มาราธอนแรกของฉัน อยากจะว่ิงเหมือนสู่ขวัญ แต่วิ่งนานจนเป็นขวานฟ้าหน้าดำ

เกิดมาไม่เคยโพสในพันทิปเลย แต่แชร์บ้างนะย้าวยาวเรื่องเล่าเคล้าน้ำตาจาก ‪#‎นักวิ่งสายอัลตรา‬
เป็นมาราธอนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปตั้งแต่แรก แล้วมาอยากไปทีหลัง เนื่องจากก่อนหน้างานวิ่งหนึ่งสัปดาห์มีภาระกิจพิชิตดอยเชียงดาว แต่ความโลภมาก็ทำให้ต้องเหมาเอาทุกงาน
ถามว่าซ้อมถึงไหม? ถึงค่ะครบค่ะ เริ่มจากระยะฮาฟ 21กิโล เพิ่มทีละ10% จนถึงระยะ 35กิโล มีความมั่นใจ90% หลังจากซ้อมวิ่งครบระยะ
แต่ก็เป็นไปตามคาดตอนลงจากดอยสะดุดรากไม้เท้าพลิก จี๊ดขึ้นมาในใจเลย "งานมาราธอนกุตายแน่" แต่ก็แอบหวังตามประสา ‪#‎นักวิ่งสายปาฏิหารย์‬ ว่าจะหายทันวันงานแน่ๆ
นี่คือที่มาของความตื่นเต้นทั้งหมด
ตื่นเต้นว่าจะวิ่งไม่จบ
ตื่นเต้นว่าเท้าขวาจะหายไม่ทัน
ตื่นเต้นว่าจะชนกำแพงหลังระยะ35กิโลไหม
และอีกมากมายตามสไตล์ ‪#‎นักวิ่งสายมโน‬
เอาล่ะ! ตัดภาพมาที่สนามจอมบึงเลยค่ะ คุณแฟนของเรา (นางไม่วิ่ง แต่นางไปทุกหนแห่งที่นักวิ่งอย่างพวกเราจะดั้นด้นไป) พานักวิ่งมาลอยแพที่หน้างานตอน 3:00น.พอดิบพอดี นักวิ่งกิ่งก่องแก้วก็ถูกหัวหน้าหมี(พี่บอล)เกลี้ยกล่อมให้วิ่งตามลูกโป่งสีม่วงด้วยกัน เพราะเดี๋ยวก็หล่นไปอยู่ระยะของตัวเองอยู่ดี โอเค้!! เชื่อผู้ใหญ่ไม่มีพลาด วิ่งไปซักพักก็หล่นไปอยู่กะโป่งแฟนซีจริงๆ วิ่งไปซักพักแวะฉิ่งฉ่องปั้ม ปตท. แต่แล้วแม้ลูกโป่งแฟนซีพี่ก็ไม่อาจคว้าไว้ได้
กิโลที่ 8,9 เท้าขวาก็มีอาการขึ้นมาพิสูจน์ใจ (จะมาพิสูจน์อะไรตอนนี้!!) แวะหาแพทย์อาสานิ๊ด พุ่งร่างไปที่ จนท.เลยบอกขอสเปรย์จุดนี้ค่ะ พองัดเท้าออกมาเส้นเลือดปูดขึ้นเปนสีม่วงเลย พี่ จนท.ก็ใจดีบอกสเปรย์คลายกล้ามเอาไม่อยู่หรอก สเปรย์ยาชาละกัน บั่นทอนจิตใจที่สุด ยังเหลืออีก30กิโลกว่าๆที่ต้องผจญ จนท.พูดให้กำลังใจว่าดูอาการไปถ้าไม่ไหวก็หยุด (อือหือ...พูดไม่ออกเลย)

ตัดภาพมาค่ะ อินี้เป็นเด็กหญิงวัลลีค่ะ วิ่งต่อไป เริ่มวิ่งแบบลืมๆไปว่าเท้าขวาปวด เกร็งขวาไปลงน้ำหนักซ้าย ‪#‎นักวิ่งสายตะคริวก็มา‬
ยังคงวิ่งต่อไปค่ะตั้งแต่ระยะ15กิโลขึ้นไปตั้งใจมาก คือตั้งใจมองคนที่กลับตัวระยะ24กิโล วิ่งสวนเพื่อถึงเส้นชัยมาก สแกนหน้าทุกคน ทางก็ไม่ดูเท้าก็ลืมเจ็บ ที่กิโล 18.2 เจอพี่ตูนค่ะ (ก่อนหน้านั้นเห็นดาราช่อง7แต่ไม่ใช่เป้าหมาย) คือพี่ตูนวิ่งนำลูกโป่งแดง เรียวแถวหน้ากระดาน5คน พี่ตูนวิ่งตรงกลางแบบมีสมาธิมาก หวีดร้อง!! ปากไวเท่าความคิด ตะโกนเบาๆแบบชะนีโหยหวน "พี่ตูนนนนนน" พี่ตูนหันมายกมือสวัสดี (เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะวิ่งสวนกัน ซึ่งมันไวมากเพียงเสี้ยวนาที แต่ภาพทั้งหมดเกิดเปนภาพสโลโมชั่นในสมองและสองตา)
แล้วชะนีก็กลับสู่ชีวิตจริง กิโลที่18 ของเรา คือกิโลที่ 30 ของพี่ตูน (อ้าว อินี่!! ยังไม่จบพี่ตูนอีก) ซักประมาณกิโลที่ 22 ปวดเท้ามาก เริ่มเดินมากกว่าวิ่ง เดินไปก็มองนักวิ่งที่สวนมา เห็นวัว(หมีวิ่งที่1)ก้มหน้าก้มตาวิ่ง ซักพักก็เห็นพี่บอลกะน้ำผึ้ง(หมีวิ่งที่2,3) น้ำผึ้งฝากภาระกิจเอาวอล์คแมนที่ลืมไว้ตรงลานนวดจุดกลับตัวมาให้ด้วย แล้วก็เจอยุ่งยิ่ง(หมีวิ่งคนที่4) โหยยย กลับตัวกันหมดแล้ว เมื่อไหร่จะไปถึงจุดกลับตัวหนอเรา?
ตัดภาพไปจุดกลับตัว ทวงวอล์คแมนให้เพื่อนเอามาครอบครองเรียบร้อย เจอนิดา(หมีสุดท้าย)หลังจากกลับตัวนิดเดียว ก็ยังกัดฟันวิ่งจ๊อกช้าๆ สลับเดินไปเรื่อยจนถึงกิโลที่ 30 เริ่มไม่ไหว ปวดมากมาย คิดในใจว่าซ้อมมาถึง35 จะมาตายที่30ได้ไงว่ะ! แต่พอถึงกิโลที่36 เริ่มอึนวิ่งไม่ออก ได้แค่สาวเท้าไปข้างหน้า เดินไปเรื่อยๆ 6 ชม.ผ่านไปแล้ว แดดแรงมาก ร่มไม้ไม่มีแล้ว คิดถึงเบิ้ม คิดถึงบ้าน คิดถึงน้ำอุ่น คิดถึงสระว่ายน้ำที่หาดเจ้าฯ ทั้งหิว ทั้งร้อน ทั้งปวดเท้า ปวดขา เหนื่อยล้า และตาพร่าเพราะเปลวแดด เดินนับเสาไฟฟ้า นับกองฟางที่กั้นไว้สำหรับนักวิ่ง แต่ก็ยังเดินแซงนักวิ่งไปอีกหลายคนนะ ระหว่างที่แซงเพื่อนนักวิ่งก็หันไปบอกเค้าว่า "สู้ๆนะคะ วิ่งไม่ไหวก็เดินไปด้วยกัน" ตอนนี้มีแต่น้ำเย็นให้ดื่มตามจุดที่เตรียมไว้ ผลไม้ไม่มีแล้ว เดินผ่านแผงร้านค้าริมทาง มองกล้วยน้ำว้าแล้วกลืนน้ำลาย ลุงเจ้าของร้านใจดีบอกหยิบไปกินเลยหนูแก้หิวได้ คือยกมือไหว้ น้ำตาไหลมือไม้สั่นบิกล้วยจากเครือแทบไม่ไหวแล้วตอนนั้น เอามาลูกเดียวยกมือไหว้อีกรอบแบบโคตรสำนึกบุญคุณ แล้วลุงก็พูดว่า "อีกนิดเดียว มาตั้งไกลแล้ว ปีหน้ามาใหม่นะหนู" ในใจคิดว่า...งือๆๆๆ หนูจะตายตั้งแต่ปีนี้แล้วลุง

เดินมาจนถึงกิโลที่38 ตอนนี้เริ่มแวะนั่งบ้างล่ะ แต่ช่วงระหว่างก่อนจะถึงป้ายกิโลที่ 39 บ้านลุงกำนันที่ฉันก็จำชื่อไม่ได้ เปิดเพลงดังมาก ก็นั่งฟังใต้ต้นไม้ คิดไปว่าหยุดดีไหม? นี่ก็จะเที่ยงล่ะ มองไปข้างหน้าเปลวแดดก็พร้อมจะฆ่ากุ โทรตามเบิ้มให้มารับดีกว่า นอนรอตรงนี้ดีกว่า เย็นดี ฯลฯ มากมายที่จะมโน ซักพักเพลงใหม่ขึ้นมา เออ เสียงพี่ป๊อด เพราะดีเนอะ เพลินเลยกู ‪#‎นักวิ่งสายเก็บรายละเอียดซินะ‬ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพลงอะไร พอถึงท่อนฮุกเท่านั้นล่ะ อีนี่น้ำตาซึมลุกเดินเลยค่ะ พี่ป๊อดร้องว่างี้

"...จึงอยากจะขอส่งเพลงนี้แทนพลัง
ว่าอย่ากลับหลังขอให้เดินต่อไป
สักวันต้องถึงจุดหมายที่เธอตั้งใจเอาไว้
เพื่อให้รู้ว่า เราจะชนะตัวเองได้ไหม"

ตอนที่เดินจากมา พี่ป๊อดก็ยังแหกปากร้องท่อนฮุกไล่หลังให้ได้ยิน จนถึงกิโลที่40 ต้องข้ามถนน แต่คนก็เริ่มกลับ แล้วเค้าก็เริ่มปล่อยรถวิ่งแล้ว ยืนรอตากแดดคนเดียวนานอยู่ ปกติก็ข้ามถนนเองไม่เป็นอยู่แล้ว สภาพตอนนั้นยิ่งไม่ต้องสืบ ยืนตากแดดจนตาพร่าตัวเย็น รู้สึกง่วง เอ๊ะ!! กุจะเป็นลมหรือกุง่วงกันแน่ ยืนรอจนคนที่แซงมาตามทัน แล้วก็ตะโกนบอกเค้า(คิดว่าตะโกนแต่ไม่มีเสียง) ตะเอง "เค้าจะเป็นลม พาข้ามถนนหน่อย พาไปที่ร่มด้วยนะ เค้าเดินไม่ไหว" อีนี่ถึงจะเป็นลมแต่มีสติดีนะคะ น้องเค้าก็จูงมือพาข้ามถนน พาเดินไปนั่ง(กะพื้นซิเมนต์และกอหญ้านี่ล่ะ) ขอบคุณเค้าแล้วบอกว่าเดี๋ยวตามไปนะ นั่งพักแปปนึง จริงๆคือนอนหลับตาเลย มอไซด์พยาบาลอาสาก็วนเวียนขับมาส่อง เลยตื่นดีกว่าไม่งั้นคงมาเก็บศพกุแน่ๆ ได้นอนไป5นาที กับอีกเกือบ2กิโลที่เหลือ สูบพลังงานสุดท้าย เดินไปซื้อไอติมมากิน ให้แม่ค้าแกะซองให้ด้วย กินไปเดินไป อีก 800 เมตรกุก็หมดกรรมตรงนี้แล้ว ช่างภาพบอกวิ่งครับ ยิ้มหน่อย หือออ...สั่งให้ทำแต่ละอย่างยากๆทั้งนั้นเลย

เดินผ่านช่างภาพ ผ่านฝูงลิง(ที่จริงๆปกติจะกลัวลิงมากกกก แต่นาทีนั้นกุลืมแล้วกลัวคืออะไร) เสียงกองเชียร์บนอัฒจรรย์เริ่มดังสนั่นตามจำนวนกิโลเมตรที่ลดลง พอถึงพรมแดง เสียงพิธีกรให้กำลังใจ เสียงเพลงเสียงมากมายจนแยกไม่ออก หูอื้อ น้ำตาไหลตั้งแต่500เมตรสุดท้าย ได้ยินเสียเรียกกรรณิกาๆ เห็นบีก่อนเพราะเสื้อชมพูแจ่มว้าวมาก เห็นต้น (แต่เอ๊ะ!! บีกับต้นไม่ได้มาวิ่งด้วยนะ!!) เห็นน้ำผึ้ง เห็นยุ่งยิ่ง ร้องไห้หนักกว่าเดิมนี่กุตาฝาดป่วยถึงขนาดเห็นคนที่เค้าไม่ได้มาวิ่งเลยเหรอ แต่เฮ้ย!!! เพื่อนๆมาเซอร์ไพรส์อ่ะ ดอกไม้ มาลัย มาครบเลย ทีนี้ล่ะปล่อยโฮเลย
สรุปจบมาราธอนแรกที่ 8.14ชม. #นักวิ่งสายอัลตรา แบบบอบช้ำจากแผลเก่าแต่ปลื้มปริ่มในหัวใจ การต่อสู้กับใจตัวเองระหว่างหยุดหรือไปต่อ

....

ตอนจบก็ต้องขอบคุณผู้มีอุปการคุณทั้งหลายอ่ะเนอะขอบคุณตัวละครเป็นๆที่มาโลดแล่นอยู่ในมหกรรมมาราธอนแรกของเรา
ขอบคุณเพื่อนๆทีมหมีวิ่งจอมพลัง (run for change) ประทับใจจนต้องบันทึกไว้ใน ‪#‎กินใจบุ๊ค‬
ขอบคุณกองเชียร์ลูกเด็กเล็กแดงที่มาเชียร์และให้กำลังใจทุกจุดทุกระยะ (อันนี้แอบสงสัยว่าเด็กอำเภอจอมบึงเวลาหัดพูดคำแรงคือ "สู้ๆนะ" รึเปล่า? แต่มันช่วยเป็นกำลังใจสำหรับคนหมดแรงได้จริงๆนะ ขอบคุณพี่ป๊อดที่แหกปากร้องเพลงให้กำลังใจนักวิ่งหมดแรงด้วยค่ะ

ขอบคุณเพื่อนนักวิ่งร่วมทาง ทั้งที่เดินตามๆกันไป ทั้งที่ขี่มอไซด์ รถกระบะ รถเก๋ง เปิดกระจกบีบแตร์ส่งสัญญาณตะโกนให้กำลังใจตลอด 3กิโลสุดท้าย รู้ไหมมันซึ้งมาก อ้อ!!ลืมไม่ได้เลย ขอบคุณเจ้าของสเปรย์กำจัดตะคริวไล่ยุงของทุกๆท่านค่ะ

"ถ้าอยากพบมีชีวิตใหม่ให้ไปวิ่งมาราธอน" พบแล้วนะคำตอบ ชีวิตหลังความตาย ถึงเส้นชัยคือเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หลังจากนั้นก็เดินแบบง่อยๆ ไม่ค่อยถูกกับบันได ชักโครกก็พอไหวแต่พี่จะไม่ส้วมนั่งยอง

ท้ายที่สุดขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ พี่สนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสือเกิน8บรรทัดค่ะ🙏🏼🙏🏼🙏🏼

ขอบคุณมากมายค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่