สวัสดีเพื่อนทุกคนในวันแห่งความรักครับ มีเรื่องง่ายๆสบายๆอยากมาแชร์ให้อ่านกัน
ก่อนหน้านี้ผมได้มาซ้อมวิ่งเตรียมไปวิ่งมาราธอนกับคนที่ชอบ (จะจีบเขาก็เลยขอไปวิ่งด้วยนั้นเอง)
ขณะที่วิ่งไปด้วยกันก็เกิดข้อคิดขึ้นมาว่า...
โดยปรกติความเร็วการวิ่งของผู้ชายและผู้หญิงนั้นไม่เท่ากัน ตอนแรกผมเองก็วิ่งนำเธอไปก่อน เพราะเธอเองก็บอกไม่จำเป็นต้องรอ แค่นัดจุดที่จะกลับมาเจอกัน ตอนแรกผมตั้งใจวิ่งน้อยกว่าเธอ (ผมวิ่งสัก 5 เธอตั้งใจ 10 อัพ)
แต่หลังจากที่ผมลดความเร็วและมาวิ่งคู่กัน แน่นอนเราไม่ได้คุยกันเยอะ แต่ได้วิ่งด้วยกันเป็นเวลาเกือบ 2 ชม ผมพบว่า การวิ่งโดยรวมทั้งหมดก็ยังได้เหงื่อ ได้ความเหนื่อยไม่ต่างกัน
ผู้ชายอย่างเรา ต้องลดความเร็วลง ทำให้วิ่งได้ระยะทางมากขึ้น
ผู้หญิงเองก็สู้ เธอวิ่งหาความเร็วที่ดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจ
สองคนวิ่งคนละความเร็ว แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้ระยะทางยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันก็เหมือนการประคับประคองความสัมพันธ์ ฝ่ายชาย ต้องรู้จักลดความเร็ว ผู้หญิงออกแรงให้มากขึ้น
แล้ว ณ จุดหนึ่งความเร็วที่พอเหมาะก็จะเกิดขึ้น
ต่างคนต่างช่วยกันพลักดันอีกฝ่าย เพราะเมื่อเห็นอีกคนยังไปได้ เราก็ไม่อยากถ่วง
เราก็เดินหน้าไปด้วยกัน ในความเร็วที่กำลังพอดี บางคราวหยุดพักคุยกัน ดืมน้ำ เดินบ่าง แล้วก็กลับมาวิ่งต่อ
เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายจางหายไป ความมืดเริ้มเข้ามาปกคลุม
ฝ่ายชายของเราก็ใช้มือถือส่องทาง รวมถึงเป็นเพื่อนสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้ฝ่ายหญิงในการวิ่งต่อ
เมื่อมีปัญหาเขามากระทบกับชีวิตคู่ ฝ่ายชายก็ออกไปสู้ก่อน
แล้วเมื่อแสงจากฝ่ายชายหมด ฝ่ายหญิงก็ไม่ลังเลที่จะเปิดไฟของเขา ทำให้ระยะทางที่จะวิ่งไปได้ต่อมากขึ้น
ดีกว่าการวิ่งคนเดียวหรือต่างคนต่างเปิดไฟแต่เฉพาะของตัวเอง
แล้วในช่วงสุดท้าย เราเหนื่อยล้า แต่เราก็เหนื่อพร้อมๆกัน ทำให้เข้าใจกันแล้วกัน ได้หัวเราะไปด้วยกัน ให้กำลังใจกัน
และรับรู้ว่าเราต่างคนก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปมากกว่ากันเลย
สุดท้ายเราวิ่งได้ระยะทางรวมๆประมาน 12 กิโล (ซึ่งมากกว่าที่ผมตั้งใจ 2 เท่า มากกว่าที่เธอตั้งใจนิดหน่อย)
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ จากความต่างของเพศ ความแข็งแร่งของร่างกาย เป้าหมาย เรากลับช่วยกันพลักดันไปสู้ผลลัพธ์ที่มากกว่าที่เราคิด
และนี้คือ บทเรียนที่ผมได้จากการวิ่งคู่กัน .... แล้วผมก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นกว่าเดิม
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
การวิ่งกับชีวิตคู่
ก่อนหน้านี้ผมได้มาซ้อมวิ่งเตรียมไปวิ่งมาราธอนกับคนที่ชอบ (จะจีบเขาก็เลยขอไปวิ่งด้วยนั้นเอง)
ขณะที่วิ่งไปด้วยกันก็เกิดข้อคิดขึ้นมาว่า...
โดยปรกติความเร็วการวิ่งของผู้ชายและผู้หญิงนั้นไม่เท่ากัน ตอนแรกผมเองก็วิ่งนำเธอไปก่อน เพราะเธอเองก็บอกไม่จำเป็นต้องรอ แค่นัดจุดที่จะกลับมาเจอกัน ตอนแรกผมตั้งใจวิ่งน้อยกว่าเธอ (ผมวิ่งสัก 5 เธอตั้งใจ 10 อัพ)
แต่หลังจากที่ผมลดความเร็วและมาวิ่งคู่กัน แน่นอนเราไม่ได้คุยกันเยอะ แต่ได้วิ่งด้วยกันเป็นเวลาเกือบ 2 ชม ผมพบว่า การวิ่งโดยรวมทั้งหมดก็ยังได้เหงื่อ ได้ความเหนื่อยไม่ต่างกัน
ผู้ชายอย่างเรา ต้องลดความเร็วลง ทำให้วิ่งได้ระยะทางมากขึ้น
ผู้หญิงเองก็สู้ เธอวิ่งหาความเร็วที่ดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจ
สองคนวิ่งคนละความเร็ว แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้ระยะทางยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันก็เหมือนการประคับประคองความสัมพันธ์ ฝ่ายชาย ต้องรู้จักลดความเร็ว ผู้หญิงออกแรงให้มากขึ้น
แล้ว ณ จุดหนึ่งความเร็วที่พอเหมาะก็จะเกิดขึ้น
ต่างคนต่างช่วยกันพลักดันอีกฝ่าย เพราะเมื่อเห็นอีกคนยังไปได้ เราก็ไม่อยากถ่วง
เราก็เดินหน้าไปด้วยกัน ในความเร็วที่กำลังพอดี บางคราวหยุดพักคุยกัน ดืมน้ำ เดินบ่าง แล้วก็กลับมาวิ่งต่อ
เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายจางหายไป ความมืดเริ้มเข้ามาปกคลุม
ฝ่ายชายของเราก็ใช้มือถือส่องทาง รวมถึงเป็นเพื่อนสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้ฝ่ายหญิงในการวิ่งต่อ
เมื่อมีปัญหาเขามากระทบกับชีวิตคู่ ฝ่ายชายก็ออกไปสู้ก่อน
แล้วเมื่อแสงจากฝ่ายชายหมด ฝ่ายหญิงก็ไม่ลังเลที่จะเปิดไฟของเขา ทำให้ระยะทางที่จะวิ่งไปได้ต่อมากขึ้น
ดีกว่าการวิ่งคนเดียวหรือต่างคนต่างเปิดไฟแต่เฉพาะของตัวเอง
แล้วในช่วงสุดท้าย เราเหนื่อยล้า แต่เราก็เหนื่อพร้อมๆกัน ทำให้เข้าใจกันแล้วกัน ได้หัวเราะไปด้วยกัน ให้กำลังใจกัน
และรับรู้ว่าเราต่างคนก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปมากกว่ากันเลย
สุดท้ายเราวิ่งได้ระยะทางรวมๆประมาน 12 กิโล (ซึ่งมากกว่าที่ผมตั้งใจ 2 เท่า มากกว่าที่เธอตั้งใจนิดหน่อย)
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ จากความต่างของเพศ ความแข็งแร่งของร่างกาย เป้าหมาย เรากลับช่วยกันพลักดันไปสู้ผลลัพธ์ที่มากกว่าที่เราคิด
และนี้คือ บทเรียนที่ผมได้จากการวิ่งคู่กัน .... แล้วผมก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นกว่าเดิม
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ