เรื่องสั้น เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจ จาก
เจคและทริกเกอร์
น้องหมาน่ารัก ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องสั้น ของคุณ turtle_cheesecake
ขอขอบคุณ คุณ turtle_cheesecake ที่อนุญาตให้นำเจคและทริกเกอร์
มารับบทในเรื่องนี้
สัญญาว่าจบการแสดงแล้ว จะนำ เจคและทริกเกอร์
ส่งกลับให้คุณ turtle_cheesecake ในสภาพแขนขาครบถ้วนสุขภาพดีทุกประการครับ
=========================
แมวปิฬาร์ VS เจค และทริกเกอร์
บทที่ 1
=========================
Psycho G.
เฃ้าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ ทำให้อารมณ์ของแมวปิฬาร์พลอยสดชื่นขึ้นมาด้วย ปีนต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านขึ้นไปนั่งบนหลังคาตึกใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่ การมาอยู่ที่สูงทำให้ปิฬาร์รู้สึกดีเมื่อมองลงไปข้างล่าง คล้ายตัวเองเป็นแมวฟ้า กำลังส่องลงมาดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของชาวโลก
เมื่อคืนนี้บ้านข้างๆ มีเสียงอึกทึกผิดปกติอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นเองทำให้แมวสาวสงสัยสนใจเป็นพิเศษ จะว่าย้ายบ้านหรือมีงานบุญก็ไม่ใช่ เพราะถ้ามีการย้ายบ้านก็ควรมีการมาแจ้งให้ปิฬาร์ทราบก่อน ไม่ใช่หรืออย่างไร
“โฮ่งๆ.....”
เสียงเห่าแว่วเข้าหู ทำให้ต้องก้มหน้าลงไปมองอาณาเขตพื้นที่ของบ้านใกล้เรือนเคียง แล้วก็เห็นแหล่งกำเนิดของเสียง
หมาแปลกหน้าสองตัวกำลังพากันวิ่งเล่นอยู่บนสนามหญ้าอย่างสนุกสนาน ท่าทางเป็นหมาต่างถิ่นทั้งสองตัว เพราะภาษาเห่าและรูปร่างหน้าตาท่าทางผิดแผกแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าหมาตัวเล็กกว่าท่าทางซุกซนสนุกสนานมากกว่า วิ่งไปวิ่งมาไม่ยอมหยุด ถ้าประตูรั้วบ้านไม่ปิด คาดว่าคงวิ่งเตลิดออกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ในขณะหมาตัวใหญ่ดูใจเย็นสุขุมคัมภีรภาพมากกว่า
ปกติบ้านหลังนี้ไม่เลี้ยงหมา แต่ว่าเจ้าสองตัวนี่มาจากไหน ที่แน่ๆคือทำให้บรรยากาศอันร่มเย็นเป็นสุขเสียหายหลายแสน ต่อไปนี้นอกจากเสียงร้องหมอลำของหนูแจ๋วคนรับใช้ประจำบ้านแล้ว ก็ต้องทนฟังเสียงเห่าหอนเจ้าหมาสองตัวอีกหรืออย่างไร แมวปิฬาร์คิดอย่างเซ็งจิต อย่ากระนั้นเลย ในฐานะเป็นเจ้าถิ่นต้องประกาศศักดาให้ผู้มาใหม่รู้จักเสียบ้าง
“เมี๊ยววว......!!!!”
แมวปิฬาร์ยืดคอส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าสุดกำลัง(ในความรู้สึกของแมว) เจ้าหมอสองตัวชะงักและเงยหน้าขึ้นมามองทันทีเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆใสๆ(ในความรู้สึกของหมา) สีหน้าท่าทางของเจ้าหมาต่างถิ่นพากันแปลกใจคงเพราะไม่เคยเห็นแมวบนหลังคามาก่อน
“โฮ่ง...”
เจ้าหมาตัวเล็กเห่าทักทายขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงกวนๆไม่ค่อยมีมรรยาท แต่ฟังดูเป็นมิตร วิ่งตรงมายังกำแพงบ้านทำท่าจะกระโดดข้ามกำแพงขึ้นมา เมินเสียเถอะ....แมวสาวคิดในใจ กำแพงรั้วบ้านสูงขนาดนั้น จ้างสักพันก็กระโดดข้ามมาไม่ได้ ไม่รู้จักคิดเอาเสียเลย
“โฮ่ง...”
เสียงเจ้าหมาตัวใหญ่ร้องขึ้นบ้าง ด้วยน้ำเสียงสุภาพแบบหมาๆน่าฟังรื่นหูรื่นใจมากกว่าเจ้าตัวเล็ก แต่หมาก็คือหมาตามหลักสากลแล้วคือศัตรูคู่แค้นมาตั้งแต่โบราณ จ้างก็ไม่ดีไม่คบด้วยไม่ต้องมาทำเป็นเห่าให้เสียเวลาหรอก ปิฬาร์เป็นแมวชั้นสูง สูงไม่สูงก็อยู่บนหลังคาได้ก็แล้วกัน คิดพลางก็มองลงมาด้วยสายตาเหยียดเริ่ดเชิดหยิ่งเหยาะย่างตรงไปยังต้นไม้ เตรียมปีนลงมาหาข้าวปลากินดีกว่า
ก่อนจะกระโดดไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านซึ่งมีคาคบมากมายเป็นทางด่วนสำหรับแมวสาวขึ้นลงระหว่างพื้นดินกับหลังคา ปิฬาร์ยังสังเกตด้วยหางตา(แบบเหยียดๆ)ว่า เจ้าหมาหน้าใหม่สองตัวยังคงตั้งหน้าตั้งตามองขึ้นมาแถมเห่าสลับฉากเป็นระยะ
อย่างน่ารำคาญจิต..อะไรกันนักกันหนา....ไม่เคยเห็นแมวสวยหรืออย่างไร ...สงสัยแถวบ้านไม่มีแมวสวยๆ ให้เห่าล่ะสิ...ถึงมาเห่าแบบไม่มีมรรยาทกันแบบนี้ ท่าทางจะต้องเป็นหมาบ้านนอกแน่เลย ยิ่งคิดยิ่งเชิดหน้าขึ้นอีกด้วยความเป็นแมวจอมหยิ่งก่อนกระโดดลอยตัวไปยังคาคบไม้อย่างสวยงามราวกับจะโชว์ลีลาการกระโดดให้ผู้สังเกตการณ์อยู่ข้างล่างได้ดูเป็นขวัญตา
เพียงแต่ว่าวันนี้เป็นการกระโดดแบบจงใจทำเท่ ทำให้การคำนวณระยะทางผิดไปจากเดิมเล็กน้อย ปกติพอเท้าแตะกิ่งไม้ใหญ่ ปิฬาร์จะย่อตัวลงเอี้ยวตัวสะบัดหางเอียงคอไปมองด้านหลังด้วยหางตาวางท่านิ่งในลักษณะนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความภาคภูมิใจในฝีมือการกระโดดของตัวเอง แต่วันนี้พอเท้าแตะกิ่งไม้แมวสาวยังไม่ทันวางท่าให้สวยงามก็เสียหลักหล่นลงไปอย่างช่วยไม่ได้
และที่โคนต้นไม้ข้างบ้าน หนูแจ๋ว คนรับใช้แสนรู้ประจำบ้านเอากะละมังใบใหญ่ใส่น้ำผสมผงซักฟอก เตรียมเอาผ้าปูที่นอนมาซักตาก หนูแจ๋วไม่เคยไว้ใจเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ เพราะเธอรู้สึกว่ามันไร้ชีวิตจิตใจ ทำให้คนซักผ้าไม่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณอันแท้จริงของการซักผ้าซึ่งเป็นการนำทางไปสู่เกิดการสมาธิและสมาธินำไปสู่การเกิดปัญญาในที่สุด
แต่เมื่อหนูแจ๋วหอบผ้าปูที่นอนออกมาจากบ้าน เพิ่งใส่ผ้าลงไปในอ่างไม่ทันเรียบร้อยดีด้วยซ้ำ วัตถุบางอย่างก็หล่นโครมลงมาในกะละมังจนน้ำกระเด็นเซ็นซ่านฟองกระจาย
“ว้าย....อิพออิแม”
หนูแจ๋วร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ กระโดดถอยหลังไปเหยียบเอาไม้ถูพื้นรุ่นคลาสสิก ทำให้ไม้ถูพื้นกระดกฟาดกลางหลังคนเหยียบอย่างจังหนูแจ๋วผวาไปด้านหน้า และเจ้ากรรมว่าร้องเท้าของเธอเป็นรองเท้าฟองน้ำ พอเหยียบพื้นคอนกรีตอันมีน้ำผสมผงซักฟอกกระจายออกมาเปียกพื้นทำให้เกิดอาการลื่นเสียหลักหน้าคว่ำลงไปในกะละมังทันที
ข้างฝ่ายปิฬาร์พอหล่นลงมาจากคาคบไม้ก็โชคดีว่าหล่นลงไปในกะละมังเลยไม่เจ็บตัวเท่าไร แต่ที่เจ็บตัวก็คือเงาดำถาโถมวูบลงมาราวฟ้าถล่มทลาย จะกระโดดหนีก็หนีไม่ทันเพราะตัวยังอยู่ในน้ำทำให้กระโดดไม่ถนัด
หัวคนและหัวแมวโหม่งกันอย่างจัง
“เหมี้ยวส์เอ๊อะ!”
ทั้งเสียงแมวและเสียงคนดังปนกันไม่รู้ว่าเป็นเสียงคนหรือเสียงแมว ความแรงจากการกระแทกทำให้กะละมังพลิกคว่ำเทน้ำลงไปบนหัวคนและหัวเหมียว รวมทั้งผ้าปูที่นอนโป๊ะซ้ำลงไปอีก โลกของหนูแจ๋วและปิฬาร์มืดดำลงในทันใด ความตกใจสุดขีดทำให้พากันกระโดดขึ้นมาเต็มแรง กะละมังเจ้ากรรมลอยข้ามกำแพงลงมาครอบลงหัวเจ้าหมาตัวเล็กผู้กำลังทำหูผึ่งสังเกตการณ์อยู่ข้างกำแพงพอดี
น้องหมาตัวเล็กร้องสุดเสียงด้วยความตกใจเพระเกิดมาไม่เคยโดนกะละมังลอยมาครอบหัวเลยทำตัวไม่ถูก หันหลังกลับโดยสัญชาตญาณวิ่งโกยอ้าวสุดชีวิตโดยมีกะละมังครอบหัวปุเลงๆ ไปด้วย ดูเผินๆ ประหนึ่งว่าเจ้าตัวเล็กกำลังวิ่งเล่นแนวใหม่แบบสนุกสนานเหลือเกิน
“เข้าใจเล่นนะทริกเกอร์”
น้องหมาตัวใหญ่มองตามชะตากรรมของสหายร่วมบ้านด้วยความทึ่งในฝีมือการวิ่งสู้กะละมังจนอ้อมไปทางหลังบ้านไปชนรั้วอีกฝั่งนั่นล่ะกะละมังเจ้ากรรมจึงหลุดกระเด็นออกไปวางกลิ้งบนพื้น โดยมีเจ้าทริกเกอร์วิ่งหนีห่างออกไปหลายวาก่อนนั่งหายใจหอบหน้าซีดเหลือสองนิ้ว
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง หนูแจ๋วดิ้นรนออกมาจากผ้าปูที่นอนเป็นผลสำเร็จในสภาพเปียกปอนไปทั้งเนื้อทั้งตัวด้วยอาการตกใจ มองเห็นผ้าปูที่นอนกำลังดิ้นไปมาก็ตกใจหนักเข้าไปอีก
“ป่าดทีโท้....ผ้าผีสิง...”
ร้องไม่ร้องร้องเปล่า หันไปคว้าไม้ถูพื้นขึ้นมา เงื้อสุดแขนกะจะตีผ้าผีสิงด้วยความตกใจกลัว
คนแถวนั้นรู้กันว่า หนูแจ๋วเป็นโรคบ้าจี้ ถ้าตกใจเมื่อไรจะต้องตีเสมอ ตีอะไรก็ได้... ตีอะไรก็ตาม...ขอให้ได้ตีสิ่งขวางหน้าอันเป็นพฤติกรรมนอกเหนือการควบคุม แต่แมวปิฬาร์ก็ทำให้หนูแจ๋วกลับสภาพเดิมเสียก่อนโดยการมุดออกมาจากผ้าปูที่นอนจนได้ แล้ววิ่งออกไปอยู่กลางสนามหญ้าด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“ยัยปิฬาร์อีกแล้วหรือนี่......”
หนูแจ๋วชะงักค้าง ปล่อยไม้ถูพื้นหลุดจากมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นว่าตัวการของเรื่องนี้คือแมวตัวโปรดของคุณนายใจดีนั่นเอง แมวจอมยุ่งที่ทำให้เธอวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน คนจะลงบันไดน้องแมวก็วิ่งดักหน้าดักหลัง เหยียบหางก็ไม่ได้เพราะน้องแมวจะร้องฟ้องคุณนายให้ออกมาว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ วิ่งชนถ้วยชามแตกบ้าง ตะกายผ้าตากไว้ตามราวตากผ้าจนต้องนำมาซักใหม่บ้าง หรือบางทีกำลังทำกับข้าว น้องแมวผู้น่ารักก็จะกระโจนขึ้นมาทำกับข้าวช่วยอย่างความหวังดี จนบางทีอยากจะทำแกงอ่อมแมวกินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แน่ะ...ยังทำเป็นนั่งมองหน้าตาตื่น ไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมากแค่ไหน
แต่สุดท้ายหนูแจ๋วก็ส่ายหน้ายอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี จะมาซักผ้าปูที่นอนต่อ แต่กะละมังหายไปไหนแล้ว
คราวนี้หนูแจ๋วแปลกใจจริงๆ จะว่าแมวปิฬาร์คาบไปซ่อนไว้ก็เป็นไปไม่ได้เพราะอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันตลอด จะว่าเป็นกะละมังผีสิงวิ่งไปแอบซ่อนเองก็ไม่น่าเป็นไปได้ ชะโงกหน้ามองข้ามรั้วไปก็ไม่เห็นกะละมังคู่ชีพ จะว่ามีคนเก็บไปก็ไม่ใช่เพราะไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเลย เดินค้นหาไปทั่วก็ไม่เจอ ลงทุนเดินไปค้นหากะละมังบนชั้นสองของบ้าน ในตู้เก็บเสื้อผ้า ใต้เตียง ในลิ้นชัก ในกระเป๋าเดินทาง หาอย่างไรก็ไม่เจอ สุดท้ายต้องทุบกระปุกออมสินรูปแมว เอาเงินเหรียญที่สะสมไว้ นำไปซื้อกะละมังใบใหม่ด้วยน้ำตานองหน้า เพราะจะไปบอกคุณผู้หญิงว่ากะละมังอยู่ดีไม่ว่าดี หายไปจากชีวิตอย่างไร้ร่องรอยใครจะไปเชื่อ ฟังดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้พอๆกับบอกว่า มนุษย์ต่างดาวมาฉายแสงดูดกะละมังออกไปจากโลก
“นายซวยแน่ ทริกเกอร์”
หมาตัวโตกว่าและท่าทางมีวัยวุฒิมากกว่าอีกตัวพูดกับหมาตัวเล็กอย่างมีประสบการณ์มากกว่า ขณะพากันหลบเข้ามาอยู่ในชายคาบ้าน เพราะความตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“นายไปเห่าแมวบนหลังคา โบราณเขาถือว่า เป็นลางไม่ดีทำให้ไม่มีโชค ของแบบนี้หมาสมัยโบราณเขาถือกัน”
“ไม่น่าเป็นไปได้นะครับพี่เจค”
ทริกเกอร์คัดค้านความเห็นของลูกพี่หมาอย่างไม่เห็นด้วย
“ผมเห่าทักทายด้วยจิตไมตรีอันงดงามต่อเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ ด้วยจิตใจเปี่ยมบริสุทธิ์ แล้วจะโชคไม่ดียังไงกันครับพี่”
เจคถอนใจ ด้วยความผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านฝนมามากกว่า จึงรับรู้รับฟังเรื่องราวมากมายหลายหลาก ในเส้นทางเดินของเผ่าพันธุ์ตัวเองอันยาวนาน
“ทริกเกอร์ นายก็น่าจะรู้นะว่าพวกเรา และแมว เป็นศัตรูกันโดยสายเลือด ดังนั้นเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของพวกเราเอาไว้ จึงมีกฎว่าห้ามหมาและแมวเป็นมิตรกันเด็ดขาด นายไปเห่าแบบเป็นมิตรผิดประเพณี เลยเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมากับนายยังไงล่ะ”
“แล้วจะให้เห่ายังไงครับ”
“นายต้องเห่าแบบข่มขู่เข้มแข็งห้าวหาญทะยานฟ้า อย่าลืมว่าพลังเห่าอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ..เปล่งศักยภาพแห่งเผ่าพันธุ์ของเราจนทำให้บรรดาแมวทั้งหลายได้ยินแล้วตัวสั่นแข้งขาอ่อน ลม สลบไปเลย นั่นจึงเป็นการเห่าของเข้าถึงแก่นแท้แห่งพลังอำนาจของการเห่า...”
..........
แมวปิฬาร์ VS เจคและทริกเกอร์...บทที่ 1
น้องหมาน่ารัก ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องสั้น ของคุณ turtle_cheesecake
ขอขอบคุณ คุณ turtle_cheesecake ที่อนุญาตให้นำเจคและทริกเกอร์
มารับบทในเรื่องนี้
สัญญาว่าจบการแสดงแล้ว จะนำ เจคและทริกเกอร์
ส่งกลับให้คุณ turtle_cheesecake ในสภาพแขนขาครบถ้วนสุขภาพดีทุกประการครับ
=========================
แมวปิฬาร์ VS เจค และทริกเกอร์
บทที่ 1
=========================
Psycho G.
เฃ้าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ ทำให้อารมณ์ของแมวปิฬาร์พลอยสดชื่นขึ้นมาด้วย ปีนต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านขึ้นไปนั่งบนหลังคาตึกใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่ การมาอยู่ที่สูงทำให้ปิฬาร์รู้สึกดีเมื่อมองลงไปข้างล่าง คล้ายตัวเองเป็นแมวฟ้า กำลังส่องลงมาดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของชาวโลก
เมื่อคืนนี้บ้านข้างๆ มีเสียงอึกทึกผิดปกติอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นเองทำให้แมวสาวสงสัยสนใจเป็นพิเศษ จะว่าย้ายบ้านหรือมีงานบุญก็ไม่ใช่ เพราะถ้ามีการย้ายบ้านก็ควรมีการมาแจ้งให้ปิฬาร์ทราบก่อน ไม่ใช่หรืออย่างไร
“โฮ่งๆ.....”
เสียงเห่าแว่วเข้าหู ทำให้ต้องก้มหน้าลงไปมองอาณาเขตพื้นที่ของบ้านใกล้เรือนเคียง แล้วก็เห็นแหล่งกำเนิดของเสียง
หมาแปลกหน้าสองตัวกำลังพากันวิ่งเล่นอยู่บนสนามหญ้าอย่างสนุกสนาน ท่าทางเป็นหมาต่างถิ่นทั้งสองตัว เพราะภาษาเห่าและรูปร่างหน้าตาท่าทางผิดแผกแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าหมาตัวเล็กกว่าท่าทางซุกซนสนุกสนานมากกว่า วิ่งไปวิ่งมาไม่ยอมหยุด ถ้าประตูรั้วบ้านไม่ปิด คาดว่าคงวิ่งเตลิดออกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ในขณะหมาตัวใหญ่ดูใจเย็นสุขุมคัมภีรภาพมากกว่า
ปกติบ้านหลังนี้ไม่เลี้ยงหมา แต่ว่าเจ้าสองตัวนี่มาจากไหน ที่แน่ๆคือทำให้บรรยากาศอันร่มเย็นเป็นสุขเสียหายหลายแสน ต่อไปนี้นอกจากเสียงร้องหมอลำของหนูแจ๋วคนรับใช้ประจำบ้านแล้ว ก็ต้องทนฟังเสียงเห่าหอนเจ้าหมาสองตัวอีกหรืออย่างไร แมวปิฬาร์คิดอย่างเซ็งจิต อย่ากระนั้นเลย ในฐานะเป็นเจ้าถิ่นต้องประกาศศักดาให้ผู้มาใหม่รู้จักเสียบ้าง
“เมี๊ยววว......!!!!”
แมวปิฬาร์ยืดคอส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าสุดกำลัง(ในความรู้สึกของแมว) เจ้าหมอสองตัวชะงักและเงยหน้าขึ้นมามองทันทีเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆใสๆ(ในความรู้สึกของหมา) สีหน้าท่าทางของเจ้าหมาต่างถิ่นพากันแปลกใจคงเพราะไม่เคยเห็นแมวบนหลังคามาก่อน
“โฮ่ง...”
เจ้าหมาตัวเล็กเห่าทักทายขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงกวนๆไม่ค่อยมีมรรยาท แต่ฟังดูเป็นมิตร วิ่งตรงมายังกำแพงบ้านทำท่าจะกระโดดข้ามกำแพงขึ้นมา เมินเสียเถอะ....แมวสาวคิดในใจ กำแพงรั้วบ้านสูงขนาดนั้น จ้างสักพันก็กระโดดข้ามมาไม่ได้ ไม่รู้จักคิดเอาเสียเลย
“โฮ่ง...”
เสียงเจ้าหมาตัวใหญ่ร้องขึ้นบ้าง ด้วยน้ำเสียงสุภาพแบบหมาๆน่าฟังรื่นหูรื่นใจมากกว่าเจ้าตัวเล็ก แต่หมาก็คือหมาตามหลักสากลแล้วคือศัตรูคู่แค้นมาตั้งแต่โบราณ จ้างก็ไม่ดีไม่คบด้วยไม่ต้องมาทำเป็นเห่าให้เสียเวลาหรอก ปิฬาร์เป็นแมวชั้นสูง สูงไม่สูงก็อยู่บนหลังคาได้ก็แล้วกัน คิดพลางก็มองลงมาด้วยสายตาเหยียดเริ่ดเชิดหยิ่งเหยาะย่างตรงไปยังต้นไม้ เตรียมปีนลงมาหาข้าวปลากินดีกว่า
ก่อนจะกระโดดไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านซึ่งมีคาคบมากมายเป็นทางด่วนสำหรับแมวสาวขึ้นลงระหว่างพื้นดินกับหลังคา ปิฬาร์ยังสังเกตด้วยหางตา(แบบเหยียดๆ)ว่า เจ้าหมาหน้าใหม่สองตัวยังคงตั้งหน้าตั้งตามองขึ้นมาแถมเห่าสลับฉากเป็นระยะ
อย่างน่ารำคาญจิต..อะไรกันนักกันหนา....ไม่เคยเห็นแมวสวยหรืออย่างไร ...สงสัยแถวบ้านไม่มีแมวสวยๆ ให้เห่าล่ะสิ...ถึงมาเห่าแบบไม่มีมรรยาทกันแบบนี้ ท่าทางจะต้องเป็นหมาบ้านนอกแน่เลย ยิ่งคิดยิ่งเชิดหน้าขึ้นอีกด้วยความเป็นแมวจอมหยิ่งก่อนกระโดดลอยตัวไปยังคาคบไม้อย่างสวยงามราวกับจะโชว์ลีลาการกระโดดให้ผู้สังเกตการณ์อยู่ข้างล่างได้ดูเป็นขวัญตา
เพียงแต่ว่าวันนี้เป็นการกระโดดแบบจงใจทำเท่ ทำให้การคำนวณระยะทางผิดไปจากเดิมเล็กน้อย ปกติพอเท้าแตะกิ่งไม้ใหญ่ ปิฬาร์จะย่อตัวลงเอี้ยวตัวสะบัดหางเอียงคอไปมองด้านหลังด้วยหางตาวางท่านิ่งในลักษณะนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความภาคภูมิใจในฝีมือการกระโดดของตัวเอง แต่วันนี้พอเท้าแตะกิ่งไม้แมวสาวยังไม่ทันวางท่าให้สวยงามก็เสียหลักหล่นลงไปอย่างช่วยไม่ได้
และที่โคนต้นไม้ข้างบ้าน หนูแจ๋ว คนรับใช้แสนรู้ประจำบ้านเอากะละมังใบใหญ่ใส่น้ำผสมผงซักฟอก เตรียมเอาผ้าปูที่นอนมาซักตาก หนูแจ๋วไม่เคยไว้ใจเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ เพราะเธอรู้สึกว่ามันไร้ชีวิตจิตใจ ทำให้คนซักผ้าไม่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณอันแท้จริงของการซักผ้าซึ่งเป็นการนำทางไปสู่เกิดการสมาธิและสมาธินำไปสู่การเกิดปัญญาในที่สุด
แต่เมื่อหนูแจ๋วหอบผ้าปูที่นอนออกมาจากบ้าน เพิ่งใส่ผ้าลงไปในอ่างไม่ทันเรียบร้อยดีด้วยซ้ำ วัตถุบางอย่างก็หล่นโครมลงมาในกะละมังจนน้ำกระเด็นเซ็นซ่านฟองกระจาย
“ว้าย....อิพออิแม”
หนูแจ๋วร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ กระโดดถอยหลังไปเหยียบเอาไม้ถูพื้นรุ่นคลาสสิก ทำให้ไม้ถูพื้นกระดกฟาดกลางหลังคนเหยียบอย่างจังหนูแจ๋วผวาไปด้านหน้า และเจ้ากรรมว่าร้องเท้าของเธอเป็นรองเท้าฟองน้ำ พอเหยียบพื้นคอนกรีตอันมีน้ำผสมผงซักฟอกกระจายออกมาเปียกพื้นทำให้เกิดอาการลื่นเสียหลักหน้าคว่ำลงไปในกะละมังทันที
ข้างฝ่ายปิฬาร์พอหล่นลงมาจากคาคบไม้ก็โชคดีว่าหล่นลงไปในกะละมังเลยไม่เจ็บตัวเท่าไร แต่ที่เจ็บตัวก็คือเงาดำถาโถมวูบลงมาราวฟ้าถล่มทลาย จะกระโดดหนีก็หนีไม่ทันเพราะตัวยังอยู่ในน้ำทำให้กระโดดไม่ถนัด
หัวคนและหัวแมวโหม่งกันอย่างจัง
“เหมี้ยวส์เอ๊อะ!”
ทั้งเสียงแมวและเสียงคนดังปนกันไม่รู้ว่าเป็นเสียงคนหรือเสียงแมว ความแรงจากการกระแทกทำให้กะละมังพลิกคว่ำเทน้ำลงไปบนหัวคนและหัวเหมียว รวมทั้งผ้าปูที่นอนโป๊ะซ้ำลงไปอีก โลกของหนูแจ๋วและปิฬาร์มืดดำลงในทันใด ความตกใจสุดขีดทำให้พากันกระโดดขึ้นมาเต็มแรง กะละมังเจ้ากรรมลอยข้ามกำแพงลงมาครอบลงหัวเจ้าหมาตัวเล็กผู้กำลังทำหูผึ่งสังเกตการณ์อยู่ข้างกำแพงพอดี
น้องหมาตัวเล็กร้องสุดเสียงด้วยความตกใจเพระเกิดมาไม่เคยโดนกะละมังลอยมาครอบหัวเลยทำตัวไม่ถูก หันหลังกลับโดยสัญชาตญาณวิ่งโกยอ้าวสุดชีวิตโดยมีกะละมังครอบหัวปุเลงๆ ไปด้วย ดูเผินๆ ประหนึ่งว่าเจ้าตัวเล็กกำลังวิ่งเล่นแนวใหม่แบบสนุกสนานเหลือเกิน
“เข้าใจเล่นนะทริกเกอร์”
น้องหมาตัวใหญ่มองตามชะตากรรมของสหายร่วมบ้านด้วยความทึ่งในฝีมือการวิ่งสู้กะละมังจนอ้อมไปทางหลังบ้านไปชนรั้วอีกฝั่งนั่นล่ะกะละมังเจ้ากรรมจึงหลุดกระเด็นออกไปวางกลิ้งบนพื้น โดยมีเจ้าทริกเกอร์วิ่งหนีห่างออกไปหลายวาก่อนนั่งหายใจหอบหน้าซีดเหลือสองนิ้ว
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง หนูแจ๋วดิ้นรนออกมาจากผ้าปูที่นอนเป็นผลสำเร็จในสภาพเปียกปอนไปทั้งเนื้อทั้งตัวด้วยอาการตกใจ มองเห็นผ้าปูที่นอนกำลังดิ้นไปมาก็ตกใจหนักเข้าไปอีก
“ป่าดทีโท้....ผ้าผีสิง...”
ร้องไม่ร้องร้องเปล่า หันไปคว้าไม้ถูพื้นขึ้นมา เงื้อสุดแขนกะจะตีผ้าผีสิงด้วยความตกใจกลัว
คนแถวนั้นรู้กันว่า หนูแจ๋วเป็นโรคบ้าจี้ ถ้าตกใจเมื่อไรจะต้องตีเสมอ ตีอะไรก็ได้... ตีอะไรก็ตาม...ขอให้ได้ตีสิ่งขวางหน้าอันเป็นพฤติกรรมนอกเหนือการควบคุม แต่แมวปิฬาร์ก็ทำให้หนูแจ๋วกลับสภาพเดิมเสียก่อนโดยการมุดออกมาจากผ้าปูที่นอนจนได้ แล้ววิ่งออกไปอยู่กลางสนามหญ้าด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
“ยัยปิฬาร์อีกแล้วหรือนี่......”
หนูแจ๋วชะงักค้าง ปล่อยไม้ถูพื้นหลุดจากมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นว่าตัวการของเรื่องนี้คือแมวตัวโปรดของคุณนายใจดีนั่นเอง แมวจอมยุ่งที่ทำให้เธอวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน คนจะลงบันไดน้องแมวก็วิ่งดักหน้าดักหลัง เหยียบหางก็ไม่ได้เพราะน้องแมวจะร้องฟ้องคุณนายให้ออกมาว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ วิ่งชนถ้วยชามแตกบ้าง ตะกายผ้าตากไว้ตามราวตากผ้าจนต้องนำมาซักใหม่บ้าง หรือบางทีกำลังทำกับข้าว น้องแมวผู้น่ารักก็จะกระโจนขึ้นมาทำกับข้าวช่วยอย่างความหวังดี จนบางทีอยากจะทำแกงอ่อมแมวกินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แน่ะ...ยังทำเป็นนั่งมองหน้าตาตื่น ไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมากแค่ไหน
แต่สุดท้ายหนูแจ๋วก็ส่ายหน้ายอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี จะมาซักผ้าปูที่นอนต่อ แต่กะละมังหายไปไหนแล้ว
คราวนี้หนูแจ๋วแปลกใจจริงๆ จะว่าแมวปิฬาร์คาบไปซ่อนไว้ก็เป็นไปไม่ได้เพราะอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันตลอด จะว่าเป็นกะละมังผีสิงวิ่งไปแอบซ่อนเองก็ไม่น่าเป็นไปได้ ชะโงกหน้ามองข้ามรั้วไปก็ไม่เห็นกะละมังคู่ชีพ จะว่ามีคนเก็บไปก็ไม่ใช่เพราะไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเลย เดินค้นหาไปทั่วก็ไม่เจอ ลงทุนเดินไปค้นหากะละมังบนชั้นสองของบ้าน ในตู้เก็บเสื้อผ้า ใต้เตียง ในลิ้นชัก ในกระเป๋าเดินทาง หาอย่างไรก็ไม่เจอ สุดท้ายต้องทุบกระปุกออมสินรูปแมว เอาเงินเหรียญที่สะสมไว้ นำไปซื้อกะละมังใบใหม่ด้วยน้ำตานองหน้า เพราะจะไปบอกคุณผู้หญิงว่ากะละมังอยู่ดีไม่ว่าดี หายไปจากชีวิตอย่างไร้ร่องรอยใครจะไปเชื่อ ฟังดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้พอๆกับบอกว่า มนุษย์ต่างดาวมาฉายแสงดูดกะละมังออกไปจากโลก
“นายซวยแน่ ทริกเกอร์”
หมาตัวโตกว่าและท่าทางมีวัยวุฒิมากกว่าอีกตัวพูดกับหมาตัวเล็กอย่างมีประสบการณ์มากกว่า ขณะพากันหลบเข้ามาอยู่ในชายคาบ้าน เพราะความตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“นายไปเห่าแมวบนหลังคา โบราณเขาถือว่า เป็นลางไม่ดีทำให้ไม่มีโชค ของแบบนี้หมาสมัยโบราณเขาถือกัน”
“ไม่น่าเป็นไปได้นะครับพี่เจค”
ทริกเกอร์คัดค้านความเห็นของลูกพี่หมาอย่างไม่เห็นด้วย
“ผมเห่าทักทายด้วยจิตไมตรีอันงดงามต่อเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ ด้วยจิตใจเปี่ยมบริสุทธิ์ แล้วจะโชคไม่ดียังไงกันครับพี่”
เจคถอนใจ ด้วยความผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านฝนมามากกว่า จึงรับรู้รับฟังเรื่องราวมากมายหลายหลาก ในเส้นทางเดินของเผ่าพันธุ์ตัวเองอันยาวนาน
“ทริกเกอร์ นายก็น่าจะรู้นะว่าพวกเรา และแมว เป็นศัตรูกันโดยสายเลือด ดังนั้นเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของพวกเราเอาไว้ จึงมีกฎว่าห้ามหมาและแมวเป็นมิตรกันเด็ดขาด นายไปเห่าแบบเป็นมิตรผิดประเพณี เลยเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมากับนายยังไงล่ะ”
“แล้วจะให้เห่ายังไงครับ”
“นายต้องเห่าแบบข่มขู่เข้มแข็งห้าวหาญทะยานฟ้า อย่าลืมว่าพลังเห่าอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ..เปล่งศักยภาพแห่งเผ่าพันธุ์ของเราจนทำให้บรรดาแมวทั้งหลายได้ยินแล้วตัวสั่นแข้งขาอ่อน ลม สลบไปเลย นั่นจึงเป็นการเห่าของเข้าถึงแก่นแท้แห่งพลังอำนาจของการเห่า...”
..........