สวัสดีครับขอเล่าพื้นเพก่อนนะครับ
ผมกับแฟนรู้จักกันตอนเรียนมัธยม แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน พอเข้ามหาลัยเรียนคนละที่
ระหว่างเรียนมีนัดเจอเที่ยวกันบ้าง ปรึกษาเรื่องเรียน ช่วยกันทำโปรเจคบ้าง ความรักก็เริ่มก่อตัว
พอจบมหาลัยใหม่ๆก็เริ่มคบกันแต่ยังไม่ค่อยได้เจอกันอยู่ดี ต่างคนก็เข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน
แต่ทุกครั้งที่มาเจอกันก็รู้สึกมีความสุข ได้ไปเที่ยวเทศกาลต่างๆ สงกรานต์ ปีใหม่ กินข้าว ดูหนัง
ผมก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน
แต่จากนั้นยิ่งเวลาผ่านไปแต่ละปีๆความเป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้นทำให้คนเราคิดมากขึ้น
แฟนผมเริ่มร่าเริงน้อยลง มีมุมเครียดๆมากขึ้น รอนานทีถึงจะมาเจอกัน ผมทนคิดถึงไม่ไหวไปหาที่บ้านบ้าง เค้าก็เครียดกลัวพ่อแม่จะสงสัยอีก
คือพื้นเดิมเค้าเป็นแมนๆเตะบอลมากๆ คงทำให้เค้าไม่กล้าที่จะเปิด
แชทคุยในเฟสบุ๊คก็ชอบมีเพื่อนที่ทำงานเผือกอ่าน แถมบางคนก็ชวนกันไปลงอ่างเห็นว่าโสด ผมก็ไม่ว่าอะไร ถึงจะเสียใจอยู่บ้าง
เวลาทำงานก็ไม่ตรงกันบางทีผมโทรไปเค้าก็อยู่กับเพื่อนร่วมงานอีก
เพื่อนสมัยเรียนของเค้าเจอกันแต่ละทีก็ชวนไปเที่ยวหญิงบ้าง เสี้ยมบ้าง
ตัวผมเองรู้สึกเหนื่อยใหนจะปัญหาชีวิต การสร้างฐานะ แล้วมาเจอปัญหาความรักแบบนี้อีก แต่ผมอดทนได้อยู่ ซึ่งไม่รู้ว่า แฟนผมจะอดทนได้จนถึงเมื่อไหร่
กับความรักที่มันไม่สุด ต้องกลัวสังคม ซึ่งบอกก่อนว่าผมเองไม่กลัวเลย แต่เค้าเกิดมาครอบครัวข้าราชการ แถมเป็นครอบครัวใหญ่ ความกดดันมันคงต่างกัน
สังคมไทยบอกว่ายอมรับเกย์ได้ แต่จริงๆคือยอมรับกะเทยตลกแบบในหอแต๋วแตก
คือรับกระเทยที่เป็นบุคคลเดี่ยวๆได้
แต่พอผู้ชายจะรักกันกลายเป็นตัวตลกไปเลย สายเหลืองบ้าง เหมืองทองบ้าง
บางคนก็มองว่าเกย์บ้า sex แต่ตลอดเวลาที่คบกันมา ขอบอกตามตรงว่ายังไม่เคยมีอะไรกันเลย
คิดอยู่บ้างเหมือนกันแต่เวลาสถานที่ไม่อำนวย แล้วบางทีแค่ไปเที่ยวกันใช้เวลาร่วมกันมันก็รู้สึกพอแล้ว
เมื่อก่อนก็เคยคิดว่า ถ้ากฏหมายออกให้แต่งงานได้จะแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่สภาพการเมืองแบบนี้ การออกกฏหมายต้องแป๊กไว้ก่อน
ทุกวันนี้ก็เลยได้แต่อยู่ไป ว่าความสัมพันธ์จะขาดเมื่อไหร่
บางทีก็คิดว่า การที่เรารักใครคนนึง อยากตื่นมาเจอเขา อยากอยู่ดูแลช่วยเหลือเขา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยหรอ
บอกตรงๆอีกทีว่าเหนื่อยจังเลยครับ
[พลีชีพ] แฟน(ผู้ชาย) ของผม เริ่มทนแรงกดดันของสังคมไม่ไหว ผมควรทำยังไงดี
ผมกับแฟนรู้จักกันตอนเรียนมัธยม แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน พอเข้ามหาลัยเรียนคนละที่
ระหว่างเรียนมีนัดเจอเที่ยวกันบ้าง ปรึกษาเรื่องเรียน ช่วยกันทำโปรเจคบ้าง ความรักก็เริ่มก่อตัว
พอจบมหาลัยใหม่ๆก็เริ่มคบกันแต่ยังไม่ค่อยได้เจอกันอยู่ดี ต่างคนก็เข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน
แต่ทุกครั้งที่มาเจอกันก็รู้สึกมีความสุข ได้ไปเที่ยวเทศกาลต่างๆ สงกรานต์ ปีใหม่ กินข้าว ดูหนัง
ผมก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน
แต่จากนั้นยิ่งเวลาผ่านไปแต่ละปีๆความเป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้นทำให้คนเราคิดมากขึ้น
แฟนผมเริ่มร่าเริงน้อยลง มีมุมเครียดๆมากขึ้น รอนานทีถึงจะมาเจอกัน ผมทนคิดถึงไม่ไหวไปหาที่บ้านบ้าง เค้าก็เครียดกลัวพ่อแม่จะสงสัยอีก
คือพื้นเดิมเค้าเป็นแมนๆเตะบอลมากๆ คงทำให้เค้าไม่กล้าที่จะเปิด
แชทคุยในเฟสบุ๊คก็ชอบมีเพื่อนที่ทำงานเผือกอ่าน แถมบางคนก็ชวนกันไปลงอ่างเห็นว่าโสด ผมก็ไม่ว่าอะไร ถึงจะเสียใจอยู่บ้าง
เวลาทำงานก็ไม่ตรงกันบางทีผมโทรไปเค้าก็อยู่กับเพื่อนร่วมงานอีก
เพื่อนสมัยเรียนของเค้าเจอกันแต่ละทีก็ชวนไปเที่ยวหญิงบ้าง เสี้ยมบ้าง
ตัวผมเองรู้สึกเหนื่อยใหนจะปัญหาชีวิต การสร้างฐานะ แล้วมาเจอปัญหาความรักแบบนี้อีก แต่ผมอดทนได้อยู่ ซึ่งไม่รู้ว่า แฟนผมจะอดทนได้จนถึงเมื่อไหร่
กับความรักที่มันไม่สุด ต้องกลัวสังคม ซึ่งบอกก่อนว่าผมเองไม่กลัวเลย แต่เค้าเกิดมาครอบครัวข้าราชการ แถมเป็นครอบครัวใหญ่ ความกดดันมันคงต่างกัน
สังคมไทยบอกว่ายอมรับเกย์ได้ แต่จริงๆคือยอมรับกะเทยตลกแบบในหอแต๋วแตก
คือรับกระเทยที่เป็นบุคคลเดี่ยวๆได้
แต่พอผู้ชายจะรักกันกลายเป็นตัวตลกไปเลย สายเหลืองบ้าง เหมืองทองบ้าง
บางคนก็มองว่าเกย์บ้า sex แต่ตลอดเวลาที่คบกันมา ขอบอกตามตรงว่ายังไม่เคยมีอะไรกันเลย
คิดอยู่บ้างเหมือนกันแต่เวลาสถานที่ไม่อำนวย แล้วบางทีแค่ไปเที่ยวกันใช้เวลาร่วมกันมันก็รู้สึกพอแล้ว
เมื่อก่อนก็เคยคิดว่า ถ้ากฏหมายออกให้แต่งงานได้จะแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่สภาพการเมืองแบบนี้ การออกกฏหมายต้องแป๊กไว้ก่อน
ทุกวันนี้ก็เลยได้แต่อยู่ไป ว่าความสัมพันธ์จะขาดเมื่อไหร่
บางทีก็คิดว่า การที่เรารักใครคนนึง อยากตื่นมาเจอเขา อยากอยู่ดูแลช่วยเหลือเขา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยหรอ
บอกตรงๆอีกทีว่าเหนื่อยจังเลยครับ