กระทู้เก่า
https://ppantip.com/topic/43026178
จากข้อความที่ Higlight กับข้อมูลที่ได้มาด้านล่าง
อานนท์ ! ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย
ธรรมและวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา...
อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า “ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา” ดังนี้.
อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น.
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.
อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่.
อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล.
( มหา. ที. ๑๐/๑๗๘/๑๔๑. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๗/๗๔๐.)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทรงห้ามบัญญัติเพิ่มหรือตัดทอนสิ่งที่บัญญัติไว้
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว อย่างเคร่งครัดอยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความ
เสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
- มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที.๑๐/๘๙/๖๙
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระภิกษุทุกรูป ทุกยุคทุกสมัย จะต้องสมาทานศึกษาน้อมประพฤติตามในสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ กล่าวคือ ไม่กระทำในสิ่งที่ผิด และ น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น จะไม่มีการบัญญัติเพิ่ม และ ไม่มีการถอนสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว ซึ่งจะต้องกลับมาที่การตั้งต้นว่า บวช เพื่ออะไร ถ้าไม่มีความจริงใจที่จะศึกษาพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลสของตนเองในเพศบรรพชิต นั่น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยอย่างแน่นอน มีแต่โทษเท่านั้น เมื่อมีการล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ ไม่ประพฤติตามพระวินัย ก็กำลังทำทางให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิเท่านั้น ไม่ว่าจะบวชนานหรือพึ่งบวชก็ตาม เพราะเหตุว่า การล่วงละเมิดสิกขาบท แล้วไม่มีการเห็นโทษ ไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องตามพระวินัย ก็เป็นผู้มีอาบัติเป็นเครื่องกั้นการบรรลุธรรม และ กั้นการเกิดในสุคติภูมิ ด้วย นั่นหมายความว่า ถ้าหากมรณภาพ (ตาย) ในขณะที่ยังเป็นพระภิกษุอยู่ ชาติถัดไป ก็เกิดในอบายภูมิเท่านั้น น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบังคับให้ใครบวช แม้เป็นคฤหัสถ์ ก็สามารถศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเองได้ ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อริยบุลคลทุกท่าน ก็เคยเป็นบุคคลธรรมดามาก่อน พอได้ฟังคำสอน ปฏิบัติตามคำสอน ก็บรรลุธรรม .
ซึ่งอริยบุคคลจะเป็นผ็ที่ รู้ถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย และ มีความนอบน้อม สำรวมในพระวินัย ที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติ แม้แต่ในการปฐมสังคายนา ครั้ง แรก สาวกพระพุทธองค์ล้วนแต่เป็นอริยบุคล
พระอรหันตเถระทั้งหลายก็ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้วและ ไม่บัญญัติ สิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ถ้าหากว่าท่านผู้ฟัง ในสมัยนี้ มีความคิดเห็น ว่า พระวินัยบัญญัติ ข้อใด อาจจจะประพฤติไม่ได้ หรือว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ก็ขอให้ท่านระลึกถึง พระอรหันตเถระทั้งหลาย ในการกระทำสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๑ ซึ่ง พระอรหันตเถระทั้งหลายมีความเห็นร่วมกัน ว่า ท่านจะไม่บัญญัติสิ่งที่พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงบัญญัติ และ จะไม่ถอนสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากกระทู้เก่าของผม มีสมาชิกท่านหนึ่งให้คำตอบแบบนี้ เพื่อความกระจ่าง อยากให้หลายๆคนช่วยตอบหน่อยครับว่าจริงไห ฦ
จากข้อความที่ Higlight กับข้อมูลที่ได้มาด้านล่าง
อานนท์ ! ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย
ธรรมและวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา...
อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า “ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา” ดังนี้.
อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น.
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.
อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่.
อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล.
( มหา. ที. ๑๐/๑๗๘/๑๔๑. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๗/๗๔๐.)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทรงห้ามบัญญัติเพิ่มหรือตัดทอนสิ่งที่บัญญัติไว้
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว อย่างเคร่งครัดอยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความ
เสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
- มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที.๑๐/๘๙/๖๙
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระภิกษุทุกรูป ทุกยุคทุกสมัย จะต้องสมาทานศึกษาน้อมประพฤติตามในสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ กล่าวคือ ไม่กระทำในสิ่งที่ผิด และ น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น จะไม่มีการบัญญัติเพิ่ม และ ไม่มีการถอนสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว ซึ่งจะต้องกลับมาที่การตั้งต้นว่า บวช เพื่ออะไร ถ้าไม่มีความจริงใจที่จะศึกษาพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลสของตนเองในเพศบรรพชิต นั่น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัยอย่างแน่นอน มีแต่โทษเท่านั้น เมื่อมีการล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ ไม่ประพฤติตามพระวินัย ก็กำลังทำทางให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิเท่านั้น ไม่ว่าจะบวชนานหรือพึ่งบวชก็ตาม เพราะเหตุว่า การล่วงละเมิดสิกขาบท แล้วไม่มีการเห็นโทษ ไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องตามพระวินัย ก็เป็นผู้มีอาบัติเป็นเครื่องกั้นการบรรลุธรรม และ กั้นการเกิดในสุคติภูมิ ด้วย นั่นหมายความว่า ถ้าหากมรณภาพ (ตาย) ในขณะที่ยังเป็นพระภิกษุอยู่ ชาติถัดไป ก็เกิดในอบายภูมิเท่านั้น น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบังคับให้ใครบวช แม้เป็นคฤหัสถ์ ก็สามารถศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเองได้ ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อริยบุลคลทุกท่าน ก็เคยเป็นบุคคลธรรมดามาก่อน พอได้ฟังคำสอน ปฏิบัติตามคำสอน ก็บรรลุธรรม . ซึ่งอริยบุคคลจะเป็นผ็ที่ รู้ถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย และ มีความนอบน้อม สำรวมในพระวินัย ที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติ แม้แต่ในการปฐมสังคายนา ครั้ง แรก สาวกพระพุทธองค์ล้วนแต่เป็นอริยบุคล พระอรหันตเถระทั้งหลายก็ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้วและ ไม่บัญญัติ สิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ถ้าหากว่าท่านผู้ฟัง ในสมัยนี้ มีความคิดเห็น ว่า พระวินัยบัญญัติ ข้อใด อาจจจะประพฤติไม่ได้ หรือว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ก็ขอให้ท่านระลึกถึง พระอรหันตเถระทั้งหลาย ในการกระทำสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๑ ซึ่ง พระอรหันตเถระทั้งหลายมีความเห็นร่วมกัน ว่า ท่านจะไม่บัญญัติสิ่งที่พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงบัญญัติ และ จะไม่ถอนสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------