ไปดูมาแล้ว…
ตื่นเต้นกดดันที่สำคัญหนังทำให้กลัวการอยู่โอทีอย่างแรงงง !!! Office พนักงานดีเดือด (ให้ 8/10)
*****ไม่สปอยล์*****
เป็นที่เลื่องลือกันว่าจริยธรรมในการทำงาน (work ethics) ของคนเกาหลีเน้นการทำงานหนัก และเอาจริงเอาจังเพื่ออนาคตที่สดใส จากปรัชญานี้เองทำให้คนเกาหลีส่วนใหญ่นิยมส่งเสริมการทำงานหนัก หนักเอาเบาสู้ ไม่ว่ากิจการใดที่ยากเย็นแสนเข็ญ หากคนเกาหลีได้ลงมือทำแล้ว มันจะต้องสำเร็จ คนเกาหลีเรียกจริยธรรมในการทำงานแบบนี้ว่า “จิตวิญญาณเราทำได้” (Can-do spirit) ซึ่งนักวิชาการเกาหลีต่างอ้างว่า ปัจจัยด้านจริยธรรมในการทำงานหนักนี้เองที่เป็นผลให้ประเทศเกาหลีได้รับความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในระยะเวลาอันสั้น
.
เพราะฉะนั้นในสังคมเกาหลี การทำงานคือการเอาตัวรอด และเมื่อคุณตกอยู่ในการแข่งขันของเกมการทำงานอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้เพื่อการเอาชนะกัน จนบางทีมันอาจจะเกินกว่าที่ความเครียดของมนุษย์จะรับไหว มันกลายเป็นระบบหนึ่งของสังคมที่ว่า “การทำงาน” คือ “การเอาตัวรอด” และการ “โดนไล่ออก” นั่นหมายถึง “การตาย” นี่คือความเหลื่อมล้ำที่เติบโตขึ้นในสังคมเกาหลีอย่างไม่มีใครรู้ตัว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือสาเหตุของการฆ่าตัวตายมากที่สุดในเกาหลี
.
Office เล่าถึง คิมบยองกุก (แบซองวู) พนักงานฝ่ายขายระดับหัวหน้างาน เขาแทบจะอุทิศทุกอย่างในชีวิตมอบให้กับงาน จนกระทั่งวันหนึ่งความเครียดที่สะสมจากที่ทำงาน ทำให้เขาลงมือฆาตกรรมคนในครอบครัวอย่างเหี้ยม ก่อนจะกลับเข้ามาในที่ทำงานในกลางดึก จากนั้นเป็นต้นมา คิมก็ไม่กลับออกมาจากสำนักงานอีกเลย สร้างความตื่นตระหนกให้ทุกชีวิตในออฟฟิศแห่งนี้เป็นอย่างมาก และระหว่างที่ตำรวจตามหาคิมนั้น พนักงานในบริษัทได้ทยอยตายกันทีละคนๆ อย่างโหดเหี้ยม
.
ก่อนอื่นขอชื่นชมพล็อตเรื่องก่อน มันน่าทึ่งทีเดียวที่เอาเรื่องใกล้ตัวในชีวิตจริงมาทำให้เรารู้สึกกลัวได้มากขนาดนี้ แทบทั้งเรื่องเต็มไปด้วยจิตวิทยาปนอารมณ์ขัน เย้ยหยัน วัฒนธรรมองค์กรได้เจ็บแสบ เข้าใจหัวอกเด็กฝึกงานเลย ไหนจะถูกมองข้าม ไหนจะถูกกดดันจากหัวหน้า ไหนจะแบกความหวังของคนที่บ้านเอาไว้อีก มันเจ็บปวดจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นกับปัจจัยอย่างอื่นด้วย บางคนโชคดี เจอหัวหน้าดี เจอเพื่อนร่วมงานดี ทุกอย่างก็ดีตามไปด้วย แต่ในกรณีหนัง Office นี่โคตรดาร์กและดราม่าควีนมากๆ
.
ชอบมุมกล้องและวิธีการเล่าเรื่อง มันทำให้เราลุ้นระทึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริงๆ ไม่ต้องใช้ซาวน์ทำให้มันตุ้งแช่ให้ตกใจก็สามารถทำให้คนดูอินและลุ้นไปกับหนังตลอดเวลาได้ ปมปัญหาของเรื่องถือว่าโอเคเลยนะ แต่จะมีบางจุดเล็กๆ ที่ดูแล้วมันอาจจะขัดกับปมปัญหาหลักของเรื่องที่สร้างมา แต่ก็ยังไม่น่าเกลียดมากให้อภัยได้
.
ลุงคิดว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้พยายามจะสะท้อนเมสเสจอะไรบางอย่างให้เราได้เห็นถึงชีวิตของชาวออฟฟิศ ซึ่งบอกเลยว่ามันประสบความสำเร็จ ตัวละครทุกตัวที่สร้างมามันคือบุคคลิกนิสัยของคนจริงๆ ที่เราจะได้เจอในที่ทำงานส่วนใหญ่ เพื่อนร่วมงานที่แสนจะประสบสอพลอ เลียทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่รู้ว่าจริงๆ มันเป็นคนหรือเป็นหมากันแน่ หัวหน้าที่ไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเอง ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีผลงานได้หน้า ลูกน้องจะเป็นจะตายยังไง ช่างมัน!! บุคคลเหล่านี้ในสังคมนับวันจะยิ่งมีเยอะนะ
.
'คนประเภทขวานผ่าซาก ตงฉิน และตั้งใจทำงาน' พวกนี้คือคนที่มักจะถูกคนในสังคมออฟฟิศเกลียด ทุกวันนี้เราเชิดชูคนจากอะไร จากผลงานของเขาหรือจากการที่เค้าเลียและมีคอนเนคชั่น การมีคอนเนคชั่นเล่นพวกพ้องไม่ใช่เรื่องผิด ที่ผิดคือการมองสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญจนละเลยในเรื่องของคุณภาพผลงาน สังคมออฟฟิศเป็นสังคมที่มีแต่หมาป่าที่รอคอยขย้ำคนที่อ่อนแอและฉีกเป็นชิ้นๆ ถ้าใครเจอที่ดีก็ดีไป ถ้าใครเจอที่แย่ก็ต้องหาวิธีรับมือกันหน่อย แต่อยากจะให้คิดใหม่ว่า งานไม่ใช่ทุกสิ่งของเรา ทุ่มเทกับมันมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะถึงวันที่เราเป็นอะไรไปยังไงบริษัทก็หาคนใหม่มาแทนเราได้อยู่ดี
.
โดยรวม Office นำเสนอบรรยากาศและการทำงานของผู้คนในที่ทำงานทั่วๆ ไป ผ่านตัวละครซึ่งต่างก็มีเป้าหมายในการทำงานไม่ต่างจากที่เราเจอตามท้องถนน และค่อยๆ แปรสภาพเป็นฉากหลังของความระทึกขวัญอันโหดร้าย นี่ไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างความชั่วและความดี แต่มันเป็นแสงไฟที่ค่อยๆ ฉายให้เห็นการเผชิญหน้ากับความเลวร้าย มันน่าสนใจดีที่เรากำลังสำรวจความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในเราทุกคน Office พนักงานดีเดือด 3 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ปล. หนังเข้าเฉพาะที่ CTW และ Esplanade
https://www.facebook.com/Universalreviews/photos/a.1582452788706269.1073741829.1582134785404736/1683866895231524/?type=3&theater
[SR] ตื่นเต้นกดดันที่สำคัญหนังทำให้กลัวการอยู่โอทีอย่างแรงงง !!! Office พนักงานดีเดือด
ไปดูมาแล้ว…
ตื่นเต้นกดดันที่สำคัญหนังทำให้กลัวการอยู่โอทีอย่างแรงงง !!! Office พนักงานดีเดือด (ให้ 8/10)
*****ไม่สปอยล์*****
เป็นที่เลื่องลือกันว่าจริยธรรมในการทำงาน (work ethics) ของคนเกาหลีเน้นการทำงานหนัก และเอาจริงเอาจังเพื่ออนาคตที่สดใส จากปรัชญานี้เองทำให้คนเกาหลีส่วนใหญ่นิยมส่งเสริมการทำงานหนัก หนักเอาเบาสู้ ไม่ว่ากิจการใดที่ยากเย็นแสนเข็ญ หากคนเกาหลีได้ลงมือทำแล้ว มันจะต้องสำเร็จ คนเกาหลีเรียกจริยธรรมในการทำงานแบบนี้ว่า “จิตวิญญาณเราทำได้” (Can-do spirit) ซึ่งนักวิชาการเกาหลีต่างอ้างว่า ปัจจัยด้านจริยธรรมในการทำงานหนักนี้เองที่เป็นผลให้ประเทศเกาหลีได้รับความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในระยะเวลาอันสั้น
.
เพราะฉะนั้นในสังคมเกาหลี การทำงานคือการเอาตัวรอด และเมื่อคุณตกอยู่ในการแข่งขันของเกมการทำงานอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้เพื่อการเอาชนะกัน จนบางทีมันอาจจะเกินกว่าที่ความเครียดของมนุษย์จะรับไหว มันกลายเป็นระบบหนึ่งของสังคมที่ว่า “การทำงาน” คือ “การเอาตัวรอด” และการ “โดนไล่ออก” นั่นหมายถึง “การตาย” นี่คือความเหลื่อมล้ำที่เติบโตขึ้นในสังคมเกาหลีอย่างไม่มีใครรู้ตัว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือสาเหตุของการฆ่าตัวตายมากที่สุดในเกาหลี
.
Office เล่าถึง คิมบยองกุก (แบซองวู) พนักงานฝ่ายขายระดับหัวหน้างาน เขาแทบจะอุทิศทุกอย่างในชีวิตมอบให้กับงาน จนกระทั่งวันหนึ่งความเครียดที่สะสมจากที่ทำงาน ทำให้เขาลงมือฆาตกรรมคนในครอบครัวอย่างเหี้ยม ก่อนจะกลับเข้ามาในที่ทำงานในกลางดึก จากนั้นเป็นต้นมา คิมก็ไม่กลับออกมาจากสำนักงานอีกเลย สร้างความตื่นตระหนกให้ทุกชีวิตในออฟฟิศแห่งนี้เป็นอย่างมาก และระหว่างที่ตำรวจตามหาคิมนั้น พนักงานในบริษัทได้ทยอยตายกันทีละคนๆ อย่างโหดเหี้ยม
.
ก่อนอื่นขอชื่นชมพล็อตเรื่องก่อน มันน่าทึ่งทีเดียวที่เอาเรื่องใกล้ตัวในชีวิตจริงมาทำให้เรารู้สึกกลัวได้มากขนาดนี้ แทบทั้งเรื่องเต็มไปด้วยจิตวิทยาปนอารมณ์ขัน เย้ยหยัน วัฒนธรรมองค์กรได้เจ็บแสบ เข้าใจหัวอกเด็กฝึกงานเลย ไหนจะถูกมองข้าม ไหนจะถูกกดดันจากหัวหน้า ไหนจะแบกความหวังของคนที่บ้านเอาไว้อีก มันเจ็บปวดจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นกับปัจจัยอย่างอื่นด้วย บางคนโชคดี เจอหัวหน้าดี เจอเพื่อนร่วมงานดี ทุกอย่างก็ดีตามไปด้วย แต่ในกรณีหนัง Office นี่โคตรดาร์กและดราม่าควีนมากๆ
.
ชอบมุมกล้องและวิธีการเล่าเรื่อง มันทำให้เราลุ้นระทึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริงๆ ไม่ต้องใช้ซาวน์ทำให้มันตุ้งแช่ให้ตกใจก็สามารถทำให้คนดูอินและลุ้นไปกับหนังตลอดเวลาได้ ปมปัญหาของเรื่องถือว่าโอเคเลยนะ แต่จะมีบางจุดเล็กๆ ที่ดูแล้วมันอาจจะขัดกับปมปัญหาหลักของเรื่องที่สร้างมา แต่ก็ยังไม่น่าเกลียดมากให้อภัยได้
.
ลุงคิดว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้พยายามจะสะท้อนเมสเสจอะไรบางอย่างให้เราได้เห็นถึงชีวิตของชาวออฟฟิศ ซึ่งบอกเลยว่ามันประสบความสำเร็จ ตัวละครทุกตัวที่สร้างมามันคือบุคคลิกนิสัยของคนจริงๆ ที่เราจะได้เจอในที่ทำงานส่วนใหญ่ เพื่อนร่วมงานที่แสนจะประสบสอพลอ เลียทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่รู้ว่าจริงๆ มันเป็นคนหรือเป็นหมากันแน่ หัวหน้าที่ไม่เคยสนใจใครนอกจากตัวเอง ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีผลงานได้หน้า ลูกน้องจะเป็นจะตายยังไง ช่างมัน!! บุคคลเหล่านี้ในสังคมนับวันจะยิ่งมีเยอะนะ
.
'คนประเภทขวานผ่าซาก ตงฉิน และตั้งใจทำงาน' พวกนี้คือคนที่มักจะถูกคนในสังคมออฟฟิศเกลียด ทุกวันนี้เราเชิดชูคนจากอะไร จากผลงานของเขาหรือจากการที่เค้าเลียและมีคอนเนคชั่น การมีคอนเนคชั่นเล่นพวกพ้องไม่ใช่เรื่องผิด ที่ผิดคือการมองสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญจนละเลยในเรื่องของคุณภาพผลงาน สังคมออฟฟิศเป็นสังคมที่มีแต่หมาป่าที่รอคอยขย้ำคนที่อ่อนแอและฉีกเป็นชิ้นๆ ถ้าใครเจอที่ดีก็ดีไป ถ้าใครเจอที่แย่ก็ต้องหาวิธีรับมือกันหน่อย แต่อยากจะให้คิดใหม่ว่า งานไม่ใช่ทุกสิ่งของเรา ทุ่มเทกับมันมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะถึงวันที่เราเป็นอะไรไปยังไงบริษัทก็หาคนใหม่มาแทนเราได้อยู่ดี
.
โดยรวม Office นำเสนอบรรยากาศและการทำงานของผู้คนในที่ทำงานทั่วๆ ไป ผ่านตัวละครซึ่งต่างก็มีเป้าหมายในการทำงานไม่ต่างจากที่เราเจอตามท้องถนน และค่อยๆ แปรสภาพเป็นฉากหลังของความระทึกขวัญอันโหดร้าย นี่ไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างความชั่วและความดี แต่มันเป็นแสงไฟที่ค่อยๆ ฉายให้เห็นการเผชิญหน้ากับความเลวร้าย มันน่าสนใจดีที่เรากำลังสำรวจความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในเราทุกคน Office พนักงานดีเดือด 3 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ปล. หนังเข้าเฉพาะที่ CTW และ Esplanade
https://www.facebook.com/Universalreviews/photos/a.1582452788706269.1073741829.1582134785404736/1683866895231524/?type=3&theater