วันดับสูญ...
...ปฐมบทแห่งการดับสูญ
โลก
ดาวเคราะห์ลำดับที่สามในกลุ่มดาวเคราะห์แปดดวง ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งหมื่นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบหกจุดสามกิโลเมตร มวลห้าล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นสามพันหกร้อยล้านล้านล้านกิโลกรัม ทำให้โลกเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ห้าในระบบสุริยะ
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาล ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวหมุนรอบโลกทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง และโลกเองก็หมุนรอบตัวเองทำให้เกิดเป็นกลางวัน กลางคืน
โลกมีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมานานแสนนานตลอดระยะเวลาสี่พันหกร้อยล้านปีหลังจากเกิดกาแลคซี่ทางช้างเผือกเพียงสี่ร้อยล้านปี ผู้ครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้เปลี่ยนมือมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจวบจนมาถึงยุคสมัยของมนุษย์
“ออด...ดดด”
“เอาล่ะเด็กๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน รีบกลับบ้านกันซะ เดินทางกลับกันดีๆ ล่ะ แล้วก็อย่าเถลไถลไปไหนกันจนมืดค่ำ อ้อ อย่าลืมทบทวนบทเรียนของวันนี้กันด้วยนะ”
ครูสมชายปิดเล่มหนังสือ กล่าวกับนักเรียนหลังจากได้ยินเสียงออดเลิกเรียน
“ค้าบ” “ค่า”
นักเรียนตัวน้อยขานรับพร้อมเพรียงอย่างกับนัดหมายกันมา ต่างคนต่างเก็บตำราและเครื่องเขียนลงกระเป๋าของตนอย่างคล่องแคล่วก่อนจะพากันวิ่งออกจากห้องเรียนด้วยสีหน้าเริงร่าผิดกับเมื่อยังอยู่ในห้องเรียนเมื่อสักครู่
ครูสมชายยิ้ม ยืนรอจนนักเรียนคนสุดท้ายวิ่งพ้นประตูห้องเรียนไปก่อนจะลงมือเก็บตำราสอนของตนเองและเดินกลับเข้าห้องพักครู
เสียงอึกทึกเซ็งแซ่ของเหล่าบรรดาเด็กๆ ดังอยู่ตลอดทางเดินกลับเข้าห้องพัก เด็กนักเรียนที่ยังเล็กอยู่จะมีผู้ปกครองมารับ เมื่อเด็กๆ เห็นหน้าของผู้ปกครองของตนพวกเขาจะดีใจและวิ่งโผเข้าหาอย่างรักใคร่ก่อนจะจูงมือกันเดินกลับบ้านไป
นักเรียนที่โตขึ้นมาหน่อยก็จะกลับบ้านเองเป็นกลุ่ม หรือบางคนก็อาจจะยังอยู่เล่นกันต่อที่สนามหญ้าหน้าอาคารเรียน ในขณะที่อีกหลายๆ คนจะเรียนพิเศษอยู่ตามห้องเรียนต่างๆ
สมชายชอบเสียงเจี๊ยวจ๊าวแบบนี้ มันทำให้เขายิ้มออกมาได้ เขารู้สึกได้ถึงความสดใสโดยปราศจากการเคลือบแฝงใดๆ และมันทำให้เขาได้มองเห็นช่วงเวลาแห่งอนาคต
โรงเรียนเล็กๆ ในแถบปริมณฑลที่ความเจริญยังมาถึงแบบครึ่งๆ กลางๆ ดังเช่นที่นี่ยังคงหวังความสะดวกสบายครบครันแบบที่ใครหลายคนต้องการไม่ได้ ดังนั้นครูที่มาสอนจึงเหลือเพียงไม่กี่คนตามความสะดวกสบายที่ขาดหายไป
พื้นที่โรงเรียนนั้นกว้างขวางแต่ส่วนใหญ่เป็นสนามหน้าและที่รกร้าง ที่สุดสนามหญ้ามีอาคารเรียนไม้สูงสองชั้นเก่าๆ จำนวนสามหลังตั้งเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ในเมื่ออาคารเรียนมีจำกัดเช่นนี้ห้องพักครูเองก็ไม่ต่างกัน
ห้องพักครูมีขนาดไม่ใหญ่เกินกว่าที่คนสามคนจะนั่งได้ โต๊ะและเก้าอี้สามชุดตั้งเรียงกันอยู่ที่ผนังด้านซ้าย ส่วนผนังด้านขวาเรียงรายไปด้วยชั้นวางเอกสาร เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องทำจากไม้ สภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลาที่มันถูกใช้งาน ทุกที่ๆ ดูเหมือนเคยเป็นที่ว่างถูกอัดแน่นไปด้วยกองหนังสือและสมุดการบ้าน
สมชายทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิม แผ่นหลังสัมผัสความแข็งของพนักพิงไม้ วางตำราในมือลงบนโต๊ะตำแหน่งเดิมจากที่หยิบมันไปเพื่อใช้สอนเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา เขาหลับตา สูดหายใจลึกอย่างเหนื่อยอ่อนจากการสอนมาตลอดทั้งวันอย่างแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ทว่าในใจกลับเต็มล้นไปด้วยความสุข
สมชายรักอาชีพครู ในความคิดของเขาครูไม่ใช่อาชีพแต่อย่างใด หากมีใครถามเขาว่าครูหมายถึงอะไร เหตุใดจึงยอมมาเป็นครูกินเงินเดือนเพียงน้อยนิดที่นี่
เขาไม่เคยลังเลที่จะตอบเลยว่าครูเป็นหน้าที่ของพลเมืองผู้มีความสามารถและได้รับโอกาสในการปูพื้นฐานให้แก่เด็กๆ ทั้งความรู้ จริยธรรม และคุณธรรม เพื่อให้อนาคตของเด็กเหล่านั้นเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ได้เป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยกำลังความสามารถและคุณธรรมต่อไป
ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า สมชายมักอยู่ตรวจการบ้าน จัดตาราง และทบทวนสิ่งที่จะสอนจนถึงเวลาพลบค่ำเช่นนี้ทุกวัน เมื่อแสงอาทิตย์ลดความแรงกล้าลงจนเหลือเพียงสีส้มรำไรเขาจึงหยุดมือ จัดแจงเก็บโต๊ะทำงานและเก็บตำราบางส่วนเข้ากระเป๋าเพื่อนำกลับไปทำต่อที่ห้องพัก
ห้องพักของสมชายอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยทุ่งกว้างและไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ เขาชอบที่จะค่อยๆ เดินกลับมากกว่าที่จะนั่งรถสองแถวหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
สมชายชอบความรู้สึกเวลาที่ได้สูดหายใจลึกๆ เพื่อรับเอากลิ่นไอดินและหญ้ายามเย็น มันทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกดื่มด่ำและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเวลาที่ได้ทำอย่างนั้น ในความคิดเหมือนกับว่าเขาต้องการจะชดเชยเวลาที่เคยสูญเสียไปกับเรื่องต่างๆ ก่อนหน้านี้
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเวลาที่อาจจะไม่มีเหลืออีกแล้วนับจากนี้
“อ้าว ครู วันนี้กลับช้าจังนะครับ”
“อ๋อ พอดีพรุ่งนี้เริ่มสอนบทใหม่น่ะครับ และต้องเตรียมอะไรเยอะหน่อย”
“เหมือนเดิมรึเปล่าครับ”
สมชายพยักหน้าตอบรับเมนูอาหารเย็นที่ทั้งคู่รับทราบกันดีว่าคืออะไร ร้านอาหารเจ้าประจำแห่งนี้เป็นเพียงร้านริมทาง มีเพียงเสาไม้สี่ต้นและหลังคาจากเท่านั้นที่เป็นตัวบ่งบอกอาณาเขตของร้าน ไม่ใช่ร้านที่เลิศหรูดูดีอะไรเลย แต่ด้วยความเป็นมิตร ช่างจดช่างจำ และรู้ใจของเจ้าของร้าน ทำให้ใครต่อใครกลายมาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่
ท้องฟ้าในเวลานี้แดงฉานตัดกับเงาจากเหล่าอาคารบ้านเรือนก่อให้เกิดเงามืดและบรรยากาศซ่อนเร้นไม่น่าไว้วางใจรอบกาย สายตาเหม่อมองออกไป สมชายไม่เคยรู้สึกชอบบรรยากาศของท้องฟ้ายามนี้ มันทำให้รู้สึกหดหู่และสิ้นหวังทุกครั้งที่ได้เห็น
“ถ้าทุกอย่างมันผิดก็คงจะดี”
เสียงพึมพำกับตัวเองเล็ดรอดออกมา ความกังวลฉายอยู่ในแววตาครูหนุ่มอย่างไม่ปิดบัง
หลังมื้ออาหารสุดท้ายของวันแล้ว สมชายค่อยๆ เดินทอดน่องต่อไปยังที่พักซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกไม่ไกล สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะออกมาเดินอยู่คนเดียวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
อาจจะมีใครหรืออะไรซ่อนตัวอยู่ในตรอกซอกซอยมืดมิดที่แยกออกจากถนนหลัก ไฟแสงจันทร์ที่ติดตั้งกันอยู่ห่างๆ ติดๆ ดับๆ แทบไม่ได้ช่วยอะไรหากเกิดเหตุอะไรขึ้น และที่สำคัญสำหรับคนขวัญอ่อนมันกลับยิ่งช่วยเพิ่มพลังแห่งจินตนาการให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก
ในขณะที่ในหัวสมองกำลังฟุ้งไปด้วยตะกอนแห่งความคิด สายตาพลันสังเกตเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนตัวมาจากด้านหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าจังหวะการก้าวของสมชายเพียงเล็กน้อย เงานั้นเคลื่อนตัวราบเรียบสม่ำเสมอ เสียงฝีก้าวแผ่วเบาเกินกว่าจะคิดได้ว่าเป็นการเดินแบบปกติ
เขาลองชะลอฝีก้าวให้ช้าลงเพื่อทดสอบ เจ้าของเงาด้านหลังก็เดินช้าลงตาม และเมื่อเขาเร่งความเร็ว เงาด้านหลังก็ทำตาม
คนที่อยู่ด้านหลังกำลังเดินตามเขามา
เมื่อคิดได้ดังนั้นสมชายจึงหยุดฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับไปประจันหน้ากับเจ้าของเงานั้นอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว
“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
เจ้าของเงาที่เดินตามหลังมาเป็นชายชาวต่างชาติ ร่างกายสูงใหญ่ตามแบบฉบับ ดวงตาสีประหลาดเมื่ออยู่ภายใต้แสงจากหลอดแสงจันทร์ ริ้วรอยบนใบหน้าและผมผมสีอ่อนแซมขาวที่เริ่มบางบนศีรษะ คะเนว่าอายุน่าจะราวๆ หกสิบถึงเจ็ดสิบปี ท่าทางภูมิฐานและชราเกินกว่าจะคิดได้ว่าเป็นโจรผู้ร้าย
ชาวต่างชาติแสดงท่าทางตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ สมชายหันกลับมาและยิงคำถามแก่เขา แต่ทว่าเพียงชั่วอึดใจเดียวท่าทางทั้งหมดก็ถูกปรับให้เป็นปกติ
“สวัสดีครับ ครูสมชาย”
ภาษาไทยสำเนียงแปร่งถูกถ่ายทอดออกจากปากของชายชรา รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ดวงตาคคมกริบทรงอำนาจมองตรวจสอบคู่สนทนา
“หรือคุณอยากจะให้ผมเรียกคุณว่าด๊อกเตอร์สมชายดีล่ะ”
น้ำเสียงประโยคท้ายสุดราวกับต้องการหยั่งเชิง ชายชาวต่างชาติพูดเน้นเพื่อต้องการดูปฏิกิริยาของสมชาย และไม่ผิดหวัง สมชายออกสีหน้าแปลกใจกับคำพูดนั้นอย่างไม่ปิดบัง
ไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้มานานแล้ว นานตั้งแต่ที่เขามาเป็นครูที่นี่ มันนานจนเขาลืมคำนำหน้าชื่อคำนี้ของเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว
“คุณเป็นใคร”
วันดับสูญ...ปฐมบทแห่งการดับสูญ
...ปฐมบทแห่งการดับสูญ
โลก
ดาวเคราะห์ลำดับที่สามในกลุ่มดาวเคราะห์แปดดวง ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งหมื่นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบหกจุดสามกิโลเมตร มวลห้าล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นสามพันหกร้อยล้านล้านล้านกิโลกรัม ทำให้โลกเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ห้าในระบบสุริยะ
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาล ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวหมุนรอบโลกทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง และโลกเองก็หมุนรอบตัวเองทำให้เกิดเป็นกลางวัน กลางคืน
โลกมีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการมานานแสนนานตลอดระยะเวลาสี่พันหกร้อยล้านปีหลังจากเกิดกาแลคซี่ทางช้างเผือกเพียงสี่ร้อยล้านปี ผู้ครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้เปลี่ยนมือมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจวบจนมาถึงยุคสมัยของมนุษย์
“ออด...ดดด”
“เอาล่ะเด็กๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน รีบกลับบ้านกันซะ เดินทางกลับกันดีๆ ล่ะ แล้วก็อย่าเถลไถลไปไหนกันจนมืดค่ำ อ้อ อย่าลืมทบทวนบทเรียนของวันนี้กันด้วยนะ”
ครูสมชายปิดเล่มหนังสือ กล่าวกับนักเรียนหลังจากได้ยินเสียงออดเลิกเรียน
“ค้าบ” “ค่า”
นักเรียนตัวน้อยขานรับพร้อมเพรียงอย่างกับนัดหมายกันมา ต่างคนต่างเก็บตำราและเครื่องเขียนลงกระเป๋าของตนอย่างคล่องแคล่วก่อนจะพากันวิ่งออกจากห้องเรียนด้วยสีหน้าเริงร่าผิดกับเมื่อยังอยู่ในห้องเรียนเมื่อสักครู่
ครูสมชายยิ้ม ยืนรอจนนักเรียนคนสุดท้ายวิ่งพ้นประตูห้องเรียนไปก่อนจะลงมือเก็บตำราสอนของตนเองและเดินกลับเข้าห้องพักครู
เสียงอึกทึกเซ็งแซ่ของเหล่าบรรดาเด็กๆ ดังอยู่ตลอดทางเดินกลับเข้าห้องพัก เด็กนักเรียนที่ยังเล็กอยู่จะมีผู้ปกครองมารับ เมื่อเด็กๆ เห็นหน้าของผู้ปกครองของตนพวกเขาจะดีใจและวิ่งโผเข้าหาอย่างรักใคร่ก่อนจะจูงมือกันเดินกลับบ้านไป
นักเรียนที่โตขึ้นมาหน่อยก็จะกลับบ้านเองเป็นกลุ่ม หรือบางคนก็อาจจะยังอยู่เล่นกันต่อที่สนามหญ้าหน้าอาคารเรียน ในขณะที่อีกหลายๆ คนจะเรียนพิเศษอยู่ตามห้องเรียนต่างๆ
สมชายชอบเสียงเจี๊ยวจ๊าวแบบนี้ มันทำให้เขายิ้มออกมาได้ เขารู้สึกได้ถึงความสดใสโดยปราศจากการเคลือบแฝงใดๆ และมันทำให้เขาได้มองเห็นช่วงเวลาแห่งอนาคต
โรงเรียนเล็กๆ ในแถบปริมณฑลที่ความเจริญยังมาถึงแบบครึ่งๆ กลางๆ ดังเช่นที่นี่ยังคงหวังความสะดวกสบายครบครันแบบที่ใครหลายคนต้องการไม่ได้ ดังนั้นครูที่มาสอนจึงเหลือเพียงไม่กี่คนตามความสะดวกสบายที่ขาดหายไป
พื้นที่โรงเรียนนั้นกว้างขวางแต่ส่วนใหญ่เป็นสนามหน้าและที่รกร้าง ที่สุดสนามหญ้ามีอาคารเรียนไม้สูงสองชั้นเก่าๆ จำนวนสามหลังตั้งเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ในเมื่ออาคารเรียนมีจำกัดเช่นนี้ห้องพักครูเองก็ไม่ต่างกัน
ห้องพักครูมีขนาดไม่ใหญ่เกินกว่าที่คนสามคนจะนั่งได้ โต๊ะและเก้าอี้สามชุดตั้งเรียงกันอยู่ที่ผนังด้านซ้าย ส่วนผนังด้านขวาเรียงรายไปด้วยชั้นวางเอกสาร เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องทำจากไม้ สภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลาที่มันถูกใช้งาน ทุกที่ๆ ดูเหมือนเคยเป็นที่ว่างถูกอัดแน่นไปด้วยกองหนังสือและสมุดการบ้าน
สมชายทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิม แผ่นหลังสัมผัสความแข็งของพนักพิงไม้ วางตำราในมือลงบนโต๊ะตำแหน่งเดิมจากที่หยิบมันไปเพื่อใช้สอนเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา เขาหลับตา สูดหายใจลึกอย่างเหนื่อยอ่อนจากการสอนมาตลอดทั้งวันอย่างแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ทว่าในใจกลับเต็มล้นไปด้วยความสุข
สมชายรักอาชีพครู ในความคิดของเขาครูไม่ใช่อาชีพแต่อย่างใด หากมีใครถามเขาว่าครูหมายถึงอะไร เหตุใดจึงยอมมาเป็นครูกินเงินเดือนเพียงน้อยนิดที่นี่
เขาไม่เคยลังเลที่จะตอบเลยว่าครูเป็นหน้าที่ของพลเมืองผู้มีความสามารถและได้รับโอกาสในการปูพื้นฐานให้แก่เด็กๆ ทั้งความรู้ จริยธรรม และคุณธรรม เพื่อให้อนาคตของเด็กเหล่านั้นเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ได้เป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยกำลังความสามารถและคุณธรรมต่อไป
ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า สมชายมักอยู่ตรวจการบ้าน จัดตาราง และทบทวนสิ่งที่จะสอนจนถึงเวลาพลบค่ำเช่นนี้ทุกวัน เมื่อแสงอาทิตย์ลดความแรงกล้าลงจนเหลือเพียงสีส้มรำไรเขาจึงหยุดมือ จัดแจงเก็บโต๊ะทำงานและเก็บตำราบางส่วนเข้ากระเป๋าเพื่อนำกลับไปทำต่อที่ห้องพัก
ห้องพักของสมชายอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยทุ่งกว้างและไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ เขาชอบที่จะค่อยๆ เดินกลับมากกว่าที่จะนั่งรถสองแถวหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
สมชายชอบความรู้สึกเวลาที่ได้สูดหายใจลึกๆ เพื่อรับเอากลิ่นไอดินและหญ้ายามเย็น มันทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกดื่มด่ำและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเวลาที่ได้ทำอย่างนั้น ในความคิดเหมือนกับว่าเขาต้องการจะชดเชยเวลาที่เคยสูญเสียไปกับเรื่องต่างๆ ก่อนหน้านี้
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเวลาที่อาจจะไม่มีเหลืออีกแล้วนับจากนี้
“อ้าว ครู วันนี้กลับช้าจังนะครับ”
“อ๋อ พอดีพรุ่งนี้เริ่มสอนบทใหม่น่ะครับ และต้องเตรียมอะไรเยอะหน่อย”
“เหมือนเดิมรึเปล่าครับ”
สมชายพยักหน้าตอบรับเมนูอาหารเย็นที่ทั้งคู่รับทราบกันดีว่าคืออะไร ร้านอาหารเจ้าประจำแห่งนี้เป็นเพียงร้านริมทาง มีเพียงเสาไม้สี่ต้นและหลังคาจากเท่านั้นที่เป็นตัวบ่งบอกอาณาเขตของร้าน ไม่ใช่ร้านที่เลิศหรูดูดีอะไรเลย แต่ด้วยความเป็นมิตร ช่างจดช่างจำ และรู้ใจของเจ้าของร้าน ทำให้ใครต่อใครกลายมาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่
ท้องฟ้าในเวลานี้แดงฉานตัดกับเงาจากเหล่าอาคารบ้านเรือนก่อให้เกิดเงามืดและบรรยากาศซ่อนเร้นไม่น่าไว้วางใจรอบกาย สายตาเหม่อมองออกไป สมชายไม่เคยรู้สึกชอบบรรยากาศของท้องฟ้ายามนี้ มันทำให้รู้สึกหดหู่และสิ้นหวังทุกครั้งที่ได้เห็น
“ถ้าทุกอย่างมันผิดก็คงจะดี”
เสียงพึมพำกับตัวเองเล็ดรอดออกมา ความกังวลฉายอยู่ในแววตาครูหนุ่มอย่างไม่ปิดบัง
หลังมื้ออาหารสุดท้ายของวันแล้ว สมชายค่อยๆ เดินทอดน่องต่อไปยังที่พักซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกไม่ไกล สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะออกมาเดินอยู่คนเดียวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
อาจจะมีใครหรืออะไรซ่อนตัวอยู่ในตรอกซอกซอยมืดมิดที่แยกออกจากถนนหลัก ไฟแสงจันทร์ที่ติดตั้งกันอยู่ห่างๆ ติดๆ ดับๆ แทบไม่ได้ช่วยอะไรหากเกิดเหตุอะไรขึ้น และที่สำคัญสำหรับคนขวัญอ่อนมันกลับยิ่งช่วยเพิ่มพลังแห่งจินตนาการให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก
ในขณะที่ในหัวสมองกำลังฟุ้งไปด้วยตะกอนแห่งความคิด สายตาพลันสังเกตเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนตัวมาจากด้านหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าจังหวะการก้าวของสมชายเพียงเล็กน้อย เงานั้นเคลื่อนตัวราบเรียบสม่ำเสมอ เสียงฝีก้าวแผ่วเบาเกินกว่าจะคิดได้ว่าเป็นการเดินแบบปกติ
เขาลองชะลอฝีก้าวให้ช้าลงเพื่อทดสอบ เจ้าของเงาด้านหลังก็เดินช้าลงตาม และเมื่อเขาเร่งความเร็ว เงาด้านหลังก็ทำตาม
คนที่อยู่ด้านหลังกำลังเดินตามเขามา
เมื่อคิดได้ดังนั้นสมชายจึงหยุดฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับไปประจันหน้ากับเจ้าของเงานั้นอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว
“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
เจ้าของเงาที่เดินตามหลังมาเป็นชายชาวต่างชาติ ร่างกายสูงใหญ่ตามแบบฉบับ ดวงตาสีประหลาดเมื่ออยู่ภายใต้แสงจากหลอดแสงจันทร์ ริ้วรอยบนใบหน้าและผมผมสีอ่อนแซมขาวที่เริ่มบางบนศีรษะ คะเนว่าอายุน่าจะราวๆ หกสิบถึงเจ็ดสิบปี ท่าทางภูมิฐานและชราเกินกว่าจะคิดได้ว่าเป็นโจรผู้ร้าย
ชาวต่างชาติแสดงท่าทางตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ สมชายหันกลับมาและยิงคำถามแก่เขา แต่ทว่าเพียงชั่วอึดใจเดียวท่าทางทั้งหมดก็ถูกปรับให้เป็นปกติ
“สวัสดีครับ ครูสมชาย”
ภาษาไทยสำเนียงแปร่งถูกถ่ายทอดออกจากปากของชายชรา รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ดวงตาคคมกริบทรงอำนาจมองตรวจสอบคู่สนทนา
“หรือคุณอยากจะให้ผมเรียกคุณว่าด๊อกเตอร์สมชายดีล่ะ”
น้ำเสียงประโยคท้ายสุดราวกับต้องการหยั่งเชิง ชายชาวต่างชาติพูดเน้นเพื่อต้องการดูปฏิกิริยาของสมชาย และไม่ผิดหวัง สมชายออกสีหน้าแปลกใจกับคำพูดนั้นอย่างไม่ปิดบัง
ไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้มานานแล้ว นานตั้งแต่ที่เขามาเป็นครูที่นี่ มันนานจนเขาลืมคำนำหน้าชื่อคำนี้ของเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว
“คุณเป็นใคร”