สวัสดีค่า เราชื่อ “ซี” นะคะ
วันนี้ซีอยากจะแชร์ประสบการณ์เรื่องลดความอ้วนกว่า 30 กิโล
*ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนนะคะ
สำหรับรูปถ่ายนั้น ท่าโพสโดยปกติแล้วเวลาถ่ายรูป จะมีท่ายืนบิดไขว้ขวาซึ่งเป็นท่าประจำ
จากท่ายืนรูปที่ออกมาขาอาจดูจะไม่เท่ากัน และเป็นการบิดตัวโพสท่า
รูปปกตินั้นจะผ่านการแต่งสีแสงแบบทั่วไปเท่านั้น
สำหรับการลดน้ำหนักนั้น ซีน้ำหนักลดจาก 78 กิโล เหลือ 45 กิโลคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ลดด้วยตัวเองโดยใช้วิธีคุมอาหาร และออกกำลังกาย
และปัจจุบันก็ใช้ชีวิตทานอาหารเหมือนคนทั่วไปเป็นปกติค่ะ*
“ลดน้ำหนัก” คำๆ นี้ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน
ซีเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ รู้สึกท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มลด
ช่างเป็นเรื่องที่ยากอะไรแบบนี้!
เวลาอาหารที่เราชอบมันมาอยู่ตรงหน้า หรือเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว
และความอยากกิน มันอยู่เหนือกว่าความตั้งใจที่จะลด
“เอาน่ะ! งั้นกินตบท้ายอีกสักมื้อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยลดละกันนะ”
คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอด
เอาเข้าจริงๆ ซีก็ไม่ได้ลดอย่างที่ตั้งใจไว้
และเลยเถิดไปถึงวันถัดๆ ไป ผ่านไปวันแล้ววันเล่า สุดท้ายก็ไม่ได้ลดมันสักที
เลยทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า "ช่างมันเถอะ"
ปล่อยให้น้ำหนักพุ่งทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ มาจบลงตรงประโยคที่ว่า
"เมื่อมันลดไม่ได้ งั้นเป็นแบบนี้ต่อไปก็ได้เนอะ หน้าสวยก็พอ ไม่เห็นเป็นไร"
และพยายามหาเหตุผลอื่นมาทดแทน เพื่อปลอบใจตัวเอง
บางครั้ง พอความตั้งใจเริ่มมา และลดไปได้ไม่กี่วัน...ก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า
“ทำไมน้ำหนักมันถึงได้ลงช้าขนาดนี้ กว่าจะขยับลงได้แต่ละขีด ทำไมไม่ลงเลย
ไม่เห็นเหมือนตอนขึ้น กินนิดเดียวก็ขึ้น”
พอๆๆ งั้นไม่ลดมันละ! จากนั้นก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลดลงไปอย่างง่ายดายซะอย่างนั้น
ซีขอเล่าความเป็นมาเรื่องความอ้วนของตัวเองก่อนนะคะ
ซีอ้วนมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เริ่มอ้วนก็ตั้งแต่จำความได้ ประมาณประถมต้น
อ้วนจากการกินเยอะ ชอบกิน อะไรก็อร่อยไปหมด กินจุกจิกอยู่ตลอดเวลา
บางครั้งหลับอยู่ยังตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อลุกขึ้นมาหาอาหารหนักๆ กิน
เช่น ข้าว บะหมี่ห่อใหญ่ เค้ก ขนม น้ำหวาน ฯลฯ
ก็ไม่แปลกค่ะ ที่กระเพาะจะขยายขนาดขึ้น เพราะปริมาณที่กินเข้าไปมันมากขึ้นเรื่อยๆ
มีความรู้สึกว่า “ก็อิ่มนะ แต่อีกแป๊บก็กินต่อได้อีก”
สมัยก่อนเวลากินข้าว มื้อนึงอย่างน้อยก็ข้าว 2 จานพูน กับข้าวเต็มโต๊ะ
พวกมาม่า 1 ห่อกินแล้วท้องมันไม่รู้สึก อย่างต่ำต้อง 2 ห่อขึ้นไป ใส่ไข่และเครื่องอีกสารพัด
มีอะไรใส่ไปในมาม่าให้หมด และต่อด้วยขนม
กินพิซซ่าได้เป็นถาด
กินไก่ทอด เบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ น้ำอัดลม พาย ไอศครีม แล้วยังกินข้าวต่อได้อีก
สามารถกินเค้กคนเดียวได้เป็นปอนด์ๆ
ตอนเด็กๆ ซีจะโดนล้อเป็นประจำ ไม่ว่าตรงไหนก็มีแต่ไขมันสะสมอยู่ทุกจุด
ตามสภาพที่เห็นในรูปเลยนะคะ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ เพราะด้วยความที่เป็นเด็ก
คิดแค่ว่าอ้วนก็เห็นไม่เป็นอะไร และไม่มีความคิดที่จะลดน้ำหนักอยู่ในหัวเลย
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็เริ่มรักสวยรักงามเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ อยากใส่เสื้อผ้าแล้วดูดีบ้าง
มีความคิดว่าอยากจะลดน้ำหนัก แต่ซีก็ไม่สามารถลดน้ำหนักได้
เพราะแค่มีความรู้สึกว่าอยากหุ่นดี ....
แต่ดันกลับทำทุกอย่างตรงกันข้ามกับผลลัพธ์ที่อยากได้
กินเหมือนเดิม และมากกว่าเดิม ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ในช่วงเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ซีกินแบบไร้สติเลยก็ว่าได้
ตกเย็นต้องซื้อของกินพะรุงพะรังกลับบ้าน มือสองข้างเต็มไปด้วยของกิน
ตอนนั้นน้ำหนักขึ้นมาเรื่อยๆ ถึง 78 กิโล ยิ่งน้ำหนักขึ้น ก็ยิ่งไม่กล้าชั่ง
เวลาส่องกระจกจะพยายามส่องแล้วโฟกัสแค่หน้า ไม่โฟกัสว่าตัวเองตัวใหญ่มาก
คิดแค่ว่าหน้าเราสวยก็พอ แต่จริงๆ แล้วทั้งแก้มและคางมีไขมันเยอะมาก
รู้สึกอึดอัดสุดๆ แต่ก็ยังกลับพยายามคิดเข้าข้างปลอบใจตัวเอง และปฏิเสธความจริง
เวลาถ่ายรูปไม่กล้าที่จะถ่ายเต็มตัว
เวลาถ่ายรูปแบบเต็มตัว จะบอกกับคนที่ถ่ายให้ว่าถ่ายให้ดูผอมๆ นะ
พอถ่ายรูปเต็มตัวออกมาแล้วดูอ้วน ดูแล้วก็จะคิดว่าทำไมรูปเราดูอ้วนจัง
พยายามหามุมที่คิดว่าตัวเองดูผอมที่สุดแล้วถ่าย
รูปที่ออกมาก็จะมีแต่หน้า ได้เป็นมุมแบบเบียดๆ มันคือมุมที่ดีที่สุดของเราแล้ว
จุดเปลี่ยนมาอยู่ที่...เย็นวันหนึ่ง
ขณะที่ซีกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ และผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง
เห็นเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลตัวหนึ่งใส่อยู่ในหุ่นของนางแบบ เลยเดินเข้าไปในร้าน
ซีนึกในใจว่า “มันเป็นผ้ายืด ขนาดของเสื้อก็ไม่ได้เล็กอะไร ใส่ได้แหละ”
จึงเดินเข้าไปในร้าน ขณะที่หยิบเสื้อขึ้นมาทาบกับตัวแล้วดูกระจก
พนักงานในร้านที่ยืนอยู่ในร้าน ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เสื้อมีไซส์เดียวค่ะ น่าจะเล็กไปสำหรับน้อง น้องไม่น่าจะใส่ได้”
ตอนนั้นรู้สึก “จุก” กับประโยคนี้มาก จึงวางเสื้อลง
แล้วเดิน “หน้าชา” ออกจากร้านไป
หลังจากนั้นซีก็กลับบ้าน คืนนั้นกลับมานอนคิดพิจารณาทั้งคืน
ซีไม่ได้นึกโกรธพนักงานคนนั้นเลย เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ
พนักงานคนนั้นพูดถูกต้อง และพูดตามความจริง
และหากซียังดื้อดึงจะซื้อเสื้อตัวนั้นมา ซีอาจจะพยายามยัดใส่เข้าไปได้ เพราะเป็นผ้ายืด
แต่มันจะดูไม่จืดเลยจริงๆ
คืนนั้น สัญญากับตัวเองว่า ...
“ฉันจะไม่อ้วนแบบนี้อีกแล้ว ไม่เอาแล้ว
พอกันทีความอ้วน! ฉันอยู่กับเธอมานานมากพอแล้ว”
จากนี้เป็นต้นไป ฉันจะลดความอ้วน และจะไม่มีวันกลับไปอ้วนอีก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ซีเอากระดานมาเขียน และตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักเอาไว้ที่ 45 กิโล!
และบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะทำให้ได้!”
ซีต้องลดน้ำหนักให้ได้ 33 กิโล และวางแผนว่าจะลดเดือนละกี่กิโล
ในช่วงที่ลดน้ำหนักนั้น ช่วงอาทิตย์แรกน้ำหนักซีลดลงประมาณ 3 กิโลค่ะ
แต่หลังจากสัปดาห์ที่สองไปแล้ว น้ำหนักก็เริ่มลงช้าค่ะ
กว่าจะลดลงผ่านไปได้แต่ละกิโล รู้สึกว่ามันยากมากเหลือเกิน
ซึ่งน้ำหนักที่ลดอาจไม่มากเท่ากับช่วงที่ลดตอนแรกๆ แต่ก็ลงอาทิตย์ละ 1 กิโลค่ะ
และช่วงที่ลดน้ำหนักซีจะใช้วิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังการช่วยด้วยการเต้นแอโรบิค, วิ่ง,
ปั่นจักรยาน (ใช้เครื่องออกกำลัง), ซิทอัพ, กายบริหารทุกวันค่ะ
หลังจากที่น้ำหนักลงแล้ว ปัจจุบันก็ใช้ชีวิตทานอาหารเหมือนคนทั่วไปเป็นปกติค่ะ
ซีขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ตั้งใจจะลดน้ำหนัก หรือคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่นะคะ
ซีเชื่อว่าการลดน้ำหนักนั้นอยู่ที่ "ความตั้งใจ" และ "วินัย" ของเราค่ะ
หากเรามีความตั้งใจจริงๆ ก็จะสามารถทำมันได้อย่างแน่นอนค่ะ
ถ้าซีทำได้ คุณก็ต้องทำได้!
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายนี้นะคะ
และขอขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์ค่ะ
การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลดน้ำหนัก จาก 78 ลงมาสู่ 45 กิโล พร้อมวิธีการที่ทุกคนก็สามารถทำได้!!
วันนี้ซีอยากจะแชร์ประสบการณ์เรื่องลดความอ้วนกว่า 30 กิโล
*ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนนะคะ
สำหรับรูปถ่ายนั้น ท่าโพสโดยปกติแล้วเวลาถ่ายรูป จะมีท่ายืนบิดไขว้ขวาซึ่งเป็นท่าประจำ
จากท่ายืนรูปที่ออกมาขาอาจดูจะไม่เท่ากัน และเป็นการบิดตัวโพสท่า
รูปปกตินั้นจะผ่านการแต่งสีแสงแบบทั่วไปเท่านั้น
สำหรับการลดน้ำหนักนั้น ซีน้ำหนักลดจาก 78 กิโล เหลือ 45 กิโลคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ลดด้วยตัวเองโดยใช้วิธีคุมอาหาร และออกกำลังกาย
และปัจจุบันก็ใช้ชีวิตทานอาหารเหมือนคนทั่วไปเป็นปกติค่ะ*
“ลดน้ำหนัก” คำๆ นี้ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน
ซีเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ รู้สึกท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มลด
ช่างเป็นเรื่องที่ยากอะไรแบบนี้!
เวลาอาหารที่เราชอบมันมาอยู่ตรงหน้า หรือเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว
และความอยากกิน มันอยู่เหนือกว่าความตั้งใจที่จะลด
“เอาน่ะ! งั้นกินตบท้ายอีกสักมื้อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยลดละกันนะ”
คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอด
เอาเข้าจริงๆ ซีก็ไม่ได้ลดอย่างที่ตั้งใจไว้
และเลยเถิดไปถึงวันถัดๆ ไป ผ่านไปวันแล้ววันเล่า สุดท้ายก็ไม่ได้ลดมันสักที
เลยทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า "ช่างมันเถอะ"
ปล่อยให้น้ำหนักพุ่งทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ มาจบลงตรงประโยคที่ว่า
"เมื่อมันลดไม่ได้ งั้นเป็นแบบนี้ต่อไปก็ได้เนอะ หน้าสวยก็พอ ไม่เห็นเป็นไร"
และพยายามหาเหตุผลอื่นมาทดแทน เพื่อปลอบใจตัวเอง
บางครั้ง พอความตั้งใจเริ่มมา และลดไปได้ไม่กี่วัน...ก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า
“ทำไมน้ำหนักมันถึงได้ลงช้าขนาดนี้ กว่าจะขยับลงได้แต่ละขีด ทำไมไม่ลงเลย
ไม่เห็นเหมือนตอนขึ้น กินนิดเดียวก็ขึ้น”
พอๆๆ งั้นไม่ลดมันละ! จากนั้นก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลดลงไปอย่างง่ายดายซะอย่างนั้น
ซีขอเล่าความเป็นมาเรื่องความอ้วนของตัวเองก่อนนะคะ
ซีอ้วนมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เริ่มอ้วนก็ตั้งแต่จำความได้ ประมาณประถมต้น
อ้วนจากการกินเยอะ ชอบกิน อะไรก็อร่อยไปหมด กินจุกจิกอยู่ตลอดเวลา
บางครั้งหลับอยู่ยังตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อลุกขึ้นมาหาอาหารหนักๆ กิน
เช่น ข้าว บะหมี่ห่อใหญ่ เค้ก ขนม น้ำหวาน ฯลฯ
ก็ไม่แปลกค่ะ ที่กระเพาะจะขยายขนาดขึ้น เพราะปริมาณที่กินเข้าไปมันมากขึ้นเรื่อยๆ
มีความรู้สึกว่า “ก็อิ่มนะ แต่อีกแป๊บก็กินต่อได้อีก”
สมัยก่อนเวลากินข้าว มื้อนึงอย่างน้อยก็ข้าว 2 จานพูน กับข้าวเต็มโต๊ะ
พวกมาม่า 1 ห่อกินแล้วท้องมันไม่รู้สึก อย่างต่ำต้อง 2 ห่อขึ้นไป ใส่ไข่และเครื่องอีกสารพัด
มีอะไรใส่ไปในมาม่าให้หมด และต่อด้วยขนม
กินพิซซ่าได้เป็นถาด
กินไก่ทอด เบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ น้ำอัดลม พาย ไอศครีม แล้วยังกินข้าวต่อได้อีก
สามารถกินเค้กคนเดียวได้เป็นปอนด์ๆ
ตอนเด็กๆ ซีจะโดนล้อเป็นประจำ ไม่ว่าตรงไหนก็มีแต่ไขมันสะสมอยู่ทุกจุด
ตามสภาพที่เห็นในรูปเลยนะคะ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ เพราะด้วยความที่เป็นเด็ก
คิดแค่ว่าอ้วนก็เห็นไม่เป็นอะไร และไม่มีความคิดที่จะลดน้ำหนักอยู่ในหัวเลย
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็เริ่มรักสวยรักงามเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ อยากใส่เสื้อผ้าแล้วดูดีบ้าง
มีความคิดว่าอยากจะลดน้ำหนัก แต่ซีก็ไม่สามารถลดน้ำหนักได้
เพราะแค่มีความรู้สึกว่าอยากหุ่นดี ....
แต่ดันกลับทำทุกอย่างตรงกันข้ามกับผลลัพธ์ที่อยากได้
กินเหมือนเดิม และมากกว่าเดิม ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ในช่วงเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ซีกินแบบไร้สติเลยก็ว่าได้
ตกเย็นต้องซื้อของกินพะรุงพะรังกลับบ้าน มือสองข้างเต็มไปด้วยของกิน
ตอนนั้นน้ำหนักขึ้นมาเรื่อยๆ ถึง 78 กิโล ยิ่งน้ำหนักขึ้น ก็ยิ่งไม่กล้าชั่ง
เวลาส่องกระจกจะพยายามส่องแล้วโฟกัสแค่หน้า ไม่โฟกัสว่าตัวเองตัวใหญ่มาก
คิดแค่ว่าหน้าเราสวยก็พอ แต่จริงๆ แล้วทั้งแก้มและคางมีไขมันเยอะมาก
รู้สึกอึดอัดสุดๆ แต่ก็ยังกลับพยายามคิดเข้าข้างปลอบใจตัวเอง และปฏิเสธความจริง
เวลาถ่ายรูปไม่กล้าที่จะถ่ายเต็มตัว
เวลาถ่ายรูปแบบเต็มตัว จะบอกกับคนที่ถ่ายให้ว่าถ่ายให้ดูผอมๆ นะ
พอถ่ายรูปเต็มตัวออกมาแล้วดูอ้วน ดูแล้วก็จะคิดว่าทำไมรูปเราดูอ้วนจัง
พยายามหามุมที่คิดว่าตัวเองดูผอมที่สุดแล้วถ่าย
รูปที่ออกมาก็จะมีแต่หน้า ได้เป็นมุมแบบเบียดๆ มันคือมุมที่ดีที่สุดของเราแล้ว
จุดเปลี่ยนมาอยู่ที่...เย็นวันหนึ่ง
ขณะที่ซีกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ และผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง
เห็นเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลตัวหนึ่งใส่อยู่ในหุ่นของนางแบบ เลยเดินเข้าไปในร้าน
ซีนึกในใจว่า “มันเป็นผ้ายืด ขนาดของเสื้อก็ไม่ได้เล็กอะไร ใส่ได้แหละ”
จึงเดินเข้าไปในร้าน ขณะที่หยิบเสื้อขึ้นมาทาบกับตัวแล้วดูกระจก
พนักงานในร้านที่ยืนอยู่ในร้าน ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เสื้อมีไซส์เดียวค่ะ น่าจะเล็กไปสำหรับน้อง น้องไม่น่าจะใส่ได้”
ตอนนั้นรู้สึก “จุก” กับประโยคนี้มาก จึงวางเสื้อลง
แล้วเดิน “หน้าชา” ออกจากร้านไป
หลังจากนั้นซีก็กลับบ้าน คืนนั้นกลับมานอนคิดพิจารณาทั้งคืน
ซีไม่ได้นึกโกรธพนักงานคนนั้นเลย เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ
พนักงานคนนั้นพูดถูกต้อง และพูดตามความจริง
และหากซียังดื้อดึงจะซื้อเสื้อตัวนั้นมา ซีอาจจะพยายามยัดใส่เข้าไปได้ เพราะเป็นผ้ายืด
แต่มันจะดูไม่จืดเลยจริงๆ
คืนนั้น สัญญากับตัวเองว่า ...
“ฉันจะไม่อ้วนแบบนี้อีกแล้ว ไม่เอาแล้ว
พอกันทีความอ้วน! ฉันอยู่กับเธอมานานมากพอแล้ว”
จากนี้เป็นต้นไป ฉันจะลดความอ้วน และจะไม่มีวันกลับไปอ้วนอีก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ซีเอากระดานมาเขียน และตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักเอาไว้ที่ 45 กิโล!
และบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะทำให้ได้!”
ซีต้องลดน้ำหนักให้ได้ 33 กิโล และวางแผนว่าจะลดเดือนละกี่กิโล
ในช่วงที่ลดน้ำหนักนั้น ช่วงอาทิตย์แรกน้ำหนักซีลดลงประมาณ 3 กิโลค่ะ
แต่หลังจากสัปดาห์ที่สองไปแล้ว น้ำหนักก็เริ่มลงช้าค่ะ
กว่าจะลดลงผ่านไปได้แต่ละกิโล รู้สึกว่ามันยากมากเหลือเกิน
ซึ่งน้ำหนักที่ลดอาจไม่มากเท่ากับช่วงที่ลดตอนแรกๆ แต่ก็ลงอาทิตย์ละ 1 กิโลค่ะ
และช่วงที่ลดน้ำหนักซีจะใช้วิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังการช่วยด้วยการเต้นแอโรบิค, วิ่ง,
ปั่นจักรยาน (ใช้เครื่องออกกำลัง), ซิทอัพ, กายบริหารทุกวันค่ะ
หลังจากที่น้ำหนักลงแล้ว ปัจจุบันก็ใช้ชีวิตทานอาหารเหมือนคนทั่วไปเป็นปกติค่ะ
ซีขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ตั้งใจจะลดน้ำหนัก หรือคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่นะคะ
ซีเชื่อว่าการลดน้ำหนักนั้นอยู่ที่ "ความตั้งใจ" และ "วินัย" ของเราค่ะ
หากเรามีความตั้งใจจริงๆ ก็จะสามารถทำมันได้อย่างแน่นอนค่ะ
ถ้าซีทำได้ คุณก็ต้องทำได้!
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายนี้นะคะ
และขอขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์ค่ะ