นี้เป็นกระทู้แรกในชีวิตของผมและเป็นเรื่องจริงในชีวิตของผมทั้งหมด อาจจะยาวไปหน่อยแต่อยากให้ทุกคนช่วยอ่านช่วยแนะนำผมที เพราะผมไม่รู้จะไปปรึกษาใคร
ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่ค่อนข้างจะเหนื่อยกว่าวัยรุ่นทุกคนในสังคม (ลืมบอกผมเป็นเกย์) ตอนนี้ผมอายุ 23 ปี ผมเติบโตมาในครอบครัวของผู้มีพระคุณที่ไม่ใช่ญาติจริงๆ ต้องท้าวความมาก่อนว่าแม่มเป็นคนต่างจังหวัดมาได้เสียกับลูกชายของบ้านที่ผมเติบโตมาแต่ไม่มีลูกด้วยกัน เวลาผ่านไปลูกชายบ้านนี้เสียย่าเลยไม่ให้แม่ผมไปใหน (คนๆนี้ละที่เลี้ยงดูผมมา) แล้วแม่ผมก้มาได้กับพ่อของผมแล้วก้แยกทางกัน เท่าที่ผมจำความได้ ผมไม่เคยอาศัยอยู่กับพ่อ ไม่เคยข้องเกี่ยวกันจนมาถึงปัจจุบัน(เดี่ยวมีต่อเรื่องของพ่อผม) ส่วนแม่ท่านก็ไปมีสามีใหม่ สมาชิคในบ้านก็จะมี ผม พี่ ๒ คนซึ่งเป็นลูกของลูกชายบ้านนี้
เท่าที่ผมจำความได้ผมเติบโตมากับบุคคลที่ผมเรียกวว่าย่า ส่งเสียเลี้ยงดูผมทุกอย่าง ส่วนแม่ผมนับครั้งได้เลยที่จะได้เจอหน้าของเค้า วิธีชีวิตของผมในวัยเด็ก ปลูกผักขายประกอบไปด้วยผักชีและถั่วฝักยาว จนผมเข้ามัธยมต้นน่าจะประมาณ ม.๒ พี่คนโตสอบติดทหารจำต้องย้ายที่อยู่ ประกอบกับย่าท่านก็อายุมากขึ้นก็อายุมากขึ้นทำให้ต้องเลิกกิจการปลูกผักไป ผมเลยจำเป็นต้องหางานทำเพื่อหาเงิน และงานที่ผมทำคือ จัดดอกไม้เอาจริงๆก็ทำไม่เป็นหรอกคอยยกคอยหยิบจับให้เขาสะมากกว่า ที่สำคัญรายได้ดีมาก เวลาผ่านไปผมเข้ามัธยมปลายสาย วิทย์-คณิต พี่อีกคนก็ดันสอบติดทหารอีก คราวนี้ในบ้านก็มีผมกับย่า 2 คน ด้วยความที่ผมรับจัดดอกไม้ทำให้เวลากลางคืนไม่ค่อยอยู่บ้าน ย่าท่านก็อยู่คนเดียว ทำให้ลูกสาวของย่ามารับไปอยู่ด้วยแต่ไม่ได้ไปแล้วไปเลยก็กลับมาบ้างนานๆครั้ง ด้วยความที่ท่านเป็นห่วง คราวนี้ผมเลยดำรงชีวิตคนเกียวตั้งแต่นั้นมา ผมไม่ใช่เด็กเรียน เกเรด้วยซ้ำ แต่ก็ได้กีฬามาช่วยลดความเกเรลงได้บ้าง เวลามีแข่งกีฬาเยาวชน กีฬาแห่งชาติ กีฬาภาค อ.แกก็จะเอาตอดสอยห้อยตูดไปด้วยเพราะรู้ว่าอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่วายผมก็ยังมีเรื่องชกต่อยตบตีไปเรื่อยตามภาษาเด็กไวรุ่นบ้ากำลังคิดว่ามันเท่ย์มั้งในตอนนั้น
เวลาผ่านไป ผมอยู่ ม.๖ เทอม ๒ แม่ก็กลับมาเพราะว่าสามีใหม่ท่าเสีย ย่าก็เลยได้กลับมาอยู่บ้าน แต่นั้นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ด้วยความที่บ้านจนทำให้ผมมองหาหนทางที่จะเรียนต่อได้ยากมาก จนสุดท้ายย่าตัดใจเอาทองที่มีไปขายเพื่อจ่ายค่าเทอมเทอมแรกให้ผม ในที่สุดผมก็ได้เรียนมหาลัยในสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในภาคเหนื่อ แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นสิ เพราะการมาเรียนต่างจังหวัดต้องเช่าหอ ใหนจะค่าใช้จ่ายจะเอาตรงใหน ใหนจะกินอยู่อย่างไร เงินก็ไม่มี ทำให้เทอมแรกในการเรียนผมลำบาคมาก รถก็ไม่มีใช้ มหาลัยห่างจากหอพักประมาณ ๕ กิโล ไม่มีคนมารับก็ไม่ได้เรียน ผมเคยอดข้าว ๓ วันติดกินแต่น้ำเพราะว่าไม่รู้จะไปขอตังค์ใคร การมาเริ่มต้นใหม่ในเมืองหลวงด้วยอายุ ๑๘ มันไม่ง่ายเลย จนกระทั่งมีคนมาชวนไปทำนวดสปาชายซึ่งตอนนั้นผมพูดได้เต็มปากว่าไม่ได้คิดอะไร และอยากได้เงินมากๆ ทำให้ผมหลงเข้าไปทำพักใหญ่ เงินดีมากผมยอมรับ แต่มันคือการเอาศักดิ์ศรีไปโยนทิ้ง ถ้าใครรู้ละ เค้าจะมองเราอย่างไร เวลาเริ่มนานขึ้นผมเริ่มรู้จักคนในพื้นที่ ทำให้ผมได้เข้าทำงาน 7-11 ผมจึงเลิกทำนวดไป
ด้วยความที่ผมรู้ตัวว่าเรียนไม่เก่ง ผมเลยทุ่มตัวเองให้กับกิจกรรมของมหาลัย และผมก็ทำได้ดี ได้เป็นตัวแทนต่างๆ ได้รับความเชื่อใจจากหน่วยงานราชการต่างๆมาจ้างไป ประกับผมได้รับโอกาสดีๆที่ทาง ม.ได้หยิบยื่นให้ จนกระทั่งปี๔ เทอม ๒ ช่วงปลายเทอมผมได้รู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งและนั้นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม
ช่วยตอบคำถามผมที มันอาจจะดูเหมือนนิยายแต่สิ่งเหล่านี้คือชีวิตจริงของผม
ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่ค่อนข้างจะเหนื่อยกว่าวัยรุ่นทุกคนในสังคม (ลืมบอกผมเป็นเกย์) ตอนนี้ผมอายุ 23 ปี ผมเติบโตมาในครอบครัวของผู้มีพระคุณที่ไม่ใช่ญาติจริงๆ ต้องท้าวความมาก่อนว่าแม่มเป็นคนต่างจังหวัดมาได้เสียกับลูกชายของบ้านที่ผมเติบโตมาแต่ไม่มีลูกด้วยกัน เวลาผ่านไปลูกชายบ้านนี้เสียย่าเลยไม่ให้แม่ผมไปใหน (คนๆนี้ละที่เลี้ยงดูผมมา) แล้วแม่ผมก้มาได้กับพ่อของผมแล้วก้แยกทางกัน เท่าที่ผมจำความได้ ผมไม่เคยอาศัยอยู่กับพ่อ ไม่เคยข้องเกี่ยวกันจนมาถึงปัจจุบัน(เดี่ยวมีต่อเรื่องของพ่อผม) ส่วนแม่ท่านก็ไปมีสามีใหม่ สมาชิคในบ้านก็จะมี ผม พี่ ๒ คนซึ่งเป็นลูกของลูกชายบ้านนี้
เท่าที่ผมจำความได้ผมเติบโตมากับบุคคลที่ผมเรียกวว่าย่า ส่งเสียเลี้ยงดูผมทุกอย่าง ส่วนแม่ผมนับครั้งได้เลยที่จะได้เจอหน้าของเค้า วิธีชีวิตของผมในวัยเด็ก ปลูกผักขายประกอบไปด้วยผักชีและถั่วฝักยาว จนผมเข้ามัธยมต้นน่าจะประมาณ ม.๒ พี่คนโตสอบติดทหารจำต้องย้ายที่อยู่ ประกอบกับย่าท่านก็อายุมากขึ้นก็อายุมากขึ้นทำให้ต้องเลิกกิจการปลูกผักไป ผมเลยจำเป็นต้องหางานทำเพื่อหาเงิน และงานที่ผมทำคือ จัดดอกไม้เอาจริงๆก็ทำไม่เป็นหรอกคอยยกคอยหยิบจับให้เขาสะมากกว่า ที่สำคัญรายได้ดีมาก เวลาผ่านไปผมเข้ามัธยมปลายสาย วิทย์-คณิต พี่อีกคนก็ดันสอบติดทหารอีก คราวนี้ในบ้านก็มีผมกับย่า 2 คน ด้วยความที่ผมรับจัดดอกไม้ทำให้เวลากลางคืนไม่ค่อยอยู่บ้าน ย่าท่านก็อยู่คนเดียว ทำให้ลูกสาวของย่ามารับไปอยู่ด้วยแต่ไม่ได้ไปแล้วไปเลยก็กลับมาบ้างนานๆครั้ง ด้วยความที่ท่านเป็นห่วง คราวนี้ผมเลยดำรงชีวิตคนเกียวตั้งแต่นั้นมา ผมไม่ใช่เด็กเรียน เกเรด้วยซ้ำ แต่ก็ได้กีฬามาช่วยลดความเกเรลงได้บ้าง เวลามีแข่งกีฬาเยาวชน กีฬาแห่งชาติ กีฬาภาค อ.แกก็จะเอาตอดสอยห้อยตูดไปด้วยเพราะรู้ว่าอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่วายผมก็ยังมีเรื่องชกต่อยตบตีไปเรื่อยตามภาษาเด็กไวรุ่นบ้ากำลังคิดว่ามันเท่ย์มั้งในตอนนั้น
เวลาผ่านไป ผมอยู่ ม.๖ เทอม ๒ แม่ก็กลับมาเพราะว่าสามีใหม่ท่าเสีย ย่าก็เลยได้กลับมาอยู่บ้าน แต่นั้นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ด้วยความที่บ้านจนทำให้ผมมองหาหนทางที่จะเรียนต่อได้ยากมาก จนสุดท้ายย่าตัดใจเอาทองที่มีไปขายเพื่อจ่ายค่าเทอมเทอมแรกให้ผม ในที่สุดผมก็ได้เรียนมหาลัยในสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในภาคเหนื่อ แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นสิ เพราะการมาเรียนต่างจังหวัดต้องเช่าหอ ใหนจะค่าใช้จ่ายจะเอาตรงใหน ใหนจะกินอยู่อย่างไร เงินก็ไม่มี ทำให้เทอมแรกในการเรียนผมลำบาคมาก รถก็ไม่มีใช้ มหาลัยห่างจากหอพักประมาณ ๕ กิโล ไม่มีคนมารับก็ไม่ได้เรียน ผมเคยอดข้าว ๓ วันติดกินแต่น้ำเพราะว่าไม่รู้จะไปขอตังค์ใคร การมาเริ่มต้นใหม่ในเมืองหลวงด้วยอายุ ๑๘ มันไม่ง่ายเลย จนกระทั่งมีคนมาชวนไปทำนวดสปาชายซึ่งตอนนั้นผมพูดได้เต็มปากว่าไม่ได้คิดอะไร และอยากได้เงินมากๆ ทำให้ผมหลงเข้าไปทำพักใหญ่ เงินดีมากผมยอมรับ แต่มันคือการเอาศักดิ์ศรีไปโยนทิ้ง ถ้าใครรู้ละ เค้าจะมองเราอย่างไร เวลาเริ่มนานขึ้นผมเริ่มรู้จักคนในพื้นที่ ทำให้ผมได้เข้าทำงาน 7-11 ผมจึงเลิกทำนวดไป
ด้วยความที่ผมรู้ตัวว่าเรียนไม่เก่ง ผมเลยทุ่มตัวเองให้กับกิจกรรมของมหาลัย และผมก็ทำได้ดี ได้เป็นตัวแทนต่างๆ ได้รับความเชื่อใจจากหน่วยงานราชการต่างๆมาจ้างไป ประกับผมได้รับโอกาสดีๆที่ทาง ม.ได้หยิบยื่นให้ จนกระทั่งปี๔ เทอม ๒ ช่วงปลายเทอมผมได้รู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งและนั้นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม