สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
-ศึกสุดท้าย-
กองเรือญี่ปุ่นยังคงมีความพยายามที่จะยึดเกาะ Guadacanal พร้อมกับสนามบิน Henderson กลับมาเป็นของตนให้ได้ ในวันที่ 12 พฤษจิกายน 1942 กองเรือของพลตรี Abe Hiroaki ประกอบด้วยเรือประจัญบาน 2 ลำ(IJN Hiei, IJN Kirishima) เรือลาดตระเวณเบา 1 ลำ(IJN Nagara) เรือพิฆาตอีก 14 ลำ(IJN Samidere, IJN Murasame, IJN Asagumo , IJN Teruzuki, IJN Amatsukaze, IJN Yukikaze, IJN Ikazuchi, IJN Inazuma, IJN Akatsuki, IJN Harusame, IJN Shigure, IJN Shiratsuyu, IJN Yugure และ IJN Yudachi) และกองเรือขนส่งที่มีพลเรือตรี Raizo Tanaka เป็นผู้บังคับบัญชา จะเข้าโจมตีและทำลายกองเรือสหรัฐที่คุ้มกันเกาะ Guadacanal และทำการระดมยิงสนามบิน Henderson บนเกาะ(แกมั่นใจถึงขนาดงานนี้แกเตรียมกระสุนชนิดพิเศษเพื่อเอามายิงสนามบิน Henderson โดยเฉพาะ) แล้วเปิดทางให้เรือขนส่งจากกองเรือของพลเรือตรี Raizo ปล่อยทหารของฝ่ายตนเองยกพลขึ้นเกาะเพื่อทำการยึดเกาะ Guadacanal และสนามบิน Henderson ต่อไป
กองเรือของพลเรือตรี abe ได้วิ่งเข้าสู่ช่องแคบ Indispensable จากทางเหนือเป็นระยะทางกว่า 130 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่เกาะ Guadacanal
ในขณะที่กองเรือขนส่งของพลเรือตรี Raizo ได้แล่นเดินทางมุ่งผ่านน่านน้ำของเกาะ New georgier(ตรงนี้ไม่แน่ใจ) มุ่งหน้าสู่เกาะ Guadacanal เช่นกัน โดยกองเรือของพลเรือตรี Abe ได้สั่งให้เรือพิฆาตจำนวน 3 ลำ(IJN Shigure, IJN Shiratsuyu, IJN Yugure)ทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังและให้อยู่แถวๆใกล้ๆกับเกาะ Russell เพื่อทำหน้าที่ระวังหลังเผื่อกองเรือของตนเองโดนกองเรือสหรัฐตีท้ายครัว และสั่งให้เรือพิฆาต IJN Asagumo, IJN Murasame, IJN Samidere อยู่ข้างหลังกองเรือ ในขณะที่เรือพิฆาต Yudachi, IJN Amatsukaze, IJN Tenruzuki อยู่ทางปีกซ้าย และเขาได้สั่งให้เรือประจัญบานทั้ง 2 ลำในกองเรือของเขา(IJN hiei, IJN Kirishima)ได้เตรียมกระสุน He แบบ Type 3 เพื่อเอาไว้ระดมยิงสนามบินโดยเฉพาะ ซึ่งกองเรือทั้ง 2 ต่างก็ได้ตัดสินใจแล่นเดินทางในเวลาคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายสหรัฐ ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เลวร้ายเนื่องจากพายุได้เข้าพอดีแถมคืนที่ปฏิบัติการก็ดันเป็นคืนเดือนมืดไร้แสงจากดวงจันทร์ทำให้กองเรือญี่ปุ่นนั้นแทบไม่ถูกกองเรือสหรัฐตรวจพบ แต่นั่นก็ส่งผลให้กองเรือญี่ปุ่นที่จะต้องทำภารกิจระดมยิงสนามบิน Henderson และขับไล่กองเรือสหรัฐปฏิบัติภารกิจได้ยากลำบากขึ้นเนื่องจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ กองเรือญี่ปุ่นยังคงแล่นเดินทางต่อไปจนพายุได้สงบลง แต่อย่างไรก็ดีในที่สุดกองเรือของพลเรือตรี abe ก็ได้ถูกตรวจพบโดยเครื่องบินของฝ่ายสหรัฐจนได้ ทำให้กองเรือของฝ่ายสหรัฐในตอนนั้นประกอบด้วยเรือลาดตระเวณหนัก 2 ลำ(USS San francisco, USS Portland) เรือลาดเวณเบา 3 ลำ(USS Helena, USS Juneau, USS Atlanta) เรือพิฆาต 8 ลำ(USS Cushing, USS Laffey, USS Sterett, USS O'Bannon, USS Aaron ward, USS Barton, USS Monssen, USS Fletcher) ได้จัดขบวนเป็นแถวตอนเรียงเดี่ยวเพื่อรอรับการมาเยือนของกองเรือญี่ปุ่น แต่ถึงกระนั้นกองเรือของฝ่ายสหรัฐก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่ากองเรือญี่ปุ่นจะแล่นเข้ามาโจมตีทางไหน
USS Portland
แต่อย่างไรก็ดีกองเรือของฝ่ายญี่ปุ่นนั้นก็ต้องทำให้กองเรือของสหรัฐต้องแปลกใจอีกครั้งเนื่องจากกองเรือญี่ปุ่นนั้นไม่ได้มุ่งแล่นเดินทางมาหากองเรือสหรัฐแบบตรงๆ แต่กองเรือญี่ปุ่นได้มุ่งแล่นเดินทางผ่านมาทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Savo และแน่นอนตอนนี้กองเรือทั้ง 2 ฝ่ายต่างเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดกองเรือสหรัฐได้พยายามทำ Cross T ใส่กองเรือญี่ปุ่นแต่ล้มเหลวเนื่องจากความล่าช้าของคำสั่งและความอลหม่านของกองเรือฝ่ายสหรัฐเอง โดยกองเรือญี่ปุ่นได้แสดงถึงความเหนือกว่าทั้งด้านจำนวนและความสามารถในการรบกลางคืนที่เหนือกว่ากองเรือฝ่ายสหรัฐศึกได้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เรือ Yudachi ได้แล่นหลบหลีกกระสุนปืนใหญ่และตอร์ปิโดจากกองเรือสหรัฐไปมาระหว่างที่กองเรือทั้ง 2 ฝ่ายกำลังยิงกันอย่างดุเดือด
แต่เรือก็ได้แสดงถึงความผิดพลาดโดยเผลอเปิดไฟสัญญาณให้กับเรือพิฆาต USS Sterett และ USS Aaron ward เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือฝ่ายเดียวกันจนทำให้เรือถูกเรือของสหรัฐทั้ง 2 ลำตรวจพบ โดย Yudachi ได้โดนทั้งตอร์ปิโดและปืนใหญ่ของเรือทั้ง 2 ระดมยิงเข้าใส่จนหม้อน้ำหมายเลข 1 ของเรือเสียใช้การไม่ได้ เรือหมดสภาพในการรบ ลูกเรือได้รับคำสั่งให้ทำการสละเรือ โดยมีเรือพิฆาต IJN Samidere ทำการช่วยเหลือชีวิตลูกเรือจำนวน 207 คนเอาไว้ โดยได้ยิงตอร์ปิโดเข้าใส่เพื่อหวังจะปลิดชีพให้เรือ Yudachi ลงไปจูบก้นทะเลแต่ล้มเหลวเรือ Yudachi ไม่จมทำให้เรือถูกปล่อยเป็นซากลอยน้ำไว้อย่างนั้น ในเช้าวันต่อมาเรือลาดตระเวณหนักที่อยู่ในสภาพพิการ USS Portland มาเห็นซากเรือ Yudachi เข้าทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ Savo และห่างจากเรือ Portland เป็นระยะทาง 9.7 กิโลเมตร ลูกเรือ Yudachi ที่เหลือบางส่วนของเรือได้ยกธงขาวขอความไว้อาลัยชีวิตกับเรือ Portland เป็นวาระสุดท้าย แต่เมื่อกัปตันของเรือ Portland ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาได้ตัดสินใจเมินต่อธงขาวจากเรือ Yudachi เขาได้สั่งให้เรือระดมยิงซากเรือ Yudachi จนได้จมลงสู่ก้นทะเลเป็นการปิดฉากเรือลำนี้ไปในที่สุด
สรุปผลรวมสรุปตลอดชีวิตของเรือ Yudachi เรือสามารถจมเรือฝ่ายข้าศึกได้ 2 ลำ เสียหายหนัก 2 ลำ เสียหายขนาดกลาง 1 ลำ(ถึงแม้ว่าทางฝ่ายญี่ปุ่นจะบอกว่าเรือ Yudachi จมเรือของข้าศึกได้ถึง 10 ลำซึ่งตรงนี้ จขกท.คิดว่ามันเว่อเกินไป)
รายละเอียดโดยรวม
อาวุธ : ป้อมปืนคู่ขนาด 5 นิ้ว 2 ป้อม ป้อมละ 2 กระบอกและป้อมปืนเดี่ยวขนาด 5 นิ้ว 1 ป้อม
: แท่นเดี่ยวปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 13 มิลลิเมตร จำนวน 2 แท่น
: ชุดยิงตอร์ปิโด 2 ชุด ชุดละ 4 ท่อยิง
: ระเบิดน้ำลึกสำหรับปราบเรือดำน้ำ 16 ลูก
ความเร็วสูงสุด 34 น็อต
ระวางขับน้ำ 1712 ตัน
ลูกเรือ 226 คน
อ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Japanese_destroyer_Yūdachi_(1936)
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Shiratsuyu-class_destroyer
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Naval_Battle_of_Guadalcanal#First_Naval_Battle_of_Guadalcanal.2C_13_November
USS Portland
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กดโหวตและถูกใจกระทู้ จขกท. จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ
กองเรือญี่ปุ่นยังคงมีความพยายามที่จะยึดเกาะ Guadacanal พร้อมกับสนามบิน Henderson กลับมาเป็นของตนให้ได้ ในวันที่ 12 พฤษจิกายน 1942 กองเรือของพลตรี Abe Hiroaki ประกอบด้วยเรือประจัญบาน 2 ลำ(IJN Hiei, IJN Kirishima) เรือลาดตระเวณเบา 1 ลำ(IJN Nagara) เรือพิฆาตอีก 14 ลำ(IJN Samidere, IJN Murasame, IJN Asagumo , IJN Teruzuki, IJN Amatsukaze, IJN Yukikaze, IJN Ikazuchi, IJN Inazuma, IJN Akatsuki, IJN Harusame, IJN Shigure, IJN Shiratsuyu, IJN Yugure และ IJN Yudachi) และกองเรือขนส่งที่มีพลเรือตรี Raizo Tanaka เป็นผู้บังคับบัญชา จะเข้าโจมตีและทำลายกองเรือสหรัฐที่คุ้มกันเกาะ Guadacanal และทำการระดมยิงสนามบิน Henderson บนเกาะ(แกมั่นใจถึงขนาดงานนี้แกเตรียมกระสุนชนิดพิเศษเพื่อเอามายิงสนามบิน Henderson โดยเฉพาะ) แล้วเปิดทางให้เรือขนส่งจากกองเรือของพลเรือตรี Raizo ปล่อยทหารของฝ่ายตนเองยกพลขึ้นเกาะเพื่อทำการยึดเกาะ Guadacanal และสนามบิน Henderson ต่อไป
กองเรือของพลเรือตรี abe ได้วิ่งเข้าสู่ช่องแคบ Indispensable จากทางเหนือเป็นระยะทางกว่า 130 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่เกาะ Guadacanal
ในขณะที่กองเรือขนส่งของพลเรือตรี Raizo ได้แล่นเดินทางมุ่งผ่านน่านน้ำของเกาะ New georgier(ตรงนี้ไม่แน่ใจ) มุ่งหน้าสู่เกาะ Guadacanal เช่นกัน โดยกองเรือของพลเรือตรี Abe ได้สั่งให้เรือพิฆาตจำนวน 3 ลำ(IJN Shigure, IJN Shiratsuyu, IJN Yugure)ทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังและให้อยู่แถวๆใกล้ๆกับเกาะ Russell เพื่อทำหน้าที่ระวังหลังเผื่อกองเรือของตนเองโดนกองเรือสหรัฐตีท้ายครัว และสั่งให้เรือพิฆาต IJN Asagumo, IJN Murasame, IJN Samidere อยู่ข้างหลังกองเรือ ในขณะที่เรือพิฆาต Yudachi, IJN Amatsukaze, IJN Tenruzuki อยู่ทางปีกซ้าย และเขาได้สั่งให้เรือประจัญบานทั้ง 2 ลำในกองเรือของเขา(IJN hiei, IJN Kirishima)ได้เตรียมกระสุน He แบบ Type 3 เพื่อเอาไว้ระดมยิงสนามบินโดยเฉพาะ ซึ่งกองเรือทั้ง 2 ต่างก็ได้ตัดสินใจแล่นเดินทางในเวลาคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายสหรัฐ ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เลวร้ายเนื่องจากพายุได้เข้าพอดีแถมคืนที่ปฏิบัติการก็ดันเป็นคืนเดือนมืดไร้แสงจากดวงจันทร์ทำให้กองเรือญี่ปุ่นนั้นแทบไม่ถูกกองเรือสหรัฐตรวจพบ แต่นั่นก็ส่งผลให้กองเรือญี่ปุ่นที่จะต้องทำภารกิจระดมยิงสนามบิน Henderson และขับไล่กองเรือสหรัฐปฏิบัติภารกิจได้ยากลำบากขึ้นเนื่องจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ กองเรือญี่ปุ่นยังคงแล่นเดินทางต่อไปจนพายุได้สงบลง แต่อย่างไรก็ดีในที่สุดกองเรือของพลเรือตรี abe ก็ได้ถูกตรวจพบโดยเครื่องบินของฝ่ายสหรัฐจนได้ ทำให้กองเรือของฝ่ายสหรัฐในตอนนั้นประกอบด้วยเรือลาดตระเวณหนัก 2 ลำ(USS San francisco, USS Portland) เรือลาดเวณเบา 3 ลำ(USS Helena, USS Juneau, USS Atlanta) เรือพิฆาต 8 ลำ(USS Cushing, USS Laffey, USS Sterett, USS O'Bannon, USS Aaron ward, USS Barton, USS Monssen, USS Fletcher) ได้จัดขบวนเป็นแถวตอนเรียงเดี่ยวเพื่อรอรับการมาเยือนของกองเรือญี่ปุ่น แต่ถึงกระนั้นกองเรือของฝ่ายสหรัฐก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่ากองเรือญี่ปุ่นจะแล่นเข้ามาโจมตีทางไหน
USS Portland
แต่อย่างไรก็ดีกองเรือของฝ่ายญี่ปุ่นนั้นก็ต้องทำให้กองเรือของสหรัฐต้องแปลกใจอีกครั้งเนื่องจากกองเรือญี่ปุ่นนั้นไม่ได้มุ่งแล่นเดินทางมาหากองเรือสหรัฐแบบตรงๆ แต่กองเรือญี่ปุ่นได้มุ่งแล่นเดินทางผ่านมาทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Savo และแน่นอนตอนนี้กองเรือทั้ง 2 ฝ่ายต่างเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดกองเรือสหรัฐได้พยายามทำ Cross T ใส่กองเรือญี่ปุ่นแต่ล้มเหลวเนื่องจากความล่าช้าของคำสั่งและความอลหม่านของกองเรือฝ่ายสหรัฐเอง โดยกองเรือญี่ปุ่นได้แสดงถึงความเหนือกว่าทั้งด้านจำนวนและความสามารถในการรบกลางคืนที่เหนือกว่ากองเรือฝ่ายสหรัฐศึกได้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เรือ Yudachi ได้แล่นหลบหลีกกระสุนปืนใหญ่และตอร์ปิโดจากกองเรือสหรัฐไปมาระหว่างที่กองเรือทั้ง 2 ฝ่ายกำลังยิงกันอย่างดุเดือด
แต่เรือก็ได้แสดงถึงความผิดพลาดโดยเผลอเปิดไฟสัญญาณให้กับเรือพิฆาต USS Sterett และ USS Aaron ward เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือฝ่ายเดียวกันจนทำให้เรือถูกเรือของสหรัฐทั้ง 2 ลำตรวจพบ โดย Yudachi ได้โดนทั้งตอร์ปิโดและปืนใหญ่ของเรือทั้ง 2 ระดมยิงเข้าใส่จนหม้อน้ำหมายเลข 1 ของเรือเสียใช้การไม่ได้ เรือหมดสภาพในการรบ ลูกเรือได้รับคำสั่งให้ทำการสละเรือ โดยมีเรือพิฆาต IJN Samidere ทำการช่วยเหลือชีวิตลูกเรือจำนวน 207 คนเอาไว้ โดยได้ยิงตอร์ปิโดเข้าใส่เพื่อหวังจะปลิดชีพให้เรือ Yudachi ลงไปจูบก้นทะเลแต่ล้มเหลวเรือ Yudachi ไม่จมทำให้เรือถูกปล่อยเป็นซากลอยน้ำไว้อย่างนั้น ในเช้าวันต่อมาเรือลาดตระเวณหนักที่อยู่ในสภาพพิการ USS Portland มาเห็นซากเรือ Yudachi เข้าทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ Savo และห่างจากเรือ Portland เป็นระยะทาง 9.7 กิโลเมตร ลูกเรือ Yudachi ที่เหลือบางส่วนของเรือได้ยกธงขาวขอความไว้อาลัยชีวิตกับเรือ Portland เป็นวาระสุดท้าย แต่เมื่อกัปตันของเรือ Portland ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาได้ตัดสินใจเมินต่อธงขาวจากเรือ Yudachi เขาได้สั่งให้เรือระดมยิงซากเรือ Yudachi จนได้จมลงสู่ก้นทะเลเป็นการปิดฉากเรือลำนี้ไปในที่สุด
สรุปผลรวมสรุปตลอดชีวิตของเรือ Yudachi เรือสามารถจมเรือฝ่ายข้าศึกได้ 2 ลำ เสียหายหนัก 2 ลำ เสียหายขนาดกลาง 1 ลำ(ถึงแม้ว่าทางฝ่ายญี่ปุ่นจะบอกว่าเรือ Yudachi จมเรือของข้าศึกได้ถึง 10 ลำซึ่งตรงนี้ จขกท.คิดว่ามันเว่อเกินไป)
รายละเอียดโดยรวม
อาวุธ : ป้อมปืนคู่ขนาด 5 นิ้ว 2 ป้อม ป้อมละ 2 กระบอกและป้อมปืนเดี่ยวขนาด 5 นิ้ว 1 ป้อม
: แท่นเดี่ยวปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 13 มิลลิเมตร จำนวน 2 แท่น
: ชุดยิงตอร์ปิโด 2 ชุด ชุดละ 4 ท่อยิง
: ระเบิดน้ำลึกสำหรับปราบเรือดำน้ำ 16 ลูก
ความเร็วสูงสุด 34 น็อต
ระวางขับน้ำ 1712 ตัน
ลูกเรือ 226 คน
อ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Japanese_destroyer_Yūdachi_(1936)
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Shiratsuyu-class_destroyer
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Naval_Battle_of_Guadalcanal#First_Naval_Battle_of_Guadalcanal.2C_13_November
USS Portland
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กดโหวตและถูกใจกระทู้ จขกท. จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ
แสดงความคิดเห็น
IJN Yudachi นะโป้ย
ผิดๆลำนี้ต่างหาก
IJN Yudachi เป็นเรือพิฆาตลำดับ 4 ในชั้น Shiratsuyu class ซึ่งเรือพิฆาตชั้นนี้นั้นต่อออกมาทั้งหมด 10 ลำ ซึ่งเรือชั้นนี้เป็นเรือที่ปรับปรุงมาจากเรือพิฆาตชั้น Hatsuharu class ก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นสะพานเดินเรือที่ได้รับการออกแบบใหม่ ปล่องควันที่มีความชันขึ้น นอกจากนั้นเมื่อเทียบกับเรือพิฆาตชั้น Hatsuharu class แล้วหัวเรือของเรือชั้นนี้ยังมีขนาดที่กว้างและยาวขึ้น เรือชั้นนี้ยังเป็นเรือชั้นแรกของญี่ปุ่นที่ได้ติดตั้งตอร์ปิโดแบบ 4 ท่อยิง และโทรศัพท์ที่ต่อสายตรงไปยังสถานีตอร์ปิโด
โดยการออกแบบเรือพิฆาตชั้นนี้มันก็ไม่ต่างจากเรือพิฆาตชั้นก่อนๆของกองทัพเรือญี่ปุ่นที่ออกแบบมาให้เน้นปฏิบัติภารกิจร่วมกับกองเรือโจมตีหลักอันเกรียงไกรของญี่ปุ่น และมีความสามารถในการรบได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการโจมตีด้วยตอร์ปิโดและการรบในเวลากลางคืนที่กองเรือญี่ปุ่นมีศักยภาพในการรบที่สูงกว่ากองเรือของสหรัฐอย่างมาก ในช่วงที่เรือชั้นนี้ถูกต่อออกมาใหม่ๆนั้น ถือว่ามันเป็นหนึ่งในเรือพิฆาตที่มีพิษสงมากที่สุดโลกในตอนนั้น และแน่นอนชะตากรรมของเรือในชั้นนี้ทั้งหมดที่ต่อออกมา 10 ลำ นั้นถือว่าไม่รอดซักลำเดียว(รวมทั้ง Yudachi ด้วย) ซึ่งในตอนนั้นกองเรือสหรัฐคือเจ้าแห่งแปซิฟิก(ปัจจุบันก็ยังคงเป็นไม่เสื่อมคลาย)เรือ yudachi ถูกต่อที่อู่ต่อเรือ Sasebe naval arsenal และเรือทำการวางกระดูกงูในวันที่ 16 ตุลาคม 1934 เรือถูกปล่อยลงน้ำในวันที่ 21 มิถุนายน 1936 และเข้าประจำการอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มกราคม 1937
-สงครามโลกครั้งที่ 2-
ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 เมื่อญี่ปุ่นได้เปิดฉากด้วยการตีท้ายครัวประกาศสงครามกับสหรัฐ โดยได้ส่งฝูงเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินของตนเข้าโจมตีท่าเรือ Pearl harbor จนเสียหายยับเยิน จบและเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐกระโจนเข้าสู่สงครามแบบเต็มตัว เรือได้เข้าร่วมกับกองเรือพิฆาตที่ 2 ซึ่งเป็นกองเรือพิฆาตขนาดใหญ่ในกองเรือที่ 2 ของกองทัพเรือญี่ปุ่นร่วมกับพี่น้องของเรืออย่าง IJN Murasame, IJN Harusame, IJN Samidere และได้รับคำสั่งจากศูนย์บัญชาการกองทัพเรือของญี่ปุ่นบนเกาะ Makung ให้กองเรือเข้าโจมตีประเทศฟิลิปปินส์ และตั้งแต่เดือน มกราคม 1942 เป็นต้นมาเรือได้มีส่วนรวมในภารกิจสำคัญต่างๆในการเข้าโจมตีเขตอาณานิคมของประเทศเนเธอแลนด์(หรือประเทศอินโดนิเซียในปัจจุบัน) ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโจมตีเกาะ Tarakan เมืองท่า Balikpapan ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1942 เรือได้มีส่วนร่วมในศึกยุทธนาวีที่ทะเลจาว่า ซึ่งถือว่าเป็นศึกยุทธนาวีที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของเรือรบบนผิวน้ำโดยที่ไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินเข้ามาเกี่ยวข้อง กองเรือญี่ปุ่นได้เข้าปะทะกับกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยประสบการณ์และศักยภาพที่เหนือกว่าของกองเรือญี่ปุ่นในช่วงตอนต้นสงคราม ทำให้กองเรือญี่ปุ่นได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยมีเพียงเรือพิฆาต 1 ลำที่เสียหายอย่างหนัก ในขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเสียเรือลาดตระเวณไป 2 ลำและเรือพิฆาตอีก 3 ลำ ผลจากศึกนี้ทำให้ญี่ปุ่นสามารถยึดครองอาณานิคมของประเทศเนเธอแลนด์ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถขับไล่อิทธิพลของกองเรือฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่บริเวณนี้เกือบทั้งหมดออกไปได้
ในวันที่ 16 มีนาคม 1942 เรือได้แล่นเดินทางกลับไปยังอ่าว Subic bay ประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากนั้นเรือ Yudachi ได้มีส่วนร่วมในการปิดล้อมกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่อ่าว Manila bay และมีส่วนช่วยในการเข้าโจมตีเกาะ Cebu ประเทศฟิลิปปินส์ ในปลายเดือน พฤษภาคม 1942 เรือได้แล่นกลับไปยังฐานทัพเรือที่เมือง Yokusuka เพื่อทำการซ่อมแซม ในยุทธนาวีที่หมู่เกาะ Midway ในวันที่ 4 มิถุนายน 1942 เรือได้เข้าร่วมกับกองเรือของพลเรือเอก Nobutake Kondo
ในช่วงกลางเดือน มิถุนายน 1942 เรือได้แล่นเดินทางออกจากฐานทัพเรือที่เมือง Kure แล่นผ่านไปทางประเทศสิงค์โปร์ และเมือง Myeik ประเทศพม่า เพื่อเตรียมตัวสำหรับการโจมตีฝ่ายสัมพันธมิตรตามจุดต่างๆทั่วมหาสมุทรอินเดีย แต่ภารกิจก็ต้องถูกยกเลิกไปก่อนเนื่องจากเรือได้รับคำสั่งจากกองทัพเรือญี่ปุ่นที่อยู่ที่หมู่เกาะ Solomon ให้รีบกลับมาช่วยกองเรือญี่ปุ่นในแถบนี้โดยด่วนเนื่องจากกองเรือที่อยู่ในแถบนั้นกำลังเจอคู่ต่อสู้ที่โหดกว่ากองเรือของทางฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ตรงมหาสมุทรอินเดียมากมายหลายเท่า "กองเรืออันแสนเกรียงไกรของสหรัฐ"นั่นเอง เรือได้แล่นเดินทางถึงเกาะ Shortland ในวันที่ 30 สิงหาคม 1942 และได้รับภารกิจให้ทำการคุ้มกันขบวนเรือสินค้าของญี่ปุ่น หรือที่ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งชื่อให้มันเล่นๆแบบดูถูกว่า"Tokyo Express" ซึ่งเป็นขบวนเรือสินค้าที่มักจะปฏิบัติภารกิจในตอนกลางคืนเป็นซะส่วนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายกองเรือสหรัฐ โดยขบวนเรือได้ขนยุทธปัจจัยสำคัญต่างๆของกองทัพญี่ปุ่นไม่วาจะเป็นทหาร กระสุน เครื่องยุทธภัณฑ์ในการรบ เสบียง และอื่นๆอีกมากมายที่จำเป็นในการต่อกรกับกองเรือสหรัฐไปยังเกาะ Guadacanal
ในตอนกลางคืนระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 1942 เรือ Yudachi พร้อมกับเรือพิฆาต IJN Hatsuyuki และ IJN Murakumo ได้มีส่วนช่วยในการจมเรือพิฆาตของสหรัฐ USS Gregory และ USS Little ซึ่งเรือทั้ง 2 ลำต่างก็เป็นเรือพิฆาตที่ถูกดัดแปลงเป็นเรือขนส่งเร็วและ ทั้งคู่ต่างก็เป็นเรือที่เก่าคร่ำครึและล้าสมัยและสร้างตั้งแต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทั้งคู่พึ่งทำภารกิจขนส่งนาวิกโยธินสหรัฐไปยังเกาะ Savo เสร็จ และได้ลาดตระเวณไปมาระหว่างเกาะ Savo และเกาะ Guadacanal ด้วยความเร็วเพียง 10 น็อต ในระหว่างที่ลาดตระเวณทั้งคู่ก็ดันไปเจอกับขบวนเรือสินค้า Tokyo Express เข้าและเข้าใจผิดว่าเป็นเรือดำน้ำ จนเรดาร์ของเรือทั้ง 2 ต่างก็บอกพร้องกันว่าที่ทั้ง 2 เจอคือขบวนเรือสินค้าของญี่ปุ่นที่มีเรือพิฆาต 3 ลำและเรือลาดตระเวณ 1 ลำกำลังทำการคุ้มกัน เรือทั้ง 2 ฝ่ายได้ยิงกันไปมาอย่างดุเดือดแต่สิ่งที่ทำให้เรือ 2 ลำนี้ของกองเรือสหรัฐซวยก็คือเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐนั่นเอง เนื่องจากนักบินของสหรัฐและเครื่องบินทะเลแบบ PBY Catalina ของเขาดันเข้าใจผิดไปว่าเรือสหรัฐกำลังถูกเรือดำน้ำญี่ปุ่นโจมตีก็เลยตัดสินใจปล่อยพลุแฟลร์ ลงไปช่วยเรือสหรัฐเพื่อค้นหาเรือดำน้ำญี่ปุ่น จำนวน 5 ลูก ผลจากแฟลร์ส่องสว่าง ทำให้กองเรือญี่ปุ่นเห็นตำแหน่งของเรือทั้ง 2 ลำของสหรัฐเข้าพอดิบพอดีก็เลยระดมยิงจนเรือ 2 ลำนี้ลงไปจูบก้นทะเลใกล้ๆกับเกาะ Savo
แต่สิ่งที่ทำให้เรือ Yudachi, Hatsuyuki, Murakumo ได้มีตราบาปไปตลอดชีวิตคือหลังจากที่เรือทั้ง 2 ลำของสหรัฐจม แทนที่พวกเขาจะช่วยลูกเรือของเรือสหรัฐตามหลักมนุษยธรรมพวกเขากลับได้ทำการเปิดฉากสังหารลูกเรือสหรัฐที่ลอยคออยู่บนผิวน้ำโดยได้แล่นเข้าไประหว่างซากเรือทั้ง 2 ที่กำลังจม และได้เปิดฉากยิงสังหารหมู่ผู้ที่รอดชีวิต โดยมีลูกเรือของสหรัฐเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากขณะกำลังลอยคออยู่บนผิวน้ำเพื่อรอคอยรับการช่วยเหลือ แทบไม่มีการช่วยเหลือลูกเรือสหรัฐจากเรือญี่ปุ่นเหล่านี้ โดยมีลูกเรือของ USS Gregory เพียงแค่ 11 คนเท่านั้นที่รอดชีวิตเพราะได้โดยมี 6 คนแอบลักลอบว่ายน้ำหนีในความมืดไปขึ้นฝั่งยังเกาะ Guadacanal(ส่วนของ Little ไม่แน่ใจ)
PBY Catalina ต้นเหตุแห่งความซวยของเรือทั้ง 2 ลำของสหรัฐ
ต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม 1942 เรือได้เข้าร่วมในศึกยุทธนาวีกับกองเรือสหรัฐ ที่เกาะ Santa Cruz ซึ่งในศึกนี้เรือทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็แทบไม่ได้เปิดฉากยิงกันเลยเนื่องจากกองเรือทั้งคู่อยู่ห่างกันเป็นระยะกว่า 370 กิโลเมตร ทำให้ศึกนี้กลายเป็นหน้าที่ของเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินของแต่ละฝ่ายไปโดยปริยาย หลังจบศึกกองเรือญี่ปุ่นได้ทำการล่าถอยต่อกองเรือของสหรัฐ ถึงกองเรือของฝ่ายสหรัฐจะเป็นฝ่ายที่เสียหายหนักกว่าก็ตาม เป็นชัยชนะอีกครั้งของกองเรือสหรัฐ และเมื่อจบศึกเรือ Yudachi ก็ยังคงทำหน้าที่คุ้มกันขบวนเรือสินค้า Tokyo Express ของฝ่ายตนเองไปจนถึงเดือน พฤศจิกายน 1942