เห็นอ้างกันมากว่าเป็นสิทธิของพยานในการเบิกความด้วยลายลักษณ์อักษร ซึ่งดีเอสไอทำได้ตามมาตรา 24.. ซึ่งนั่นมิใช่การ "สอบปากคำ" แต่เป็นการ "สอบถาม"... ถ้าเป็นสอบปากคำพยานเบิกความต้องเป็นวาจาตามมาตรา 113 ป.วิ.แพ่ง.. ที่ระบุว่าเป็นสิทธิให้ถ้อยคำเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นเป็นการอ้างคนละเหตุ.. สอบปากคำนะครับ ไม่ใช่แค่สอบถามกับผู้ที่อาจไม่เกี่ยวข้องก็ได้
สอบปากคำจะต้องเป็นพยานหรือกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับคดีซึ่งอาจเป็น "ผู้ต้องหา"!!
การที่ทนายไม่ให้สด.ช่วงให้ถ้อยคำ.. ดีเอสไอมีสิทธิ์สรุปว่าพยานไม่ให้ถ้อยคำ ก็ต้องสรุปตามประเด็นที่สืบไปตามปกติที่เกี่ยวพันตรงลายเซ็นต์... ก็จะกลายเป็น "ผู้ต้องหา" ออกได้ทุกหมาย!! ทั้งหมายเรียกหมายจับ
แม้แต่การเป็นพยาน.. อ้างกันผิดเยอะครับ.. มาตรา 106 มีวรรคสอง.. ดีเอสไอสามารถออกคำบอกกล่าวสืบพยานต่อภิกษุให้มาตามนัดได้.. นอกจากนี้มาตรา 52 ป.วิ.อาญา กรณีที่พนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไปทำการสอบสวนด้วยตนเอง ย่อมมีอำนาจที่ จะเรียกผู้ต้องหาหรือพยานมาได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียก
วันนี้รีบ.. แค่นี้แหละ.. เข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ
ม.113 พยานต้องเบิกความด้วยวาจา ม.106 มีวรรค2 นัดภิกษุสืบพยานได้ ม.52(อ)เรียกโดยไม่ออกหมายก็ได้.. ผู้ต้องหาออกได้ทุกหมาย
สอบปากคำจะต้องเป็นพยานหรือกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับคดีซึ่งอาจเป็น "ผู้ต้องหา"!!
การที่ทนายไม่ให้สด.ช่วงให้ถ้อยคำ.. ดีเอสไอมีสิทธิ์สรุปว่าพยานไม่ให้ถ้อยคำ ก็ต้องสรุปตามประเด็นที่สืบไปตามปกติที่เกี่ยวพันตรงลายเซ็นต์... ก็จะกลายเป็น "ผู้ต้องหา" ออกได้ทุกหมาย!! ทั้งหมายเรียกหมายจับ
แม้แต่การเป็นพยาน.. อ้างกันผิดเยอะครับ.. มาตรา 106 มีวรรคสอง.. ดีเอสไอสามารถออกคำบอกกล่าวสืบพยานต่อภิกษุให้มาตามนัดได้.. นอกจากนี้มาตรา 52 ป.วิ.อาญา กรณีที่พนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ไปทำการสอบสวนด้วยตนเอง ย่อมมีอำนาจที่ จะเรียกผู้ต้องหาหรือพยานมาได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียก
วันนี้รีบ.. แค่นี้แหละ.. เข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ