เห็นประเด็นปัญหาในหมู่ชาวพุทธในขณะนี้แล้ว
ขอบอกว่าเป็น "เรื่องเล็กมาก"
เมื่อเทียบกับกรณีสิกขาบทเล็กน้อยในสมัยพุทธกาล
"ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ชี้แจงต่อพระเถระทั้งหลายว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า
ดูกรอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
พระเถระทั้งหลายถามว่า ท่านพระอานนท์ ก็ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคหรือเปล่าว่า
พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ท่านพระอานนท์ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฏิเทสนียะ ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ฯ"
จะเห็นว่าพระเถระท่านมีความเห็นต่างกันเป็น ๖ กลุ่ม
ผมขอบอกก่อนเลยว่า "พระเถระ" ในที่นี้คือ
พระอรหันต์ ๕๐๐ รูปที่พระมหากัสสปะคัดเลือกให้เข้าร่วมสังคายนาครั้งที่ ๑
เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดพระอรหันต์ในยุคนั้น
เมื่อความเห็นพระอรหันต์ไม่ตรงกันเช่นนี้
พระมหากัสสปะท่านจึงเสนอไม่ให้มีการเพิ่มหรือลดสิกขาบทใดๆ ทั้งสิ้น
และพระเถระทั้ง ๕๐๐ มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของท่าน
นี้จึงเป็นต้นกำเนิดและที่มาของฝ่ายเถรวาท
คือถือเอาตามมติพระเถระ ๕๐๐ รูปในครั้งนั้น
จึงทำให้พระพุทธศาสนาเถรวาทสืบทอดยาวนาน
เราท่านทั้งหลายจึงได้อาศัยเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ความร่มเย็นทางจิตใจมาจนทุกวันนี้
=====
ผมขออนุญาตตั้งข้อสังเกตบางประการ
ด้วยความน้อมนอบและเคารพต่อพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกเหนือเศียรเกล้า
เผื่อว่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับวิญญูชนชาวพุทธในยุค พ.ศ. นี้
ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วจะเห็นว่า...
๑. พุทธประสงค์ คือ สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอน "สิกขาบทเล็กน้อย" เสียก็ได้
๒. มติพระเถระถือว่าไม่ตรงตามพุทธประสงค์เสียทีเดียว
๓. แม้พระอรหันต์เองก็ยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย
ที่น่าตกใจคือ
เรื่องการรับเงินทองที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ในตอนนี้
มีพระอรหันต์บางรูปในครั้งนั้นเห็นว่าเป็นเพียงสิกขาบทเล็กน้อยที่พึงถอนได้ด้วย
หรือยิ่งไปกว่านั้น
พระอรหันต์บางรูปเห็นถึงขนาดที่ว่าสังฆาทิเสสก็เป็นสิกขาบทเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
ไม่อยากคิดเลยว่า
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคโซเซียลแล้ว
อะไรจะเกิดขึ้น?
พระอรหันต์ท่านอาจจะไม่รอดพ้นจากการโจมตีว่าร้ายต่างๆ นานาก็ได้
ดีไม่ดีพระมหากัสสปะเองก็อาจถูกโจมตีว่าร้ายว่าไม่ยอมทำตามพุทธประสงค์ก็ได้
=====
ชาวพุทธเราถึงแนวปฏิบัติจะต่างกันบ้าง ความเห็นจะต่างกันบ้าง
แต่ถ้าถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้ก็น่าจะดีนะครับ
หรือว่ายุคนี้... ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็คงไม่วายถูกด่า
ขอบอกว่าเป็น "เรื่องเล็กมาก"
เมื่อเทียบกับกรณีสิกขาบทเล็กน้อยในสมัยพุทธกาล
"ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ชี้แจงต่อพระเถระทั้งหลายว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า
ดูกรอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
พระเถระทั้งหลายถามว่า ท่านพระอานนท์ ก็ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคหรือเปล่าว่า
พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ท่านพระอานนท์ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฏิเทสนียะ ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ฯ"
จะเห็นว่าพระเถระท่านมีความเห็นต่างกันเป็น ๖ กลุ่ม
ผมขอบอกก่อนเลยว่า "พระเถระ" ในที่นี้คือ
พระอรหันต์ ๕๐๐ รูปที่พระมหากัสสปะคัดเลือกให้เข้าร่วมสังคายนาครั้งที่ ๑
เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดพระอรหันต์ในยุคนั้น
เมื่อความเห็นพระอรหันต์ไม่ตรงกันเช่นนี้
พระมหากัสสปะท่านจึงเสนอไม่ให้มีการเพิ่มหรือลดสิกขาบทใดๆ ทั้งสิ้น
และพระเถระทั้ง ๕๐๐ มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของท่าน
นี้จึงเป็นต้นกำเนิดและที่มาของฝ่ายเถรวาท
คือถือเอาตามมติพระเถระ ๕๐๐ รูปในครั้งนั้น
จึงทำให้พระพุทธศาสนาเถรวาทสืบทอดยาวนาน
เราท่านทั้งหลายจึงได้อาศัยเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ความร่มเย็นทางจิตใจมาจนทุกวันนี้
=====
ผมขออนุญาตตั้งข้อสังเกตบางประการ
ด้วยความน้อมนอบและเคารพต่อพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกเหนือเศียรเกล้า
เผื่อว่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับวิญญูชนชาวพุทธในยุค พ.ศ. นี้
ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วจะเห็นว่า...
๑. พุทธประสงค์ คือ สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอน "สิกขาบทเล็กน้อย" เสียก็ได้
๒. มติพระเถระถือว่าไม่ตรงตามพุทธประสงค์เสียทีเดียว
๓. แม้พระอรหันต์เองก็ยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย
ที่น่าตกใจคือ
เรื่องการรับเงินทองที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ในตอนนี้
มีพระอรหันต์บางรูปในครั้งนั้นเห็นว่าเป็นเพียงสิกขาบทเล็กน้อยที่พึงถอนได้ด้วย
หรือยิ่งไปกว่านั้น
พระอรหันต์บางรูปเห็นถึงขนาดที่ว่าสังฆาทิเสสก็เป็นสิกขาบทเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
ไม่อยากคิดเลยว่า
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคโซเซียลแล้ว
อะไรจะเกิดขึ้น?
พระอรหันต์ท่านอาจจะไม่รอดพ้นจากการโจมตีว่าร้ายต่างๆ นานาก็ได้
ดีไม่ดีพระมหากัสสปะเองก็อาจถูกโจมตีว่าร้ายว่าไม่ยอมทำตามพุทธประสงค์ก็ได้
=====
ชาวพุทธเราถึงแนวปฏิบัติจะต่างกันบ้าง ความเห็นจะต่างกันบ้าง
แต่ถ้าถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้ก็น่าจะดีนะครับ