"สมาธิน้ำเต็มแก้ว ปัญญาคือน้ำล้นแก้ว"
" ..
"สมาธิ คือความสงบใจนี้เหมือนน้ำเต็มแก้ว" เต็มภูมิของมันแล้วเหมือนน้ำเต็มแก้ว
ให้เลยนั้นไม่เลย จะขนาดไหนก็อยู่แค่นั้น เหมือนน้ำเต็มแก้ว เลยนั้นไม่ได้ นี่คือสมาธิเต็มภูมิ
แต่จะให้มีความรู้ความฉลาดแยบคายยิ่งกว่านั้นไม่มี มีเต็มภูมิของสมาธิ
ซึ่งเท่ากับน้ำเต็มแก้วเท่านั้นเอง นี่สมาธิ มีขอบเขตนะ
ทีนี้พอออกทางด้านปัญญาไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะที่นี่
"พอด้านปัญญาเหมือนน้ำล้นแก้วที่นี่นะ"
พอออกทางด้านปัญญามันจะออกของมันกระจายออก ๆ
พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์
"อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา"
ทั้งเขาทั้งเราเทียบทั่วแดนโลกธาตุเข้ามาสู่จุดเดียวกันเหมือนกันหมด ๆ
มันพิจารณาของมันอย่างนั้น นี่เรียกว่าปัญญา ทีนี้แตกนะปัญญา
"ปัญญานี่เป็นน้ำล้นแก้ว" ไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว ปัญญานี้ออกแตกฉาน
ตามแต่นิสัยของผู้พิจารณา จะไม่มีสิ้นสุด พิจารณายังไง กิ่งนี้แตกแขนงนั้น
แขนงนั้นแตกแขนงนี้ แขนงนี้แตกแขนงนั้นเรื่อย นี่สติปัญญาออกทำงานนะ
พอจับจุดนี้ปั๊บ จุดนี้มีแขนงอะไรบ้างมันตามไปอีก เหล่านี้มีแขนงอะไรบ้างตามไปอีก ๆ
เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟหนาแน่นก็แสดงเปลวหนัก
ถ้าเบาบางลงไปเปลวก็อ่อนลงมา ๆ ยิ่งเชื้อไฟละเอียดเท่าไรไฟก็ละเอียดลงไป ๆ"
คำว่า
"เชื้อไฟคือกิเลส" กิเลสหนาแน่นเท่าไรสติปัญญาต้องฟัดกันอย่างหนักอย่างแน่น
ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ถึงขั้นฟ้าดินถล่มมันก็เป็นของมันเอง ไม่รุนแรงอย่างนั้น
กิเลสประเภทนี้จะลดตัวไม่ได้ หรือจะพังไปไม่ได้ ด้วยปัญญานี้เท่านั้น มันก็รู้ของมันเอง .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=370&CatID=2
สมาธิน้ำเต็มแก้ว ปัญญาคือน้ำล้นแก้ว (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"สมาธิน้ำเต็มแก้ว ปัญญาคือน้ำล้นแก้ว"
" .. "สมาธิ คือความสงบใจนี้เหมือนน้ำเต็มแก้ว" เต็มภูมิของมันแล้วเหมือนน้ำเต็มแก้ว
ให้เลยนั้นไม่เลย จะขนาดไหนก็อยู่แค่นั้น เหมือนน้ำเต็มแก้ว เลยนั้นไม่ได้ นี่คือสมาธิเต็มภูมิ
แต่จะให้มีความรู้ความฉลาดแยบคายยิ่งกว่านั้นไม่มี มีเต็มภูมิของสมาธิ
ซึ่งเท่ากับน้ำเต็มแก้วเท่านั้นเอง นี่สมาธิ มีขอบเขตนะ
ทีนี้พอออกทางด้านปัญญาไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะที่นี่
"พอด้านปัญญาเหมือนน้ำล้นแก้วที่นี่นะ"
พอออกทางด้านปัญญามันจะออกของมันกระจายออก ๆ
พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ "อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา"
ทั้งเขาทั้งเราเทียบทั่วแดนโลกธาตุเข้ามาสู่จุดเดียวกันเหมือนกันหมด ๆ
มันพิจารณาของมันอย่างนั้น นี่เรียกว่าปัญญา ทีนี้แตกนะปัญญา
"ปัญญานี่เป็นน้ำล้นแก้ว" ไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว ปัญญานี้ออกแตกฉาน
ตามแต่นิสัยของผู้พิจารณา จะไม่มีสิ้นสุด พิจารณายังไง กิ่งนี้แตกแขนงนั้น
แขนงนั้นแตกแขนงนี้ แขนงนี้แตกแขนงนั้นเรื่อย นี่สติปัญญาออกทำงานนะ
พอจับจุดนี้ปั๊บ จุดนี้มีแขนงอะไรบ้างมันตามไปอีก เหล่านี้มีแขนงอะไรบ้างตามไปอีก ๆ
เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟหนาแน่นก็แสดงเปลวหนัก
ถ้าเบาบางลงไปเปลวก็อ่อนลงมา ๆ ยิ่งเชื้อไฟละเอียดเท่าไรไฟก็ละเอียดลงไป ๆ"
คำว่า "เชื้อไฟคือกิเลส" กิเลสหนาแน่นเท่าไรสติปัญญาต้องฟัดกันอย่างหนักอย่างแน่น
ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ถึงขั้นฟ้าดินถล่มมันก็เป็นของมันเอง ไม่รุนแรงอย่างนั้น
กิเลสประเภทนี้จะลดตัวไม่ได้ หรือจะพังไปไม่ได้ ด้วยปัญญานี้เท่านั้น มันก็รู้ของมันเอง .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้