...วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2558...
ความเดิมจากตอนที่แล้ว หลังจากที่เราได้ท่องเที่ยวตาม Landmark สำคัญต่างๆในตัวเมือง Kathmandu และเมือง Patan ผมก็ได้เตรียมตัวเดินทางไปยังเมือง Pokhara โดยเครื่องบิน และค้างที่เมือง Pokhara เป็นเวลา 1 คืน โดยมีจุดมุ่งหมายคือเยี่ยมชม Phewa Lake, ชมพระอาทิตย์ขึ้น และชมวิวเทือกเขา Annapurna ที่ Sarankot, ไปชมน้ำตก Devi's Fall และชมถ้ำ Gupteshwor Mahadev ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
(รูปนี้เป็นส่วนนึงของเทือกเขา Annapurna ครับ ถ่ายจากจุดชมวิว Sarankot)
เริ่มจากสนามบินกาฐมาณฑุ ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาในช่วงเวลานี้เพราะยุ่งๆครับ กับการเตรียมของ จัดการเรื่องตั๋วต่างๆ Terminal ส่วนของการบินในประเทศนั้นไม่ได้มีความโมเดิร์นเท่าไหร่นะ เคาเตอร์เช็คอิน ผมเรียกได้ว่าเหมือนซุ้มให้ลองชิมอาหารในโลตัสมากกว่าครับ (พวกผลิตภัณฑ์นมต่างๆ หรือไส้กรอก ใครไปโลตัสบ่อยคงเคยเห็นบ้าง) แต่ในสนามบินนี้ยังดีที่ซุ้มเป็นเหล็ก ยังโอเคหน่อย สายพานกระเป๋าก็ไม่มีนะครับ มีแค่ตาชั่งกระเป๋าตั้งอยู่ข้างเคาเตอร์เท่านั้น ส่วนกระเป๋านั้นจะมีเจ้าหน้าที่มายกขึ้นรถเข็น แล้วเข็นไปครับ เสร็จเรียบร้อยก็เดินผ่านม่านเพื่อทำการตรวจเอ็กซ์เรย์ เรียกได้ว่าแบบกังๆ ก็โอเคครับไม่ซีเรียส ผ่านไปก็ไปถึงส่วนที่รอบอร์ดดิ้งครับ ก็นั่งพักผ่อนไปตามอัธยาศัย
ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง เนื่องจากเครื่องบินส่วนใหญ่ของสายการบินที่บินในประเทศเนปาลนั้นไม่ได้จอดอยู่ใกล้ Terminal ดังนั้นเราต้องไปโดยรถบัสครับผม รถบัสก็เรียกได้ว่า รถเมล์พัดลมบ้านเรานี่เอง เว้นแต่ที่เนปาล ยังอากาศดีหน่อย แต่ที่พีคคือ กระเป๋าสัมภาระ ที่เราโหลดไป ถูกขนมาโดยถูกใส่บนรถพ่วงคันเล็กๆ พ่วงมากับรถบัสครับ เพื่อไปยังเครื่องบินที่เรานั่ง... งงละสิ ฮ่าๆ สายประหยัดจริงๆ
ขอกดวาร์ป ข้ามขั้นตอน ก่อนที่ตัวหนังสือจะเยอะเกินไป เดี๋ยวจะเข้าข่ายกระทู้ยาวไปไม่อ่าน ขอวาร์ปมาตอนเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยครับ การนั่งเครื่องบินจากกาฐมาณฑุไปโพคารานั้น ผู้โดยสายจะมีโอกาสได้เห็นเทือกเขา Everest! (แต่ต้องนั่งให้ถูกฝั่งนะครับ ฮ่าๆ) ตอนแรกเราก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่มีโอกาสเลยขอเจ้าหน้าที่ตอนเช็คอินว่า "เอ่อ ผมขอที่นั่งฝั่งซ้ายนะครับ" เจ้าหน้าที่ก็คงเข้าใจ เค้าก็จัดให้ แต่พอมานั่งจริงๆ... เครื่องยนต์บังครับ! (แง่วว) แต่โชคดีๆ ที่เครื่องไม่เต็ม เราเลย แชว๊บบไปที่นั่งที่ว่างและติดหน้าต่างและไม่มีอะไรบัง ก็เลยได้รูป Everest มาครับ
ภาพอาจจะไม่คมชัดเท่าไหร่ เพราะถ่ายผ่านกระจกเครื่องบินที่ขุ่นมัวเบอร์ 10 แต่ก็ได้มาครับ เอาจริงๆ มาตื่นเต้นตอนที่เห็นของจริงนี่แหละครับ ความรู้สึกมันต่างกัน รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ คือนั่งเครื่องบินยังเห็น แบบโอ้วโหโว้ว้าวมากจริงๆ
ใช้เวลาบินไม่นานครับ ก็มาถึงยังสนามบินโพคารา สนามบินที่ไม่มีอะไรเลย 555 ก็ลงเครื่องมาก็มีเหมือนเป็นตึกชั้นเดียวเล็กๆ สำหรับรอรับกระเป๋าครับ เจ้าหน้าที่จะขนกระเป๋าจากเครื่องบินมาใส่รถลาก แล้วก็ลากมาใกล้ๆกับตึก แล้วผู้โดยสารต้องเอาใบที่มีเลขกระเป๋าโชว์ให้ดูเพื่อที่เค้าจะได้หยิบกระเป๋าให้ครับ ทั้งหมดนี้ใช้แรงคนครับ กระเป๋าก็ไม่ใช่ๆเบาๆ สงสารเจ้าหน้าที่มาก อารมณ์เหมือนซอมบี้แย่งอาหารจากรถกระบะอะไรแบบนั้นล่ะครับ ก็ตลกดี
พอรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยเราก็มาพบกับไกด์อีกคนนึงครับที่เค้าประจำอยู่ที่นี้ และคนขับรถที่จะพาเราไปในช่วงที่เราอยู่โพคารา ก็ขนของขึ้นรถกัน มุ่งหน้าโรงแรมเลยครับผม เพื่อเก็บของ พักผ่อนซักนิด ก่อนที่จะไปล่องเรือใน Phewa Lake และ ชมวัดกลางน้ำกัน ซึ่งโรงแรมของเราอยู่ติดกับทะเลสาบเลยครับ สามารถเดินไปได้เลยครับ
และแล้วเราก็มาถึงสังขละบุรีแล้วครับ...
บอกเลยครับ ถ้าไม่บอกคนก็คงนึกว่าสังขละบุรี 55555 โอเคครับ มาลงเรือกัน ก็ล่องเรือไปเพื่อไปยังวัดกลางน้ำครับ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่นะแต่ก็ไป ถ่ายรูปเล่นก็แล้วกัน
นักท่องเที่ยวก็มีให้เห็นพอสมควรครับ แต่ไม่เยอะมาก หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ซบเซาไปเยอะ
ฝรั่งก็มา
สั้นๆครับวันนี้สำหรับที่โพคารา เที่ยวไม่นานก็ได้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว ทานเสร็จก็กลับโรงแรมพักผ่อนครับ แต่ตามถนนหนทางก็มีนักท่องเที่ยวเยอะ ทั้งเดินชอปปิ้ง หรือไปนั่งร้านกาแฟก็ว่ากันไป แต่เราไม่ไหวขอนอนแล้วกันนะ เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว Sarankot กันครับ
...วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2558...
นอนได้ไม่นาน เสียงนาฬิกาก็ปลุกอีกแล้ว อากาศหนาวพอสมควร รีบตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวใส่เสื้อผ้ากันหนาว แล้วก็หยิบของออกมารอที่ Lobby เพื่อรอไกด์ และรถมารับ ยังเช้าอยู่มากๆ ยอมรับเลยว่ายังงงๆก๊งๆครับ เช้านี้เราจะเดินทางไปที่จุดชมวิว Sarankot กัน ใช้เวลานั่งรถจากโรงแรมไป ประมาณ 40 นาทีครับ เส้นทางคดเคี้ยวพอตัว ถ้าใครขึ้นไปห้วยน้ำดังที่บ้านเรา ก็อารมณ์ประมาณนั้นเลยครับ
พอไปถึงคนขับก็ส่งเราลงครับ จุดชมวิวต้องเดินขึ้นเนินไปอีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่ามืดมาก ต้องใช้ไฟฉายเดินส่องทาง เดินแป้ปเดียวก็ถึงครับ จุดชมวิวของเรา อารมณ์เหมือนบ้านชั้นเดียวที่มีดาดฟ้าครับ ด้านล่างจะเป็นที่ขายของต่างๆ รวมถึงชา กาแฟ อาหารเช้าอะไรงี้ ส่วนจะชมวิว ต้องขึ้นบันไดวนไปด้านบนครับ ตอนผมไปถึงก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ มาพอสมควรแล้วครับแต่ไม่เยอะมาก บนดาดฟ้าน้ันก็มีเก้าอี้ให้คนได้นั่งรอชมกันด้วย
ผมขึ้นไปได้ก็ไม่รอช้าครับ กางขาตั้งกล้องอย่างรวดเร็ว แต่ยากหน่อยเพราะมือแอบแข็ง (ฮา) เปลี่ยนใช้เลนส์เทเล เตรียมพร้อมครับ แต่ว่าตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันจะถ่ายอะไร เพราะมันยังมืดอยู่ ก็รอไปซักพัก แอบเห็นอะไรอยู่ไกลๆ อ้ออ มันเป็นเทือกเขาครับ เริ่มโผล่มาให้เห็นเล็กๆน้อยๆ ตอนนั้นผมก็เริ่มถ่าย เริ่มลองแสงครับ ลองหลายอย่าง เพราะไม่อยากพลาดตอนไคล์แมกซ์ครับ
ที่จุดชมวิว Sarankot นั้น เป็นจุดที่เราจะได้เห็นเทือกเขา Annapurna ครับ ซึ่งมี Summit ที่มีชื่อเสียงอย่าง Annapurna I,II,III และ ยอดเขาหางปลา หรือ Machapuchare (ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ แฮ่) แต่ยอดเขา Machapuchare ถือว่าเป็น ยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ครับ เพราะชาวเนปาลเชื่อว่าเป็นที่สถิตของพระศิวะ ดังนั้นทางเนปาลจึงห้ามไม่ให้นักปีนเขาทั้งหลาย ปีนขึ้นไปพิชิตยอดครับ
...รอไม่นาน ก็มียอดเขามาทักทาย กู้ดมอร์นิ่งกันแล้วครับ...
Machapuchare
Annapurna III
มาชมวิวที่นี่ต้องเสี่ยงดวงระดับหนึ่งครับ บางวันอากาศอาจจะปิด และมองไม่เห็นก็ได้ครับ วันที่ผมไปก็ยังพอมีหมอกบังจางๆ ถ่ายรูปมาต้องเอามาขุดในโปรแกรมพอสมควร แต่ก็ถือว่าได้อยู่ครับ แต่หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นหน่อยๆ หมอกเริ่มหนาจนมองไม่เห็นเทือกเขาเลยครับ
มาดูมุมที่ถ่ายติดเมืองมาบ้าง
แต่ที่ Sarankot ไม่ได้ให้ดูแค่เทือกเขา Annapurna อย่างเดียวครับ ฮ่าๆ ยังมีพระอาทิตย์ขึ้นให้ดูด้วยครับ
ชอบรูปนี้จัง เอาไปเป็น Wallpaper ได้เลย
หลังจากถ่ายรูปแบบอิ่มเอมแล้วก็เตรียมตัวไปยังที่ต่อไปครับ ต้องแอบรีบทำเวลา เพราะช่วงบ่ายๆวันนี้เราต้องนั่งเครื่องกลับจาก Pokhara ไป Kathmandu เป้าหมายต่อไปของเราคือน้ำตกที่มีชื่อเสียง Devi's Fall นั้นเอง
น้ำตกแห่งนี้มีที่มาครับ วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2504 มีคู่สามีภรรยาชาวสวิซเซอร์แลนด์มาท่องเที่ยว และมาลงเล่นน้ำที่น้ำตกแห่งนี้ ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน น้ำตกนี้น้ำจะแรงมากๆครับ แรงแบบน่ากลัวมาก ไม่แปลกครับ ที่ภรรยาสาวสวิซคนนั้นจะพลัดจมน้ำหายไป... ใช้เวลา 3 วันจึงพบร่างของเธอครับ พ่อของเธอเลยอยากที่จะตั้งชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า Davi's Fall (Davi เป็นนามสกุลของสามีภรรยาคู่นี้ครับ) เพื่อเป็นการให้เกียรติเธอครับ
จุดเด่นของน้ำตกแห่งนี้ คือเรามองไม่เห็นก้นของน้ำตกครับ ถ้าเรามองจากด้านบน จะไม่เห็นว่าน้ำมันไปไหน ซึ่งมันน่าตื่นเต้นตรงนี้
...แต่แล้วผมก็รู้ครับ ว่ามันไปไหน...
จุดนี้อยู่ในบริเวณถ้ำที่มีชื่อว่า Gupteshwor Mahadev ครับ ไม่ไกลจากตัวน้ำตก แต่ว่าต้องเดินลงไปจากพื้นผิวลึกพอสมควร ในภาพที่เห็นคือเป็นจุดที่น้ำตก Devi's Fall ตกลงมาครับ ไกด์ของผมแจ้งว่าบริเวณที่พบร่างหญิงชาวสวิซก็ในบริเวณนี้แหละครับ
ก็จบแล้วครับสำหรับทริปใน Pokhara หลังจากนี้ผมก็จะเดินทางไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับเมือง Kathmandu ครับ จุดมุ่งหมายต่อไปก็คือเราจะไปเยี่ยมชมเมืองสุดท้ายในหุบเขา Kathmandu คือเมือง Bhaktapur จากนั้นเราก็จะไปค้างคืนกันที่ Hotel Country Villa บน Nagarkot hill ครับ ซึ่งผมจะได้เขียนต่อไป ในตอนที่ 4 นะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ
[ตอนที่ 3] ทริปเที่ยว Nepal หลังแผ่นดินไหว เมือง Kathmandu และ Pokhara พังจริงไหม มีอะไรเหลือบ้าง ไปดูกัน!
(รูปนี้เป็นส่วนนึงของเทือกเขา Annapurna ครับ ถ่ายจากจุดชมวิว Sarankot)
เริ่มจากสนามบินกาฐมาณฑุ ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาในช่วงเวลานี้เพราะยุ่งๆครับ กับการเตรียมของ จัดการเรื่องตั๋วต่างๆ Terminal ส่วนของการบินในประเทศนั้นไม่ได้มีความโมเดิร์นเท่าไหร่นะ เคาเตอร์เช็คอิน ผมเรียกได้ว่าเหมือนซุ้มให้ลองชิมอาหารในโลตัสมากกว่าครับ (พวกผลิตภัณฑ์นมต่างๆ หรือไส้กรอก ใครไปโลตัสบ่อยคงเคยเห็นบ้าง) แต่ในสนามบินนี้ยังดีที่ซุ้มเป็นเหล็ก ยังโอเคหน่อย สายพานกระเป๋าก็ไม่มีนะครับ มีแค่ตาชั่งกระเป๋าตั้งอยู่ข้างเคาเตอร์เท่านั้น ส่วนกระเป๋านั้นจะมีเจ้าหน้าที่มายกขึ้นรถเข็น แล้วเข็นไปครับ เสร็จเรียบร้อยก็เดินผ่านม่านเพื่อทำการตรวจเอ็กซ์เรย์ เรียกได้ว่าแบบกังๆ ก็โอเคครับไม่ซีเรียส ผ่านไปก็ไปถึงส่วนที่รอบอร์ดดิ้งครับ ก็นั่งพักผ่อนไปตามอัธยาศัย
ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง เนื่องจากเครื่องบินส่วนใหญ่ของสายการบินที่บินในประเทศเนปาลนั้นไม่ได้จอดอยู่ใกล้ Terminal ดังนั้นเราต้องไปโดยรถบัสครับผม รถบัสก็เรียกได้ว่า รถเมล์พัดลมบ้านเรานี่เอง เว้นแต่ที่เนปาล ยังอากาศดีหน่อย แต่ที่พีคคือ กระเป๋าสัมภาระ ที่เราโหลดไป ถูกขนมาโดยถูกใส่บนรถพ่วงคันเล็กๆ พ่วงมากับรถบัสครับ เพื่อไปยังเครื่องบินที่เรานั่ง... งงละสิ ฮ่าๆ สายประหยัดจริงๆ
ขอกดวาร์ป ข้ามขั้นตอน ก่อนที่ตัวหนังสือจะเยอะเกินไป เดี๋ยวจะเข้าข่ายกระทู้ยาวไปไม่อ่าน ขอวาร์ปมาตอนเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยครับ การนั่งเครื่องบินจากกาฐมาณฑุไปโพคารานั้น ผู้โดยสายจะมีโอกาสได้เห็นเทือกเขา Everest! (แต่ต้องนั่งให้ถูกฝั่งนะครับ ฮ่าๆ) ตอนแรกเราก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่มีโอกาสเลยขอเจ้าหน้าที่ตอนเช็คอินว่า "เอ่อ ผมขอที่นั่งฝั่งซ้ายนะครับ" เจ้าหน้าที่ก็คงเข้าใจ เค้าก็จัดให้ แต่พอมานั่งจริงๆ... เครื่องยนต์บังครับ! (แง่วว) แต่โชคดีๆ ที่เครื่องไม่เต็ม เราเลย แชว๊บบไปที่นั่งที่ว่างและติดหน้าต่างและไม่มีอะไรบัง ก็เลยได้รูป Everest มาครับ
ใช้เวลาบินไม่นานครับ ก็มาถึงยังสนามบินโพคารา สนามบินที่ไม่มีอะไรเลย 555 ก็ลงเครื่องมาก็มีเหมือนเป็นตึกชั้นเดียวเล็กๆ สำหรับรอรับกระเป๋าครับ เจ้าหน้าที่จะขนกระเป๋าจากเครื่องบินมาใส่รถลาก แล้วก็ลากมาใกล้ๆกับตึก แล้วผู้โดยสารต้องเอาใบที่มีเลขกระเป๋าโชว์ให้ดูเพื่อที่เค้าจะได้หยิบกระเป๋าให้ครับ ทั้งหมดนี้ใช้แรงคนครับ กระเป๋าก็ไม่ใช่ๆเบาๆ สงสารเจ้าหน้าที่มาก อารมณ์เหมือนซอมบี้แย่งอาหารจากรถกระบะอะไรแบบนั้นล่ะครับ ก็ตลกดี
พอรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยเราก็มาพบกับไกด์อีกคนนึงครับที่เค้าประจำอยู่ที่นี้ และคนขับรถที่จะพาเราไปในช่วงที่เราอยู่โพคารา ก็ขนของขึ้นรถกัน มุ่งหน้าโรงแรมเลยครับผม เพื่อเก็บของ พักผ่อนซักนิด ก่อนที่จะไปล่องเรือใน Phewa Lake และ ชมวัดกลางน้ำกัน ซึ่งโรงแรมของเราอยู่ติดกับทะเลสาบเลยครับ สามารถเดินไปได้เลยครับ
นอนได้ไม่นาน เสียงนาฬิกาก็ปลุกอีกแล้ว อากาศหนาวพอสมควร รีบตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวใส่เสื้อผ้ากันหนาว แล้วก็หยิบของออกมารอที่ Lobby เพื่อรอไกด์ และรถมารับ ยังเช้าอยู่มากๆ ยอมรับเลยว่ายังงงๆก๊งๆครับ เช้านี้เราจะเดินทางไปที่จุดชมวิว Sarankot กัน ใช้เวลานั่งรถจากโรงแรมไป ประมาณ 40 นาทีครับ เส้นทางคดเคี้ยวพอตัว ถ้าใครขึ้นไปห้วยน้ำดังที่บ้านเรา ก็อารมณ์ประมาณนั้นเลยครับ
พอไปถึงคนขับก็ส่งเราลงครับ จุดชมวิวต้องเดินขึ้นเนินไปอีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่ามืดมาก ต้องใช้ไฟฉายเดินส่องทาง เดินแป้ปเดียวก็ถึงครับ จุดชมวิวของเรา อารมณ์เหมือนบ้านชั้นเดียวที่มีดาดฟ้าครับ ด้านล่างจะเป็นที่ขายของต่างๆ รวมถึงชา กาแฟ อาหารเช้าอะไรงี้ ส่วนจะชมวิว ต้องขึ้นบันไดวนไปด้านบนครับ ตอนผมไปถึงก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ มาพอสมควรแล้วครับแต่ไม่เยอะมาก บนดาดฟ้าน้ันก็มีเก้าอี้ให้คนได้นั่งรอชมกันด้วย
ผมขึ้นไปได้ก็ไม่รอช้าครับ กางขาตั้งกล้องอย่างรวดเร็ว แต่ยากหน่อยเพราะมือแอบแข็ง (ฮา) เปลี่ยนใช้เลนส์เทเล เตรียมพร้อมครับ แต่ว่าตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันจะถ่ายอะไร เพราะมันยังมืดอยู่ ก็รอไปซักพัก แอบเห็นอะไรอยู่ไกลๆ อ้ออ มันเป็นเทือกเขาครับ เริ่มโผล่มาให้เห็นเล็กๆน้อยๆ ตอนนั้นผมก็เริ่มถ่าย เริ่มลองแสงครับ ลองหลายอย่าง เพราะไม่อยากพลาดตอนไคล์แมกซ์ครับ
ที่จุดชมวิว Sarankot นั้น เป็นจุดที่เราจะได้เห็นเทือกเขา Annapurna ครับ ซึ่งมี Summit ที่มีชื่อเสียงอย่าง Annapurna I,II,III และ ยอดเขาหางปลา หรือ Machapuchare (ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ แฮ่) แต่ยอดเขา Machapuchare ถือว่าเป็น ยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ครับ เพราะชาวเนปาลเชื่อว่าเป็นที่สถิตของพระศิวะ ดังนั้นทางเนปาลจึงห้ามไม่ให้นักปีนเขาทั้งหลาย ปีนขึ้นไปพิชิตยอดครับ
Personal Facebook: https://www.facebook.com/phumsiam
Page Facebook: https://www.facebook.com/PostracGallery
Twitter: @phumsiam
Instagram: @postrac