากรอกที่ที่เรารู้จัก นี่ก็เป็นเกร็ดสำหรับนักเดินทาง กรอกให้ครบทุกช่องเข้าไว้ เขาไม่ตามเช็คแต่ทำตามระเบียบ ตอนยืนในแถวยาวมากส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยกับจีน ไปกับทัวร์ ลุงขอให้น้องที่ยืนต่อจากเราช่วยเซ็ทซิมเน็ท 15 วัน ที่ซื้อจากไทยในราคา 950 บาท โดยการโทรสั่งตามเบอร์ที่น้องปอยพนักงาน H.I.S.ที่ขายตั๋วพาส 14 วันให้กับเรา ค่าตั๋วคนละ 18,760 บาท
เริ่มนับวันที่ขึ้นตั๋วเป็นวันแรก แต่เขาให้เข้าไปสั่งในเว็บ จ่ายเงินโดยการโอนผ่านเน็ท และรับซิมผ่านบริการ EMS 3 วันหลังจากโอนเงิน น้องมี่มีแฟนอยู่โตเกียว สมัครไปทำงานที่ร้านขนมใกล้ๆ กับซัปโปโร ผ่านตม.แล้วเราไปที่สถานีรถไฟ Shin Chitose ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับสนามบิน ขึ้นตั๋วพาสที่ช่องปชส. ใช้เวลาไม่นาน
จนท.แม่นมาก พอเราวางตั๋วพาส พร้อมพาสปอร์ต เธอก็เริ่มงานโดยหยิบแบบฟอร์มให้เรากรอก ออกตั๋วที่นั่งไปสถานีซัปโปโรเวลา 09.48 ให้เรา ในเวลาไม่ถึง 5 นาที เสร็จเวลา 09.45 น.พร้อมอธิบายวิธีการใช้ตั๋วว่า ต้องสำรองที่นั่งทุกครั้ง เพราะเป็นตั๋วกรีนซึ่งมีตู้โดยสารแยกต่างหาก เราต้องวิ่งไปหาชานชาลาให้ทันขึ้นรถ เป็นรถด่วนรับคนจากสนามบินเข้าเมือง เหมือนแอร์พอร์ตลิ้งค์ ของเรารถจอด 7 สถานี ถึงสถานีซัปโปโรโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชม. เหมือนเป็นการนั่งรถไฟสายหิมะ เพราะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยหิมะ ขาวโพลนทั้งหลังคาบ้าน ถนน รถยนต์ ต้นไม้ ฯลฯ
ถึงสถานี ซัปโปโร เรารีบไปจองตั๋วที่จะไป Wakkanai สถานีเหนือสุดของเกาะฮ็อกไกโด ได้ตั๋วรถ 17.49 น. เมื่อเราถามเส้นทางไปศูนย์ราชการที่ภาษาญี่ปุ่นเรียก Q Tojo (คิวโตโจ) เธอก็หยิบแผนที่ของเมือง Wakkanai ฉบับภาษาไทยออกมาประกอบการอธิบาย ว่าสถานที่ท่องเที่ยวต้องเดินออกไปทางทางออกทิศใต้ แล้วเดินไปทางขวาข้ามถนนแล้วเดินตรงไปมีจุดที่นักท่องเที่ยวไป คือ คิวโตโจ หอนาฬิกา หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่มีจุดชมวิวอยู่บนยอด
เราใส่เสื้อผ้าเพิ่มเติมเพราะ 3 ชั้นเอาไม่อยู่ กินไข่ต้มที่นำไปจากบ้านเป็นอาหารเช้า แล้วเดินออกไปตามแผนที่ เดินไปถึงแยกที่ 2 เลี้ยวขวามองตรงไปเห็นหิมะขาวโพลน มีอาคารสวยงามอยู่สุดลานหิมะ นั่นคือ ศูนย์ราชการ ต่อจากนั้นก็เดินต่อไปที่หอนาฬิกา และมองเยื้องไปด้านตรงข้าม เป็นหอส่งสัญญาณทีวี มีสวนสาธารณะดิออริที่ 1-6 (Diori) เริ่มตั้งแต่หอส่งทีวีไปจนถึงเกือบชนภูเขา....
เมื่อออกไปด้านนอกก็เจอหิมะตั้งแต่นอกตัวสถานีไปตลอดทาง.. ขณะที่เรากำลังเดินไปที่ศูนย์ราชการ เราก็ได้เห็นบรรยากาศตอนที่หิมะกำลังโปรยปราย หิมะตกทั้งๆ ที่ท้องฟ้าใสกระจ่าง
เขาใช้รถขูดตรงกลางสวนสาธารณะให้คนเดินได้ มันเป็นส่วนที่หิมะจับตัวแน่น ถ้าเดินนอกรอยขูด รองเท้าก็จะจมลงไปในหิมะ หิมะที่ตกใหม่ๆ เป็นสีขาวสะอาด ดูเหมือนไอศกรีมกะทิที่ไม่ได้ใส่สี ละเอียดยิ่งกว่าน้ำแข็งไส ป้าลองชิมดูมันก็เหมือนน้ำแข็งไสจนละเอียด ไม่รู้ว่าคิดไปเองมั้ยว่าเหมือนมันออกจะมันๆเล็กน้อย ถ้าเอาเฮลบลูบอย ติดไปคงได้เรื่องแน่ๆ
การเดินบนทางที่หิมะถูกย่ำจนแน่น ต้องระมัดระวัง ป้าก็ลื่นหลายครั้งและก้นจ้ำเบ้าไม่เป็นท่า 1 ครั้ง ก็เจ็บแหละเพราะลงแรง ลงไปดูศูนย์การค้าใต้ดินที่ Aurora ก็เหมือนกับช้อปปิ้งมอลล์แถวๆ เซ็นทรัลลาดพร้าว มีถนนคนเดิน 1-7 ผ่ากลางเมือง การเดินท่ามกลางหิมะมันทรมานมาก ถ้าเป็นรองเท้าบูทนิ่มๆ ใส่ถุงเท้าหนานุ่ม เสื้อผ้าที่อุ่นพอ ถุงมือหนา หมวก กับผ้าพันคอที่มิดชิด คงไม่ทรมานมาก
คนที่เดินอยู่นอกอาคารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ได้ยินเสียงนับ 1 2 3 ตอนถ่ายรูปไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่า คนไทย เข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาเน้นอาหารสดที่ต้องนำไปทำให้สุกด้วยตัวเอง หาของกินเป็นเรื่องเป็นราวยากมาก ป้าหยิบประเภทขนมปังมีไส้ใส่ตะกร้าแล้วให้พนง.คิดเงิน เธอบอกว่า ไม่รับเงินที่ป้าส่งให้ ป้าคิดว่า เธอบอกให้จ่ายแบงค์เล็ก ป้าจึงบอกว่า ใบนั้นเล็กที่สุดเท่าที่มีมัน คือ แบงค์ 10,000 เธอบอกไม่รับ
เมื่อถามว่า ใช้บัตรได้มั้ย เธอก็บอกไม่ได้อีก ป้าจึงตัดใจไม่เอา ในขณะที่เดินออกไปหาลุงที่รออยู่ด้านนอก.ก็ฉุกคิดว่า เอาเงินเกาหลีออกมาจ่ายรึเปล่า เพราะไม่ได้ดูสกุลเงิน เห็นมันอยู่ปึกเดียวกับผู้หญิงเกล้าผมก็คิดว่า เป็นสัญลักษณ์ของกิโมโน ปรากฏว่า ตามนั้นเลย เงินที่มีผู้หญิงเป็นเงินเกาหลี เพราะมีประธานาธิบดีเป็นสตรี
ส่วนเงินญี่ปุ่น มีคำว่า Nippon อยู่ด้วย เอาอีกแล้ว คราวก่อนก็ได้ขึ้นรถฟรีที่เดนมาร์ก เพราะเอาเงินสวีเดนจ่าย แล้วคนขับไม่รับ กว่าจะรู้ตัวว่า จ่ายเงินผิดสกุล ก็ตอนซื้ออาหารที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต พอดีพนง.ยินดีรับ แต่ขอทอนเป็นเงินเดนมาร์ก พอกลับไปอีกทีร้านก็ปิดแล้ว คราวนี้ โชคดีที่รู้ตัวเร็วจึงกลับเข้าใหม่
คราวนี้จ่ายแบงค์ 5,000 ได้เงินทอนเป็นแบงค์พัน 4 ใบ เงินเหรียญอีก 176 นับว่าแพงทีเดียว ขนมปังไส้ถั่วแดงอันละ 50 กว่าบาท เงิน 834 เยน ได้ของกินมื้อเล็กๆ 2 มัอ เทียบเป็นเงินไทยประมาณ 270 บาท
เดินผ่านแถวเก้าอี้บนฟุตบาทที่ถูกหิมะจับจองหมดทุกตัว ไม่มีตัวไหนว่างให้คนนั่งได้เลย เมื่อกลับไปที่สถานีรถไฟ กินอาหารและเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็หาที่นั่งเหมาะๆ นั่งทำงานปรากฏว่า ไปเจอตรงที่มีเตาผิงตั้งอยู่ 3 ตัว มีคนนั่งรอบๆ เลยได้ที่อุ่นอยู่ ลักษณะของเตาผิงเหมือนเป็นโคมไฟขนาดใหญ่ มีไส้กลมกลวงเหมือนเหล็กที่ถูกเผาไฟจนคุแดงเป็นตัวทำความร้อน อยู่ในแท่งแก้วทรงกระบอก มีฐาน และฝาปิดด้านบน ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง นอกจากที่ตรงนั่นจะอุ่นแล้วยังมีจอบอกเวลากับชานชาลาให้ดูด้วย ได้ยินเสียงประกาศให้ผู้โดยสารไปขึ้นรถชัดเจน
รถแต่ละขบวนจะได้รับการประกาศไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง โดยมีระยะห่างประมาณ 5 นาที เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ก่อนหน้าที่เราจะได้นั่งที่อุ่น ลุงชวนเดินขึ้นบันไดไปรอที่ชานชาลา แต่พอขึ้นไปแล้วอยู่ไม่ไหว.ถ้าขืนอยู่ที่ชานชาลาจนกว่ารถไฟจะมาอีกเกือบชั่วโมงคงเป็นไข้แน่ เพราะหนาวมาก จึงตัดสินใจเดินลงบันไดมาหาที่นั่ง จึงรู้ว่า มีบันไดเลื่อนขึ้นไปชานชาลาด้วย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น