เจิมเบาๆก่อนละกัน เดี๋ยวมาโพสต์เนื้อหาซีเรียสทีหลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โมเม้นต์นายกับบ่าว บังวอนกลับมาหามูฮยุลแล้ว หลังจากไปนานแสนนาน คงคิดถึงมากสินะ...
จูตี้คืนมูฮยุลให้กับบังวอน พร้อมตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า ใจของมูฮยุลอยู่กับบังวอนตลอด
ฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์
บังวอนกับจูตี้จากกันวันนี้มีแต่"คำยินดี" ให้กันและกัน
คู่จิ้นนักดาบ
อ้าว ตกลงคู่นี้เค้าเป็นผัวเมียกันเหรอ เพิ่งรู้ก็วันนี้แหละ จริงๆแล้วป่านนี้ตามปวศ.มีลูกกันไปหลายคนละมั้ง
คู่ที่ถูกละเลยมานานนน แล้วตอนยอนฮียิ้มให้ซัมบงทำไมดูดีใจมากกว่าเจอตังเซอีกหว่า ไม่ลงรูปซัมบงนะ งอนคนเขียน
คู่นี้มาแรงมากจ้าา ทีมงานปั้นสุดฤทธิ์ ตังเซยิ้มแบบนั้นคืออารายย ยิ้มหวานกว่าตอนอยู่กับยอนฮีอีก
แถมมีการมาบอกคิดถึงให้ มูฮยุลหวั่นไหวด้วยนะ ตายๆๆ
หรือทีมงานเห็นแฟนเมดอันนี้ เลยเอาใจแฟนเซอร์วิซซะหน่อย?
และคู่ที่ไม่ค่อยสำคัญ...มีของฝากด้วยนะ ไม่ได้ซื้อมาจากตลาดนัดธรรมดาๆนะ สั่งช่างทำเป็นพิเศษเลย
เพื่อนๆชอบคู่ไหนกันบ้าง? ทั้งคู่จิ้นคู่จริง
มูฮยุลกับความเปลี่ยนแปลง
กลับมาโชซอนคราวนี้ ไม่ได้มีแต่หนวดเคราที่งอกมาเท่านั้น มูฮยุลยังโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
อย่างเห็นได้ชัด การได้ฝึกวิชาที่เหลียวตงอยู่พักใหญ่ ไม่ได้อยู่ใกล้คนที่เป็นที่พึ่งทางใจได้
อย่างบังวอนหรือย่า และการได้ฝึกฝีมือรบทั้งวันทั้งคืน เป็นแรงผลักดันให้เติบโตขึ้นในฐานะ
องครักษ์ที่พร้อมจะสังหารทุกคนที่ปองร้ายบังวอนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เหมือนที่มูฮยุลพูด
กับอีบังจี "ชีวิตการเป็นนักดาบคิดได้แค่ก้าวต่อไปเท่านั้น ไม่คิดล่วงหน้าไป
มากกว่านั้น" นั่นหมายถึงการไม่กังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่กังวลว่าวันหนึ่งจะ
ได้สู้กับอีบังจีขึ้นมาจริงๆหรือในวันหนึ่งอาจจะต้องจ่อดาบไปที่คอของซัมบง...มูฮยุลแค่ต้องทำสิ่งที่ต้องทำ
... ปกป้องบังวอน...แม้ว่าจะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนปกป้องอยู่มันจะถูกหรือจะผิด แม้จะแอบเสียดาย
ความใสซื่อของมูฮยุลที่อาจจะไม่ได้เห็นแล้ว แต่เมื่อเรื่องกำลังจะเข้าไคลแม็กซ์ก็เป็นเวลาอันควรแล้ว
สายสัมพันธ์พี่น้องต่างแม่ มันเปราะบางขนาดนี้เลยหรือ?
เป็นฉากที่สะเทือนใจที่สุดในสองตอนนี้ การคุกเข่าของบังวอนที่ขอให้องค์รัชทายาทให้อภัย
ไม่บอกก็รู้ว่าบังซอกที่วิ่งออกมาหาพี่ชายนั้นรู้สึกสะเทือนใจจริงๆ นี่เป็นน้ำตาแห่งความจริงใจ
บังซอกเห็นบังวอนเป็นฮยองนิมเท่านั้น เด็กน้อยที่แสนไร้เดียงสา แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ
โดยไม่รู้จักวิธีเก็บซ่อน ไม่ได้มีความซับซ้อนแบบสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดกัน
หากแต่บังวอน...มองบังซอกเป็นคนในครอบครัวหรือไม่? หรือที่บังวอนอ้อนวอนบังซอก
และขานแต่ชื่อ "เซจาชอฮา" นั้นแสดงว่าในหัวของบังวอน บังซอกเป็นเพียงองค์รัชทายาท
ที่ขวางทางขึ้นบัลลังก์ของตน เป็นเพียงบุตรของราชินีซินต็อกที่หวังชีวิตของตนเท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องเศร้าที่เรื่องราวของพี่น้องต้องเดินทางมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของอีซองกเยบ่งบอก
ความรู้สึกดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
มันมาถึงเวลาที่ครอบครัวต้องมาแตกหักเพราความเชื่อทางการเมือง และน่าสนใจว่าถ้าบังซอก
เป็นลูกแม่เดียวกันกับบังวอน สุดท้ายแล้วบังวอนจะตัดใจสังหารลงรึเปล่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ในเมื่อช่วง second strife of princes อีบังกันยกพวกขึ้นก่อกบฏต่อการขึ้นบัลลังก์ของบังวอน
แต่บังวอนก็ปฏิเสธที่จะสังหารอีบังกันที่พ่อแม่เดียวกัน กลับปล่อยให้ใช้ชีวิตตอนถูกเนรเทศอย่าง
สุขสบาย หรือสายใยระหว่างพี่น้องคนละพ่อ/แม่กันจะเปราะบางจริงๆ?
ในละครเกาหลีทั้งซากึกทั้งปัจจุบันเราไม่ค่อยได้เห็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งพ่อแม่ทำร้ายกัน
หรือฆ่ากันเท่าไหร่ แต่เวลาที่เป็นพี่น้องคนละแม่กลับไม่ลังเลที่จะทำร้ายกัน หรือมันมีคำอธิบาย
ทางจิตวิทยาที่จะสามารถตอบประเด็นนี้ได้จริงๆ?
ป.ล. ชอบความจริงใจของบังวอนตอนที่ปัดมือราชินีที่กำลังจะสิ้นนะ ถ้าไปสัญญาว่าจะไม่ทำร้าย
บังซอกแล้วทำไม่ได้จะผิดคำพูดเปล่าๆ ในสถานการณ์ที่ปฏิเสธได้ยาก เป็นคำสั่งเสียของผู้ตาย
แต่บังวอนก็ไม่พูดเพื่อเอาใจใคร แม่เลี้ยงคงช็อคมาก
ซัมบงกับการรวมอำนาจเป็นจุดเดียว
เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของสองตอนนี้เลยกับการที่ซัมบงพยายามรวมอำนาจและกองทัพมาเป็น
จุดเดียวกันทั้งหมด โดยให้เหตุผลในการสร้างความมั่นคงของอาณาจักรใหม่ และนี่เป็นการทำเพื่อ
ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว ผู้นำคอมมิวนิสต์แทบจะทุกคนมักให้เหตุผลนี้ในการยึดอำนาจ
มาไว้เป็นจุดเดียว ปากบอกว่าอยากทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนซัมบงจะลงเอยด้วยการบ้า
อำนาจเหมือนกันไปตลอดเวลาที่ได้บริหารประเทศหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด เพราะชิงตายไปซะก่อน
แต่เท่าที่รู้ตอนนี้คือซัมบงต้องการดูแลทุกๆอย่าง ดูแลเจ้าหน้าที่ทุกคนในประเทศควบคุมทุก
รายละเอียด และไม่อนุญาตให้คนเห็นต่างในช่วงที่สร้างเสถียรภาพให้กับประเทศนี้ แต่ตามวิสัยทัศน์
ของซัมบงนั้นต้องการระบบตรวจสอบกันระหว่างเจ้าหน้าที่แน่นอน และรวมถึงการให้คนที่จะเข้ามา
รับราชการได้นั้นต้องผ่านการสอบเข้ามา
การลงโทษคนที่ขัดขืนการรวมอำนาจทางทหารอย่างเด็ดขาด การเผาธงกองทัพต่างๆทิ้ง
เพื่อไม่ต้องการให้มีกองทัพส่วนตัวของขุนนางและราชวงศ์ เพราะซัมบงเล็งเห็นว่าที่โครยอตกต่ำลง
ก็เนื่องมาจากกองทัพส่วนตัวนี่แหละที่เป็นตัวลดจำนวนกองทัพส่วนกลาง ทำให้ไม่มีกำลังมากพอที่จะ
รับมือข้าศึกรอบด้าน แถมเวลายามศึก ขุนนางทุจริตทั้งหลายก็ไม่ปล่อยทหารตนมาง่ายๆอีก
เห็นได้จากที่ฮงอินบังแห่งโครยอคิดแผนชั่วในการยึดครองที่ดินชาวบ้าน ด้วยการส่งทหารของตน
ไปปกป้องชาวบ้านในบริเวณที่มีญี่ปุ่นมาลุกล้ำ แลกกับที่ดินชาวบ้าน เนื่องจากตอนนั้นทรัพย์สินส่วนกลางของ
โครยอร่อยหรอเต็มที่แล้ว ไม่มีที่ดินไปแลกกับทหารขุนนางเป็นการแลกเปลี่ยน คนที่ซวยสุดก็เลยเป็นชาวบ้าน
ซัมบงถามคำถามแทงใจดำของบังวอนว่า "เจ้าก็ไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกับข้าเลยไม่ใช่หรือ?"
"ยังไงเจ้าก็ต้องรวมอำนาจเป็นจุดเดียวแบบข้า เจ้าจะไม่ยอมให้ราชวงศ์มามีอำนาจได้หรอกถ้าเจ้าได้ขึ้นเป็น
กษัตริย์" ท้ายที่สุดแล้วคำตอบที่"ถูก"ที่สุดที่จะถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์คือคำตอบของ"ผู้ที่ชนะ"เท่านั้น
หากบังวอนเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียที บังวอนก็ต้องถูกจารึกว่าเป็น"กบฎบ้าอำนาจ"ผู้ที่เปี่ยมไปด้วย"ความโลภ"
แทนที่ของซัมบง
สุดท้ายแล้วทุกคนต่างก็มีปรารถนาความโลภด้วยกันทั้งนั้น และความปรารถนาของผู้ชนะก็จะได้รับ
การยกย่องในประวัติศาสตร์ว่าเป้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผู้แพ้ทำอะไรก็ดูขี้เหร่ไปเสียหมด การดีเบตของบังวอน
และซัมบงน่าสนใจมากจริงๆ ผมก็เปลี่ยนใจไปมาไม่รู้ว่าใครถูกหรือใครผิดกันแน่ แต่ผมติดใจตรงที่
ซัมบงในเรื่องกล่าวหาว่าบังวอนมีความโลภมีความกระหายอำนาจ แต่บังวอนแทบไม่เคยกล่าวหาซัมบง
ในเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่ต่างคนก็พอๆกัน จะมองว่าซัมบงเป้นคนที่เห็นแต่ความร้ายของฝั่งคนอื่นโดยไม่ดูตัวเอง
หรือจริงๆแล้วในใจบังวอนก็แอบรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไปแย่งประเทศมาจากซัมบงจริงๆก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าสนใจจริงๆ
ถ้ามองในมุมของซัมบง ถ้าโชซอนเป็นประเทศที่วางรากฐานของซัมบง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในไอเดียที่จะใช้
ปูรากฐานไปอีกหลายๆร้อยปี และซัมบงมีความคิดอยากจะให้เสนาบดีเป็นรากของประเทศ แล้วจู่ๆมีคน
ที่มีส่วนที่แทบจะสำคัญที่สุดในการก่อตั้งประเทศ (แต่ก็เป็นวิธีที่ซัมบงไม่เห็นชอบเท่าไหร่ ซัมบงมองว่า
ทำให้เสียแผน)อย่างบังวอนจะมาครอบครองประเทศที่ซัมบงสร้าง ก็เข้าใจซัมบงได้ว่าทำไมถึงมองว่าบังวอน
เป็นฝ่ายโลภ แต่เมื่อครั้งที่ซัมบงจะเปลี่ยนประเทศจากโครยอมานั่นก็ต้องมองว่าซัมบงโลภอยากใช้ไอเดีย
ตัวเองในการเปลี่ยนประเทศไม่ใช่หรือ? ซัมบงหาเหตุผลชอบธรรมในการละทิ้งโครยอ นั่นก็เป็นความโลภ
หรือไม่? ซัมบงพูดถึงประโยชน์ของประชาชน แต่ซัมบงก็ต้องการอำนาจให้ตัวเองเพื่อที่จะได้ใช้ไอเดีย
ตัวเองในการทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่บังวอนหวังให้ประชาชนยิ้มได้
บังวอน ถ้ามองว่าบังวอนจะไปเอาทุกอย่างที่ซัมบงคิดขึ้นมาๆเป็นของตัวเองแต่ไม่ต้องการส่วนที่สำคัญที่สุด
นั่นคือการให้กษัตริย์เป็นยอดของดอกไม้ นั่นเป็นความโลภของบังวอนที่อาจจะขัดขวางการพัฒนาระยะยาวของ
โชซอนหรือไม่ (พอพ้นจากบังวอน ใครจะรับประกันได้ว่ากษัตริย์จะแข็งแกร่งไปตลอด พอถัดจากพระเจ้าเซจง
ก็มีกษัตริย์ขี้โรคอยู่หลายคน) การสังหารโพอึนแม้เป้นสิ่งจำเป็น แต่นั่นทำให้รากฐานเหล่า
บัณฑิตขงจื๊อในโชซอนล้าหลังไปนับร้อยปีใช่หรือไม่? แต่ต้องไม่ลืมว่านั่นเป็นการให้เหตุผลภายใต้หลักการของ
ซัมบงทั้งหมด คิดจนหัวแตกเลยจริงๆ
หกมังกรบินตอนที่ 43-44 - อำนาจ...คู่จิ้น...ใครจะหยุดได้ (สปอยล์)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อนๆชอบคู่ไหนกันบ้าง? ทั้งคู่จิ้นคู่จริง
มูฮยุลกับความเปลี่ยนแปลง
กลับมาโชซอนคราวนี้ ไม่ได้มีแต่หนวดเคราที่งอกมาเท่านั้น มูฮยุลยังโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
อย่างเห็นได้ชัด การได้ฝึกวิชาที่เหลียวตงอยู่พักใหญ่ ไม่ได้อยู่ใกล้คนที่เป็นที่พึ่งทางใจได้
อย่างบังวอนหรือย่า และการได้ฝึกฝีมือรบทั้งวันทั้งคืน เป็นแรงผลักดันให้เติบโตขึ้นในฐานะ
องครักษ์ที่พร้อมจะสังหารทุกคนที่ปองร้ายบังวอนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เหมือนที่มูฮยุลพูด
กับอีบังจี "ชีวิตการเป็นนักดาบคิดได้แค่ก้าวต่อไปเท่านั้น ไม่คิดล่วงหน้าไป
มากกว่านั้น" นั่นหมายถึงการไม่กังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่กังวลว่าวันหนึ่งจะ
ได้สู้กับอีบังจีขึ้นมาจริงๆหรือในวันหนึ่งอาจจะต้องจ่อดาบไปที่คอของซัมบง...มูฮยุลแค่ต้องทำสิ่งที่ต้องทำ
... ปกป้องบังวอน...แม้ว่าจะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนปกป้องอยู่มันจะถูกหรือจะผิด แม้จะแอบเสียดาย
ความใสซื่อของมูฮยุลที่อาจจะไม่ได้เห็นแล้ว แต่เมื่อเรื่องกำลังจะเข้าไคลแม็กซ์ก็เป็นเวลาอันควรแล้ว
สายสัมพันธ์พี่น้องต่างแม่ มันเปราะบางขนาดนี้เลยหรือ?
เป็นฉากที่สะเทือนใจที่สุดในสองตอนนี้ การคุกเข่าของบังวอนที่ขอให้องค์รัชทายาทให้อภัย
ไม่บอกก็รู้ว่าบังซอกที่วิ่งออกมาหาพี่ชายนั้นรู้สึกสะเทือนใจจริงๆ นี่เป็นน้ำตาแห่งความจริงใจ
บังซอกเห็นบังวอนเป็นฮยองนิมเท่านั้น เด็กน้อยที่แสนไร้เดียงสา แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ
โดยไม่รู้จักวิธีเก็บซ่อน ไม่ได้มีความซับซ้อนแบบสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดกัน
หากแต่บังวอน...มองบังซอกเป็นคนในครอบครัวหรือไม่? หรือที่บังวอนอ้อนวอนบังซอก
และขานแต่ชื่อ "เซจาชอฮา" นั้นแสดงว่าในหัวของบังวอน บังซอกเป็นเพียงองค์รัชทายาท
ที่ขวางทางขึ้นบัลลังก์ของตน เป็นเพียงบุตรของราชินีซินต็อกที่หวังชีวิตของตนเท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องเศร้าที่เรื่องราวของพี่น้องต้องเดินทางมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของอีซองกเยบ่งบอก
ความรู้สึกดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
มันมาถึงเวลาที่ครอบครัวต้องมาแตกหักเพราความเชื่อทางการเมือง และน่าสนใจว่าถ้าบังซอก
เป็นลูกแม่เดียวกันกับบังวอน สุดท้ายแล้วบังวอนจะตัดใจสังหารลงรึเปล่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในละครเกาหลีทั้งซากึกทั้งปัจจุบันเราไม่ค่อยได้เห็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งพ่อแม่ทำร้ายกัน
หรือฆ่ากันเท่าไหร่ แต่เวลาที่เป็นพี่น้องคนละแม่กลับไม่ลังเลที่จะทำร้ายกัน หรือมันมีคำอธิบาย
ทางจิตวิทยาที่จะสามารถตอบประเด็นนี้ได้จริงๆ?
ป.ล. ชอบความจริงใจของบังวอนตอนที่ปัดมือราชินีที่กำลังจะสิ้นนะ ถ้าไปสัญญาว่าจะไม่ทำร้าย
บังซอกแล้วทำไม่ได้จะผิดคำพูดเปล่าๆ ในสถานการณ์ที่ปฏิเสธได้ยาก เป็นคำสั่งเสียของผู้ตาย
แต่บังวอนก็ไม่พูดเพื่อเอาใจใคร แม่เลี้ยงคงช็อคมาก
ซัมบงกับการรวมอำนาจเป็นจุดเดียว
เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของสองตอนนี้เลยกับการที่ซัมบงพยายามรวมอำนาจและกองทัพมาเป็น
จุดเดียวกันทั้งหมด โดยให้เหตุผลในการสร้างความมั่นคงของอาณาจักรใหม่ และนี่เป็นการทำเพื่อ
ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว ผู้นำคอมมิวนิสต์แทบจะทุกคนมักให้เหตุผลนี้ในการยึดอำนาจ
มาไว้เป็นจุดเดียว ปากบอกว่าอยากทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนซัมบงจะลงเอยด้วยการบ้า
อำนาจเหมือนกันไปตลอดเวลาที่ได้บริหารประเทศหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด เพราะชิงตายไปซะก่อน
แต่เท่าที่รู้ตอนนี้คือซัมบงต้องการดูแลทุกๆอย่าง ดูแลเจ้าหน้าที่ทุกคนในประเทศควบคุมทุก
รายละเอียด และไม่อนุญาตให้คนเห็นต่างในช่วงที่สร้างเสถียรภาพให้กับประเทศนี้ แต่ตามวิสัยทัศน์
ของซัมบงนั้นต้องการระบบตรวจสอบกันระหว่างเจ้าหน้าที่แน่นอน และรวมถึงการให้คนที่จะเข้ามา
รับราชการได้นั้นต้องผ่านการสอบเข้ามา
การลงโทษคนที่ขัดขืนการรวมอำนาจทางทหารอย่างเด็ดขาด การเผาธงกองทัพต่างๆทิ้ง
เพื่อไม่ต้องการให้มีกองทัพส่วนตัวของขุนนางและราชวงศ์ เพราะซัมบงเล็งเห็นว่าที่โครยอตกต่ำลง
ก็เนื่องมาจากกองทัพส่วนตัวนี่แหละที่เป็นตัวลดจำนวนกองทัพส่วนกลาง ทำให้ไม่มีกำลังมากพอที่จะ
รับมือข้าศึกรอบด้าน แถมเวลายามศึก ขุนนางทุจริตทั้งหลายก็ไม่ปล่อยทหารตนมาง่ายๆอีก
เห็นได้จากที่ฮงอินบังแห่งโครยอคิดแผนชั่วในการยึดครองที่ดินชาวบ้าน ด้วยการส่งทหารของตน
ไปปกป้องชาวบ้านในบริเวณที่มีญี่ปุ่นมาลุกล้ำ แลกกับที่ดินชาวบ้าน เนื่องจากตอนนั้นทรัพย์สินส่วนกลางของ
โครยอร่อยหรอเต็มที่แล้ว ไม่มีที่ดินไปแลกกับทหารขุนนางเป็นการแลกเปลี่ยน คนที่ซวยสุดก็เลยเป็นชาวบ้าน
ซัมบงถามคำถามแทงใจดำของบังวอนว่า "เจ้าก็ไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกับข้าเลยไม่ใช่หรือ?"
"ยังไงเจ้าก็ต้องรวมอำนาจเป็นจุดเดียวแบบข้า เจ้าจะไม่ยอมให้ราชวงศ์มามีอำนาจได้หรอกถ้าเจ้าได้ขึ้นเป็น
กษัตริย์" ท้ายที่สุดแล้วคำตอบที่"ถูก"ที่สุดที่จะถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์คือคำตอบของ"ผู้ที่ชนะ"เท่านั้น
หากบังวอนเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียที บังวอนก็ต้องถูกจารึกว่าเป็น"กบฎบ้าอำนาจ"ผู้ที่เปี่ยมไปด้วย"ความโลภ"
แทนที่ของซัมบง
สุดท้ายแล้วทุกคนต่างก็มีปรารถนาความโลภด้วยกันทั้งนั้น และความปรารถนาของผู้ชนะก็จะได้รับ
การยกย่องในประวัติศาสตร์ว่าเป้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผู้แพ้ทำอะไรก็ดูขี้เหร่ไปเสียหมด การดีเบตของบังวอน
และซัมบงน่าสนใจมากจริงๆ ผมก็เปลี่ยนใจไปมาไม่รู้ว่าใครถูกหรือใครผิดกันแน่ แต่ผมติดใจตรงที่
ซัมบงในเรื่องกล่าวหาว่าบังวอนมีความโลภมีความกระหายอำนาจ แต่บังวอนแทบไม่เคยกล่าวหาซัมบง
ในเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่ต่างคนก็พอๆกัน จะมองว่าซัมบงเป้นคนที่เห็นแต่ความร้ายของฝั่งคนอื่นโดยไม่ดูตัวเอง
หรือจริงๆแล้วในใจบังวอนก็แอบรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไปแย่งประเทศมาจากซัมบงจริงๆก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าสนใจจริงๆ
ถ้ามองในมุมของซัมบง ถ้าโชซอนเป็นประเทศที่วางรากฐานของซัมบง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในไอเดียที่จะใช้
ปูรากฐานไปอีกหลายๆร้อยปี และซัมบงมีความคิดอยากจะให้เสนาบดีเป็นรากของประเทศ แล้วจู่ๆมีคน
ที่มีส่วนที่แทบจะสำคัญที่สุดในการก่อตั้งประเทศ (แต่ก็เป็นวิธีที่ซัมบงไม่เห็นชอบเท่าไหร่ ซัมบงมองว่า
ทำให้เสียแผน)อย่างบังวอนจะมาครอบครองประเทศที่ซัมบงสร้าง ก็เข้าใจซัมบงได้ว่าทำไมถึงมองว่าบังวอน
เป็นฝ่ายโลภ แต่เมื่อครั้งที่ซัมบงจะเปลี่ยนประเทศจากโครยอมานั่นก็ต้องมองว่าซัมบงโลภอยากใช้ไอเดีย
ตัวเองในการเปลี่ยนประเทศไม่ใช่หรือ? ซัมบงหาเหตุผลชอบธรรมในการละทิ้งโครยอ นั่นก็เป็นความโลภ
หรือไม่? ซัมบงพูดถึงประโยชน์ของประชาชน แต่ซัมบงก็ต้องการอำนาจให้ตัวเองเพื่อที่จะได้ใช้ไอเดีย
ตัวเองในการทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่บังวอนหวังให้ประชาชนยิ้มได้
บังวอน ถ้ามองว่าบังวอนจะไปเอาทุกอย่างที่ซัมบงคิดขึ้นมาๆเป็นของตัวเองแต่ไม่ต้องการส่วนที่สำคัญที่สุด
นั่นคือการให้กษัตริย์เป็นยอดของดอกไม้ นั่นเป็นความโลภของบังวอนที่อาจจะขัดขวางการพัฒนาระยะยาวของ
โชซอนหรือไม่ (พอพ้นจากบังวอน ใครจะรับประกันได้ว่ากษัตริย์จะแข็งแกร่งไปตลอด พอถัดจากพระเจ้าเซจง
ก็มีกษัตริย์ขี้โรคอยู่หลายคน) การสังหารโพอึนแม้เป้นสิ่งจำเป็น แต่นั่นทำให้รากฐานเหล่า
บัณฑิตขงจื๊อในโชซอนล้าหลังไปนับร้อยปีใช่หรือไม่? แต่ต้องไม่ลืมว่านั่นเป็นการให้เหตุผลภายใต้หลักการของ
ซัมบงทั้งหมด คิดจนหัวแตกเลยจริงๆ