สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 58
มีคนส่งข่าว ปลอบใจ ชวนให้ประมาท
ว่าปีนี้ยังมีน้ำที่สามารถส่งมาสมทบได้จากอีกสองเขื่อน
คือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ลพบุรี กับเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน พิษณุโลก
เอาอย่างนี้ เรามาข้อมูลตัวเลขจริง ๆ มาคำนวนกันเลย
ปีนี้สองเขื่อนนี้ มีน้ำกักเก็บที่เหลือให้ใช้ได้
รวมกันแล้วคือ (ปัดเลขกลมๆ) 400 + 300 = 700 ล้าน ลบ.ม.
ในขณะที่ปีนี้ สองเขื่อนหลักสำคัญคือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์
มีน้ำเหลืออยู่ น้อยกว่าปีก่อนทั้งคู่ คือ...
เขื่อนภูมิพล วันนี้มีน้ำเหลือให้ใช้ได้อีกแค่ 844 ล้าน ลบ.ม.
แต่วันเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว เขื่อนมีน้ำที่ใช้ได้ 2,004 ล้าน ลบ.ม.
(2,004 - 844 = ปริมาณน้ำเก็บปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อน 1,160 ล้าน ลบ.ม.)
เขื่อนสิริกิติ์ วันนี้มีน้ำเหลือให้ใช้ได้อีก 1,511 ล้าน ลบ.ม.
แต่ในปีที่แล้ว เขื่อนมีน้ำที่ใช้ได้อยู่ 2,689 ล้าน ลบ.ม.
(2,689 - 1,511 = ปริมาณน้ำกักเก็บปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อน 1,178 ล้าน ลบ.ม.)
เอาปริมาณน้ำกักเก็บ ที่กักเก็บได้ลดลงจากปีก่อน ของสองเขื่อนใหญ่รวมกัน
1,160+1,178 = เหลือน้ำเก็บอยู่น้อยลงกว่าปีก่อน 2,338 ล้าน ลบ.ม.
ปีนี้น้ำต้นทุนในเขื่อนหลักทั้งสอง น้อยลงกว่าปีก่อนถึง 2,338 ล้าน ลบ.ม. !!
น้ำต้นทุนที่มีลดลงกว่าปีก่อนนี้ คิดเป็นปริมาณน้ำหายไปที่มากเกินกว่าจะเอาน้ำจากสองเขื่อนรวมกันแล้วมาเทียบได้
คือน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กับเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ที่รวมกันแล้วยังได้แค่ 700 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น
แถมตอนปล่อยน้ำตามปกติ ทุกปี ๆ สองเขื่อนนี้ก็ส่งน้ำให้ แทบจะเอาตัวไม่รอดกันอยู่แล้ว
จะให้ไปเสกน้ำจำนวนมหาศาลจากที่ไหนมาปล่อยน้ำชดเชย ทำหน้าที่แทนเขื่อนหลักได้เล่า
แล้วถ้าปีนี้ เป็นเหมือนกับปีที่ผ่านมาล่ะ ?
คือฝนก็ตกช้า ต้องรอถึงปลายเดือน กค. จึงค่อยมีน้ำฝนชุดใหม่เข้ามาเติมอีก
เรียกว่าขนาดในปีที่แล้วมีน้ำกักเก็บอยู่ มากกว่าปีนี้ถึง 2,338 ล้าน ลบ.ม.
เราก็ยังต้องเจอกับภัยแล้งที่รุนแรงและกว้างขวางมาก
เขื่อนต่าง ๆ ต้องปล่อยน้ำออกเพื่อสู้กับภัยแล้งกันอย่างหนักหน่วง
หนักขนาดที่ว่าเขื่อนหลักทั้งสอง เหลือปริมาณน้ำกักเก็บให้ใช้ได้อีกเพียงแค่ 1.2% กับ 3.9% เท่านั้น
ป่าสักชลสิทธิ์ กับ แควน้อยบำรุงแดน เมื่อปีที่แล้วก็มีน้ำอยู่มากกว่าปีนี้
ทั้งสองเขื่อนก็ต้องปล่อยน้ำออกมา จนแทบเกลี้ยงเขื่อนเช่นกัน
ไม่ใช่ว่ามีน้ำจากเขื่อนหลักส่งมา แล้วสองเขื่อนนี้จะเก็บน้ำอยู่เฉย ๆ ได้ซะที่ไหน
แถมปล่อยน้ำออกมาเท่าไหร่ ก็มักมาไม่ค่อยไหลไปถึงคนปลายน้ำด้วย
เพราะตลอดเส้นทางที่น้ำผ่าน ก็มีแต่ผู้คนที่กำลังโดนภัยแล้งกันอย่างหนัก
จึงมีการดูดเอาน้ำออกไปใช้กันระหว่างทางซะโดยมากอีก
สามารถย้อนหลังไปตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้
http://www.nhc.in.th/web/index.php?model=dam
------------------------------------
ฉะนั้นภัยแล้งปีนี้ สาหัสแน่นอน
จะต้องมีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
(ยังไม่พูดถึงอนาคต ถ้าปีนี้ฝนตกน้อยกว่าที่คาดอีก)
จึงต้องพยายามมาเตือนกันไว้ เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตทุกๆคนจริงๆ
เมืองหลวง และรอบปริมณฑล มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับผลกระทบในปีนี้
แต่จะกระทบมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับธรรมชาติว่าจะปราณีมีฝนมาตกให้ก่อนเวลาแค่ไหน
แล้วส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการบริหารน้ำในส่วนที่ยังพอมีอยู่นี้ว่าทำได้ดีเพียงใด
และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คืออยู่ที่ตัวของแต่ละคนแต่ละท่านเอง
ว่าในเมื่อมีข้อมูลทุกอย่างก็มี สามารถทำนายถึงอนาคตล่วงหน้าได้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว
เราจะยังทำตัวทอดหุ่ย ประมาท คิดว่าเรื่องนี้มันหลอกเด็กที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง
หรือว่าจะเกิดความใส่ใจ คิดตระเตรียมเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้งปีนี้ซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้
เตรียมตัวซะตั้งแต่ยังหาน้ำสะอาดได้ง่าย ไม่ขาดแคลนนี่แหละ
ว่าปีนี้ยังมีน้ำที่สามารถส่งมาสมทบได้จากอีกสองเขื่อน
คือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ลพบุรี กับเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน พิษณุโลก
เอาอย่างนี้ เรามาข้อมูลตัวเลขจริง ๆ มาคำนวนกันเลย
ปีนี้สองเขื่อนนี้ มีน้ำกักเก็บที่เหลือให้ใช้ได้
รวมกันแล้วคือ (ปัดเลขกลมๆ) 400 + 300 = 700 ล้าน ลบ.ม.
ในขณะที่ปีนี้ สองเขื่อนหลักสำคัญคือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์
มีน้ำเหลืออยู่ น้อยกว่าปีก่อนทั้งคู่ คือ...
เขื่อนภูมิพล วันนี้มีน้ำเหลือให้ใช้ได้อีกแค่ 844 ล้าน ลบ.ม.
แต่วันเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว เขื่อนมีน้ำที่ใช้ได้ 2,004 ล้าน ลบ.ม.
(2,004 - 844 = ปริมาณน้ำเก็บปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อน 1,160 ล้าน ลบ.ม.)
เขื่อนสิริกิติ์ วันนี้มีน้ำเหลือให้ใช้ได้อีก 1,511 ล้าน ลบ.ม.
แต่ในปีที่แล้ว เขื่อนมีน้ำที่ใช้ได้อยู่ 2,689 ล้าน ลบ.ม.
(2,689 - 1,511 = ปริมาณน้ำกักเก็บปีนี้มีน้อยกว่าปีก่อน 1,178 ล้าน ลบ.ม.)
เอาปริมาณน้ำกักเก็บ ที่กักเก็บได้ลดลงจากปีก่อน ของสองเขื่อนใหญ่รวมกัน
1,160+1,178 = เหลือน้ำเก็บอยู่น้อยลงกว่าปีก่อน 2,338 ล้าน ลบ.ม.
ปีนี้น้ำต้นทุนในเขื่อนหลักทั้งสอง น้อยลงกว่าปีก่อนถึง 2,338 ล้าน ลบ.ม. !!
น้ำต้นทุนที่มีลดลงกว่าปีก่อนนี้ คิดเป็นปริมาณน้ำหายไปที่มากเกินกว่าจะเอาน้ำจากสองเขื่อนรวมกันแล้วมาเทียบได้
คือน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กับเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ที่รวมกันแล้วยังได้แค่ 700 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น
แถมตอนปล่อยน้ำตามปกติ ทุกปี ๆ สองเขื่อนนี้ก็ส่งน้ำให้ แทบจะเอาตัวไม่รอดกันอยู่แล้ว
จะให้ไปเสกน้ำจำนวนมหาศาลจากที่ไหนมาปล่อยน้ำชดเชย ทำหน้าที่แทนเขื่อนหลักได้เล่า
แล้วถ้าปีนี้ เป็นเหมือนกับปีที่ผ่านมาล่ะ ?
คือฝนก็ตกช้า ต้องรอถึงปลายเดือน กค. จึงค่อยมีน้ำฝนชุดใหม่เข้ามาเติมอีก
เรียกว่าขนาดในปีที่แล้วมีน้ำกักเก็บอยู่ มากกว่าปีนี้ถึง 2,338 ล้าน ลบ.ม.
เราก็ยังต้องเจอกับภัยแล้งที่รุนแรงและกว้างขวางมาก
เขื่อนต่าง ๆ ต้องปล่อยน้ำออกเพื่อสู้กับภัยแล้งกันอย่างหนักหน่วง
หนักขนาดที่ว่าเขื่อนหลักทั้งสอง เหลือปริมาณน้ำกักเก็บให้ใช้ได้อีกเพียงแค่ 1.2% กับ 3.9% เท่านั้น
ป่าสักชลสิทธิ์ กับ แควน้อยบำรุงแดน เมื่อปีที่แล้วก็มีน้ำอยู่มากกว่าปีนี้
ทั้งสองเขื่อนก็ต้องปล่อยน้ำออกมา จนแทบเกลี้ยงเขื่อนเช่นกัน
ไม่ใช่ว่ามีน้ำจากเขื่อนหลักส่งมา แล้วสองเขื่อนนี้จะเก็บน้ำอยู่เฉย ๆ ได้ซะที่ไหน
แถมปล่อยน้ำออกมาเท่าไหร่ ก็มักมาไม่ค่อยไหลไปถึงคนปลายน้ำด้วย
เพราะตลอดเส้นทางที่น้ำผ่าน ก็มีแต่ผู้คนที่กำลังโดนภัยแล้งกันอย่างหนัก
จึงมีการดูดเอาน้ำออกไปใช้กันระหว่างทางซะโดยมากอีก
สามารถย้อนหลังไปตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้
http://www.nhc.in.th/web/index.php?model=dam
------------------------------------
ฉะนั้นภัยแล้งปีนี้ สาหัสแน่นอน
จะต้องมีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
(ยังไม่พูดถึงอนาคต ถ้าปีนี้ฝนตกน้อยกว่าที่คาดอีก)
จึงต้องพยายามมาเตือนกันไว้ เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตทุกๆคนจริงๆ
เมืองหลวง และรอบปริมณฑล มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับผลกระทบในปีนี้
แต่จะกระทบมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับธรรมชาติว่าจะปราณีมีฝนมาตกให้ก่อนเวลาแค่ไหน
แล้วส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการบริหารน้ำในส่วนที่ยังพอมีอยู่นี้ว่าทำได้ดีเพียงใด
และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คืออยู่ที่ตัวของแต่ละคนแต่ละท่านเอง
ว่าในเมื่อมีข้อมูลทุกอย่างก็มี สามารถทำนายถึงอนาคตล่วงหน้าได้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว
เราจะยังทำตัวทอดหุ่ย ประมาท คิดว่าเรื่องนี้มันหลอกเด็กที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง
หรือว่าจะเกิดความใส่ใจ คิดตระเตรียมเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้งปีนี้ซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้
เตรียมตัวซะตั้งแต่ยังหาน้ำสะอาดได้ง่าย ไม่ขาดแคลนนี่แหละ
ความคิดเห็นที่ 56
เชื่อ-ไม่เชื่อ จะมาเถียงกันทำไม
ผมไม่พูดถึงการเมือง หรืออะไรก็ตาม
เขามาบอกตามหลักวิชาการ เผื่อว่ามันจะเกิดได้
ถ้ามันไม่เกิดก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดก็เท่ากับเตรียมตัวไว้ดีแล้ว จะได้ไม่ลำบากตอนเกิด
ตอนปี54 เห็นหลายๆคนบอกว่าจะไม่ท่วมถึงกทม.
แต่พ่อ-แม่ผม เชื่อในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก่อน ทยอยสำรองอาหารตั้งแต่ประตูน้ำที่ลพบุรีแตก กรองน้ำเก็บไว้เยอะมาก
ตอนน้ำท่วมถึงรังสิต บ้านผมทยอยขนของขึ้นชั้น2
ตอนน้ำมาถึงดอนเมือง บ้านผมพร้อมรับทุกสถานการณ์แล้ว
ถึงโชคดีที่ว่าบ้านผมถมสูง1.5เมตร(เอาไว้จอดรถ) น้ำเลยไม่ท่วมถึงชั้น1 ถึงแค่บางส่วนของครัวเท่านั้น(ครัวผมต่ำว่าชั้น1ประมาณ 30เซ็น)
ตอนนั้น คนอื่นๆหากินไข่เจียวกับข้าวยังยาก แต่บ้านผมได้กินทุกอย่างที่อยากกิน แม้แต่พลาสต้า เสต็ก ก็ยังมีให้กิน เพราะสำรองไว้
ตอนนั้น คนอื่นๆต้องมาขอน้ำสะอาดที่บ้านผมกรองเอาไว้
ผมนอนดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมได้อย่างสบายใจ แต่เพื่อนบ้านกับต้องนอนชั้น2มองดูข้าวของจมน้ำ
คิดเอาเองนะครับ ระหว่างเตรียมตัวกับไม่เตรียมตัวมันต่างกันอย่างไร
ขอบคุณจขกท.ที่เอามาเตือนครับ
ผมไม่พูดถึงการเมือง หรืออะไรก็ตาม
เขามาบอกตามหลักวิชาการ เผื่อว่ามันจะเกิดได้
ถ้ามันไม่เกิดก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดก็เท่ากับเตรียมตัวไว้ดีแล้ว จะได้ไม่ลำบากตอนเกิด
ตอนปี54 เห็นหลายๆคนบอกว่าจะไม่ท่วมถึงกทม.
แต่พ่อ-แม่ผม เชื่อในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก่อน ทยอยสำรองอาหารตั้งแต่ประตูน้ำที่ลพบุรีแตก กรองน้ำเก็บไว้เยอะมาก
ตอนน้ำท่วมถึงรังสิต บ้านผมทยอยขนของขึ้นชั้น2
ตอนน้ำมาถึงดอนเมือง บ้านผมพร้อมรับทุกสถานการณ์แล้ว
ถึงโชคดีที่ว่าบ้านผมถมสูง1.5เมตร(เอาไว้จอดรถ) น้ำเลยไม่ท่วมถึงชั้น1 ถึงแค่บางส่วนของครัวเท่านั้น(ครัวผมต่ำว่าชั้น1ประมาณ 30เซ็น)
ตอนนั้น คนอื่นๆหากินไข่เจียวกับข้าวยังยาก แต่บ้านผมได้กินทุกอย่างที่อยากกิน แม้แต่พลาสต้า เสต็ก ก็ยังมีให้กิน เพราะสำรองไว้
ตอนนั้น คนอื่นๆต้องมาขอน้ำสะอาดที่บ้านผมกรองเอาไว้
ผมนอนดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมได้อย่างสบายใจ แต่เพื่อนบ้านกับต้องนอนชั้น2มองดูข้าวของจมน้ำ
คิดเอาเองนะครับ ระหว่างเตรียมตัวกับไม่เตรียมตัวมันต่างกันอย่างไร
ขอบคุณจขกท.ที่เอามาเตือนครับ
ความคิดเห็นที่ 55
จริงๆ ไม่ใช่แค่ ดร.สมิทธ ที่เตือน
วิศวกร Team Group เขาก็เตือนมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ออกทีวีด้วยครับ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะเพิ่งจะหมดหน้าฝน น้ำในเขื่อนยัง 11% และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งท่องกันแต่เด็กว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มันจะเป็นไปได้ไงที่น้ำประปาจะหยุดไหล
หน่วยงานอุตุของตปท. เขาก็ทำนายมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วว่า หนังยาว

- El Niño รอบนี้รุนแรงเป็นประวัติการณ์ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย จะเจอกับอากาศร้อนและแล้งกว่าปกติ
- ภาวะแล้ง จะกินเวลานานไปถึง มิ.ย. 2559 เท่ากับเหลือเวลาอีกถึง 6 เดือนกว่าฤดูมรสุมจะมาตามปกติ

- ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะลำบากกว่าทุกภาค ภาคใต้และต.อ.ไม่มีปัญหาแน่นอน ภาคเหนือ-อีสาน ผู้คนอยู่กับความแห้งแล้งจนชิน ปรับตัวได้ แต่คนภาคกลางและกทม.อยู่กับความอุดมสมบูรณ์มาตลอด ชาวนาเคยทำนาปรังได้เพราะน้ำเหลือเฟือ คนเมืองเปิดก๊อกก็มีน้ำ ค่าน้ำแสนถูก คราวนี้จะได้เจอกับวิกฤต
- ปี 58 ที่บ่นว่าแล้งๆๆ แค่น้ำจิ้ม นี่เป็นภาพเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์น้ำประปาหยุดไหลกะทันหัน ในพื้นที่บางส่วนของจ.ปทุมธานีเป็นเวลาเกือบๆ 1 วัน แค่นี้ก็เดือดร้อนสาหัสแล้ว


- เพราะว่าเราเริ่มต้นฤดูแล้งรอบนี้ด้วยน้ำต้นทุนที่น้อยกว่าปลายปี 57 ถึงครึ่ง

- ยังมีการตัดไม้ทำลายป่าไม่หยุดหย่อน (โปรดไปดูในคลิปว่าร้ายแรงขนาดไหน) ถึงขนาดภายใต้ร่องมรสุมเดียวกันที่พาดผ่าน แพร่ น่าน ที่ติดกับลาว ฆั่งลาวมีฝนเพราะมีป่าไม้เหลือบ้าง แต่ฝั่งไทยกลายเป็นภูเขาทราย
- เมืองขยายตัว คนต้องใช้น้ำมากขึ้น, โรงงานต้องใช้น้ำ เพื่อการผลิต เพราะถ้าผลิตไม่ได้ ก็กระทบการจ้างงานและ GDP
- เกษตรกรภาคกลางจะทำนาท่าเดียว ไม่เชื่อคำเตือนและคำสั่งรัฐบาล ไม่ทำแก้มลิงของตัวเอง หวังของฟรีจากชลประทาน, คนเมืองก็ใช้น้ำตะบี้ตะบัน ไม่รู้ค่า เพราะค่าน้ำถูก ไม่มีการหมุนเวียนน้ำมาใช้ืเปิดน้ำก๊อกแต่ละครั้ง ล้างจาน ซักผ้า อาบน้ำ ล้างรถ ฯลฯ ใช้จริงอาจจะแค่ 30% ที่เหลือก็ระบายลงท่อ
ที่เหลือไปติดตามต่อในคลิปวิดิโอครับ
http://ppantip.com/topic/34601786
วิศวกร Team Group เขาก็เตือนมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ออกทีวีด้วยครับ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะเพิ่งจะหมดหน้าฝน น้ำในเขื่อนยัง 11% และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งท่องกันแต่เด็กว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มันจะเป็นไปได้ไงที่น้ำประปาจะหยุดไหล
หน่วยงานอุตุของตปท. เขาก็ทำนายมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วว่า หนังยาว

- El Niño รอบนี้รุนแรงเป็นประวัติการณ์ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย จะเจอกับอากาศร้อนและแล้งกว่าปกติ
- ภาวะแล้ง จะกินเวลานานไปถึง มิ.ย. 2559 เท่ากับเหลือเวลาอีกถึง 6 เดือนกว่าฤดูมรสุมจะมาตามปกติ

- ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะลำบากกว่าทุกภาค ภาคใต้และต.อ.ไม่มีปัญหาแน่นอน ภาคเหนือ-อีสาน ผู้คนอยู่กับความแห้งแล้งจนชิน ปรับตัวได้ แต่คนภาคกลางและกทม.อยู่กับความอุดมสมบูรณ์มาตลอด ชาวนาเคยทำนาปรังได้เพราะน้ำเหลือเฟือ คนเมืองเปิดก๊อกก็มีน้ำ ค่าน้ำแสนถูก คราวนี้จะได้เจอกับวิกฤต
- ปี 58 ที่บ่นว่าแล้งๆๆ แค่น้ำจิ้ม นี่เป็นภาพเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์น้ำประปาหยุดไหลกะทันหัน ในพื้นที่บางส่วนของจ.ปทุมธานีเป็นเวลาเกือบๆ 1 วัน แค่นี้ก็เดือดร้อนสาหัสแล้ว


- เพราะว่าเราเริ่มต้นฤดูแล้งรอบนี้ด้วยน้ำต้นทุนที่น้อยกว่าปลายปี 57 ถึงครึ่ง

- ยังมีการตัดไม้ทำลายป่าไม่หยุดหย่อน (โปรดไปดูในคลิปว่าร้ายแรงขนาดไหน) ถึงขนาดภายใต้ร่องมรสุมเดียวกันที่พาดผ่าน แพร่ น่าน ที่ติดกับลาว ฆั่งลาวมีฝนเพราะมีป่าไม้เหลือบ้าง แต่ฝั่งไทยกลายเป็นภูเขาทราย
- เมืองขยายตัว คนต้องใช้น้ำมากขึ้น, โรงงานต้องใช้น้ำ เพื่อการผลิต เพราะถ้าผลิตไม่ได้ ก็กระทบการจ้างงานและ GDP
- เกษตรกรภาคกลางจะทำนาท่าเดียว ไม่เชื่อคำเตือนและคำสั่งรัฐบาล ไม่ทำแก้มลิงของตัวเอง หวังของฟรีจากชลประทาน, คนเมืองก็ใช้น้ำตะบี้ตะบัน ไม่รู้ค่า เพราะค่าน้ำถูก ไม่มีการหมุนเวียนน้ำมาใช้ืเปิดน้ำก๊อกแต่ละครั้ง ล้างจาน ซักผ้า อาบน้ำ ล้างรถ ฯลฯ ใช้จริงอาจจะแค่ 30% ที่เหลือก็ระบายลงท่อ
ที่เหลือไปติดตามต่อในคลิปวิดิโอครับ
http://ppantip.com/topic/34601786
แสดงความคิดเห็น
สมิทธ เตือน คนกรุงเทพ จะไม่มีน้ำกิน-น้ำใช้ เดือนหน้า-เมษา 2559
"จะเห็นว่าน้ำในแม่น้ำลำคลองสายหลักแห้งขอด เขื่อนใหญ่ปล่อยน้ำมาก็โดนสูบกลางทาง ไม่พอผลักดันน้ำเค็ม ตอนนี้น้ำเจ้าพระยาเป็นน้ำกร่อยแล้วมาถึงสะพานพุทธ คลองต่างๆ ใน กทม.ปิดปากคลองแล้ว ป้องกันน้ำเค็มเข้า แต่ทางรัฐบาลยังไม่ยอมบอกความจริงกับประชาชน ตรงนี้ตนเห็นว่าเป็นห้วงเวลาวิกฤตสุดแล้ว จึงออกมาเตือนให้เตรียมช่วยตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งหน่วยงานรัฐ เพราะถึงเวลาทุกคนไม่มีน้ำกิน จะเกิดโกลาหลจนรัฐบาลไม่สามารถช่วยใครได้" นายสมิทธ กล่าว
นายสมิทธ กล่าวต่อว่า น้ำในเขื่อนไม่พอใช้แน่นอน ภัยแล้งยังอีกนานจากปรากฏการณ์เอลนีโญมีอยู่ แต่ทั้งการไฟฟ้า กรมชลฯ ยืนยันว่ามีน้ำ แต่ไม่เคยไปตรวจวัดว่ามีน้ำจริงๆ เท่าไหร่ เพราะใต้น้ำมีตะกอนมากมาย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ สร้างมา 60 กว่าปี มีตะกอนจำนวนมหาศาล และเป็นระดับน้ำตาย เอาน้ำมาใช้ไม่ได้ ทุกเขื่อนเป็นแบบนั้น ไม่มีน้ำจริงตามที่คาดไว้ ปัญหาตอนนี้น้ำเค็มรุกเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง ท่าจีน กำลังมีปัญหาชาวบ้านร้องเรียนมากันมากเรื่องน้ำเค็มลาม ใช้รดสวนทุเรียน สวนส้ม เลี้ยงปลากระชังตายไปเยอะแยะ แต่ราชการปิดข่าว กลัวคนแตกตื่นไม่กล้าบอกความจริง ตนเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะขณะนี้น้ำเค็มกำลังขึ้นมาเรื่อยๆ น้ำจืดไม่มีไปไล่
นายสมิทธ กล่าวต่อไปว่า ที่รัฐบาลไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวคนดักสูบน้ำไปกักเก็บไว้ แต่ในเดือนสองเดือนหน้าน้ำปะปามีปัญหาแน่ ไม่ปล่อย 24 ชั่วโมง จะปล่อยบางเวลา คน กทม.ควรมีถังน้ำสำรอง เก็บน้ำไว้กินก่อน ตอนนี้ทางกรมชลฯ ยังไม่มีแผนสำรองอะไร ตามหลักวิชาการต้องห้ามทำนาปรัง และพืชไร่ ต้องหยุดน้ำไปทำการเกษตรทั้งหมดให้ได้ เก็บน้ำไว้กินไว้ใช้ก่อน เพราะความแห้งแล้งร้อนมากทำให้การระเหยน้ำมีมากขึ้น
"เตือนประชาชน เวลานี้จะมีความกดอากาศสูง ปะทะความแห้งแล้ง มีพายุฤดูร้อน ทำให้มีฝนตก 20 - 30 นาที หาที่รองน้ำฝนเก็บน้ำไว้กินได้ ล้างหลังคาให้สะอาด เก็บน้ำไว้ใข้ อย่าไปหวังพึ่งน้ำปะปา น้ำบาดาล ไม่มีน้ำพอ ต้องช่วยตัวเอง จะเกิดโกลาหล ขาดน้ำทั้งประเทศ เม.ย.หนักมากที่สุด วิกฤตภัยแล้งยิ่งกว่าไม่มีข้าวจะกิน สัตว์เลี้ยงจะตาย คนขาดน้ำยิ่งกว่าขาดอาหารอย่างอื่น ตอนนี้รู้ว่ากรมชลฯ ผันน้ำจากแม่กลอง เขื่อนศรีนครินทร์ มาช่วย แต่ไม่พอเลี้ยงคนกรุงเทพฯ กว่า 10 ล้านคน ในช่วงแล้งนี้ถึงเดือน พ.ค." นายสมิทธ กล่าว
http://www.naewna.com/local/203775