รักข้างเดียว - ตอนที่ 1 หวน

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 1 – หวน

เปิดเว็บไซต์เดิมเป็นประจำที่ต้องทำทุกวัน เพื่อเช็คข่าวสารและความเคลื่อนไหวของคนทั่วไปที่มีอยู่ในเครือข่ายเพื่อนแม้ว่าบางคนก็อาจไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป เฟสบุ๊คคงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว ที่ฉันต้องเปิดดูทุกวันเป็นปกติ วันนี้ก็เช่นกันที่ฉันเปิดมันขึ้นมา แต่หากว่าวันนี้กลับผิดปกติก็ตรงที่อยู่ๆ มีแถบหนึ่งลอยขึ้นมาทางขวามือที่ขึ้นหัวข้อ “คนที่คุณอาจรู้จัก” และฉันก็รู้สึกว่ามันไม่เคยมีมาก่อน  

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เฟสบุ๊คยังเป็นแบบเดิมๆ อยู่ ไม่มีหน้า Timeline ไม่สามารถใส่หน้าปกให้กับเฟสบุ๊คได้ และยังมีอีกหลายๆ อย่างของเฟสบุ๊คในปัจจุบันนี้ที่อดีตไม่มี แต่ก่อนหน้านั้นอีกที...ก่อนการปฏิวัติครั้งใหญ่ของเว็บไซต์เฟสบุ๊คที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาไปจากเดิม ก็ยังมีการเพิ่มเติมฟีเจอร์ต่างๆ ทีละน้อยเรื่อยมา รวมถึงแถบ “คนที่คุณอาจรู้จัก” ตอนนั้นฉันจำได้ดีว่ามันไม่เคยมีมาก่อน และฉันอาจไม่ตื่นเต้นมากขนาดนั้นถ้ารายชื่อประเดิมคนแรกไม่ใช่เขา

ทีแรกก็มองอยู่นานพอตัวกว่าจะแน่ใจว่าใช่ เพราะรูปโปรไฟล์ที่ปรากฏอยู่ตอนนั้นมันมีขนาดเล็กมาก แถมคนในภาพยังก้มหน้าก้มตาอีก ทำให้มองไม่ถนัด แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไปรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจนได้ว่าเหมือนเขาจัง แต่ก็ยังคิดว่าไม่น่าจะใช่หรอก คนไม่เจอกันมาตั้งนานเกือบแปดปีแถมไม่ได้ยินข่าวคราวหรือมีช่องทางการติดต่ออะไรเลย จะมาลอยอยู่บนเฟสบุ๊คได้ไง แต่ถ้าหากใคร่ที่จะรู้ก็ต้องดูให้จบถึงรายละเอียดทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ตอนนั้น เหลือบมองอ่านชื่อก็พบว่าไม่ใช่จริงๆ เพราะมันไม่ใช่ชื่อของเขาที่เราเคยรู้จัก แต่พอเหลือบมองนามสกุลเท่านั้น ความคิดเมื่อครู่ก็เปลี่ยนโดยเร็ว เพราะมันเป็นนามสกุลของเขาจริงๆ

ฉันคิดใหม่ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนชื่อก็เป็นได้ เพราะมันก็ผ่านเวลามานานมากแล้ว ว่าแล้วจึงรีบคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ของเขาโดยเร็ว ก็ไม่เห็นอะไรมากหรอกเพราะยังไม่ได้แอดเพื่อนกัน แต่ที่เห็นชัดก็คือรูปโปรไฟล์ที่มันขยายใหญ่ขึ้น เห็นชัดมากขึ้นและรู้ว่าเป็นเขาจริงๆ

เขาคือ “ภัทร” ความรักในวัยเด็กของฉัน ตอนนั้นฉันอายุ 12 ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ฟังดูอาจแก่แดดไปหน่อยหรืออาจจะไม่หน่อยด้วยซ้ำสำหรับมุมมองของบางคน และเรื่องนี้ก็อาจไม่ใช่ความรักที่ลึกซึ้งหรือกินใจอะไร เป็นเพียงความทรงจำที่ทำให้รู้สึกดีเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงหนึ่งคนเท่านั้น และมันก็บริสุทธิ์ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมหรือผลพลอยได้ใดๆ โดยสิ้นเชิง เป็นเพียงความรักที่ไม่ประสีประสานัก เหมือนเด็กฝึกหัดที่กำลังเรียนรู้กับคำๆ นี้ไปพลางๆ ระหว่างช่วงวัย แต่จะแปลกก็ตรงที่เด็กผู้หญิงคนเดิมคนนี้เมื่อเติบโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ กลับยังไม่ลืมเรื่องราวในวัยนั้นออกไปจากความคิด ทั้งเด็กผู้ชายคนเดิมก็ยังอยู่ในความประทับใจของเธอไม่รู้จบ  

หลังจากที่เรียนจบชั้นประถมฯ จนกระทั่งเวลานี้ที่ฉันเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัยปีที่สอง นับๆ ดูก็ผ่านมาร่วมแปดปี ที่ฉันไม่เคยเจอกับเขาอีกเลย ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งข่าวคราวความเป็นไปใดๆ เกี่ยวกับเขา หลายครั้งที่ฉันอดคิดถึงเขาไม่ได้ เมื่อทุกครั้งที่ได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนเก่าคนอื่นๆ จนกระทั่งครั้งหนึ่งสมัยที่ฉันเรียนอยู่มัธยมตอนปลาย ก็ยังเคยลองเซิทชื่อเขาในเว็บไซต์กูเกิ้ลดู เพื่อหวังในใจให้ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในกระทู้โรงเรียนใดสักแห่ง แต่ก็ไม่เป็นผลอีกตามเคย จนท้อใจและคิดไปว่าชาตินี้ เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

อาจเป็นเพราะโรงเรียนที่เขาไปเรียนต่อค่อนข้างไกลออกไปจากถิ่นเดิม และเขาก็เป็นคนเดียวที่ไปเรียนต่อในโรงเรียนนั้น ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่เกาะกลุ่มกันเรียนต่อในโรงเรียนละแวกใกล้ๆ กับโรงเรียนเดิม จึงทำให้เครือข่ายถึงกันไม่ขาดหาย มีอะไรก็ยังเล่าสู่กันฟังเป็นประจำให้ฉันได้อัพเดทข่าวคราวเพื่อนคนอื่นๆ ได้บ้าง ผิดกับเขาที่หายไป ฉันจึงไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย

ในวันถัดมาขณะที่ฉันกำลังใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัย ช่วงพักกลางวันก็มีสายของใครบางคนโทร. เข้ามา ทำให้ฉันต้องหยิบมือถือขึ้นมาสำรวจก็พบว่าเป็นเพื่อนสาวสุดซี้ของฉันเอง เป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมฯ ซึ่งเรียนอยู่ต่างมหาฯ ลัยกัน ฉันกดรับสายไปตามเรื่องราวก็ได้ยินคำถามแรกจากมันที่ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น “แพรๆๆ ชายหนุ่มคนนั้นในเฟสแกคือใคร บอกมาเดี๋ยวนี้” ครั้งแรกที่ได้ยินคำถาม ฉันยังแปลกใจ เพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพื่อนกำลังหมายถึงใคร

ฉันใช้เวลานึกครู่หนึ่งก็ย้อนถามออกไปเพื่อต้องการให้เพื่อนขยายความ “ใครวะ”

“ก็โพสล่าสุดนี่ไง ที่เขามาทักแกอะ” เพื่อนของฉันยังอ้างอิงถึงสิ่งที่เห็นต่อไป ในขณะที่ฉันก็ยังไม่ใคร่จะนึกออก

“ทักว่าไรอะ” ฉันย้อนถามกลับไปอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ในขณะที่พูดก็ยังจดจ่อไปกับสิ่งอื่นด้วยเห็นว่าไม่สำคัญอะไร ยังคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเม้าท์แตกเรื่อยเปื่อยของเพื่อนสาวเท่านั้น

“เอ๊คุ้นๆ น้าคนเนี่ย แพรเป็นไงบ้าง สบายดีเปล่า จำภัทรได้ป่ะๆๆ” เพื่อนสาวอ่านข้อความในโพสนั้นให้ฉันฟังเพื่อเป็นการตอบคำถาม เพียงเท่านั้นหัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันตื่นเต้นมากเมื่อรับรู้ในทันทีว่าเจ้าของโพสนั้นคือใคร ดวงตายังลุกวาวขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ใช่แล้ว! ชายหนุ่มที่เพื่อนว่าคือเขา! เขาคนนั้น!

“เฮ้ย! นั่นมัน...เพื่อนฉันเมื่อตอนประถมฯ ฉันเพิ่งแอดไปหามันเมื่อวาน” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นแบบสุดตัว เพราะตอนนั้นมันตื่นเต้นมากจริงๆ ที่รู้ว่าเขากดรับเฟสบุ๊คเราแล้ว และยังมาทักเราก่อนอีก ดีใจที่เขายังจำเราได้ และดีใจในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

“เพื่อนแกเหรอ” เพื่อนสาวถามหนึ่งคำสั้นๆ ก่อนจะหยุดพูดเพื่อเว้นวรรคประโยคแล้วกล่าวต่อ “ขอนะคนเนี้ย หล่อดี ขอนะๆๆ” เธอพูดหน้าตาเฉยแบบคนที่ไม่รู้อะไรเลย ความจริงก็ไม่ใช่ความผิดของมันนะ แต่ทำไมเราต้องหงุดหงิดด้วยก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นยิ่งฟังก็ยิ่งขัดใจที่เพื่อนพูด

“ไม่ได้! คนนี้ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ห้ามยุ่ง!” นี่เป็นคำพูดที่จริงจังอยู่ไม่น้อย บอกตรงๆ ว่าหวงมาก หวงจริงๆ คนนี้ และหวงแบบไม่มีเหตุผล จะว่าบ้าก็ได้นะ แต่มโนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าคนนี้น่ะ...ของฉัน!

“อะไรอะ ทำไมไม่ได้อะ ก็แค่เพื่อนเมื่อตอนประถมฯ” ถึงอย่างนั้นเพื่อนตัวดีก็ยังไม่ยอมจบ และย้อนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงงอแง ฉันจึงจำเป็นต้องอธิบายออกไปถึงเหตุผลตรงๆ เพื่อนสาวจึงสงบความคิดลงและเปลี่ยนเรื่องพูดไปแต่โดยดี

เสร็จจากนั้นเมื่อวางสายไปแล้ว ฉันยังแอบยิ้มด้วยอารมณ์ที่เบิกบานอยู่น้อยๆ มันดีใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงหน้าผู้ชายคนนั้น โดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ ให้ลึกซึ้งมากมาย ฉันดีใจที่เขายังจำฉันได้ และดีใจที่ได้รับคำทักทายจากเขาถึงแม้จะเป็นเพียงตัวหนังสือก็ตาม

ทันทีที่กลับถึงบ้านฉันก็ตรงดิ่งไปที่คอมพิวเตอร์อย่างด่วนจี๋ และเปิดเว็บไซต์เดิมขึ้นมาเพื่อที่จะดูให้เห็นด้วยตาตัวเองถึงโพสนั้นจากเขา จนกระทั่งได้เห็นก็ทำให้ฉันต้องยิ้มอีกครั้งเพราะดีใจ ฉันรีบกรอกคำทักทายตอบกลับไปทันที ด้วยใจความที่แสดงออกว่าดีใจที่สุด ที่ได้เจอเฟสบุ๊คของเขาครั้งนี้ ทั้งยังอ้างอิงถึงเรื่องเดิมๆ สมัยเด็กให้เขาได้ทบทวนไปถึงมัน

“จำไม่ได้อะ ภัทรไหนเหรอ? ใช่ภัทรที่เคยแข่งบาสกันแล้วบอกว่าใครแพ้เลี้ยงเป๊ปซี่ป่ะ? ภัทรไหนอะ จำไม่เห็นได้เลย ฮ่าๆๆๆ เป็นไงบ้างเนี่ยหลังจากที่จบ ป.6 ไป ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับแกเลย เขามีเรื่องจะคุยกับแกมากมายอะภัทร ตื่นเต้นมากที่เจอเฟสบุ๊คแกเนี่ย โชว์เบอร์มาหน่อยๆ” ตบท้ายโพสนี้ฉันก็ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ตัวเองลงไป เพื่อหวังให้เขาโชว์เบอร์โทรศัพท์กลับมาที่เครื่องของฉัน

ฉันหวังให้เขาดีใจเหมือนกับที่ฉันดีใจอยู่ตอนนี้ และหวังให้เขาตื่นเต้นที่เราได้มีโอกาสกลับมาติดต่อกันอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายกันไปเกือบแปดปี จึงยังตั้งหน้าหน้าตารอคำตอบกลับจากเขาจนกระทั่งที่เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า เขาก็ตอบกลับมา จากนั้นเราสองคนก็ตอบกันไปมาประมาณสองสามกล่องข้อความ ก็จบบทสนทนาในที่สุด ในขณะที่ฉันยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นระยะ เพื่อรอคอยเบอร์แปลกที่จะโชว์เข้ามาเสียที แต่กลับไร้วี่แวว จึงพาให้ฉันผิดหวังอยู่ไม่น้อยเลย

เหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เท่าที่ควร มันแปลกๆ ยังไงก็อธิบายไม่ถูก ในโพสที่ตอบกันไปมาในเฟสบุ๊คก็เหมือนว่าเขาจะดีใจเหมือนกัน แต่อีกนัยหนึ่งก็แฝงเหมือนเขาก็ทำเฉยใส่อยู่ในที พาให้ฉันเองก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูก

หลังจากวันนั้นประมาณสองสามวันผ่านพ้นไป ฉันยังลองเข้าไปทิ้งคำทักทายในหน้าเฟสฯ ของเขาอีกครั้ง ด้วยคำสั้นๆ ว่า “สวัสดี” ตบท้ายด้วยสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงรอยยิ้ม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ...เขาไม่ตอบกลับ และทิ้งโพสนั้นของฉันให้ร้างไปเสียเฉยๆ ก็เหมือนเป็นสัญญาณที่กำลังบอกฉันว่าเขาไม่ได้ดีใจเหมือนกับที่ฉันดีใจเลยแม้แต่น้อย

จะใช้คำว่าอะไรถึงจะเหมาะสมดีในความรู้สึกของฉันตอนนี้ จะบอกว่าเสียใจก็คงไม่ถึงขั้น หรือจะผิดหวังก็คงได้อยู่ หรือถ้าจะให้เหมาะสมที่สุดก็คงไม่พ้นคำว่า...น้อยใจ เหมือนฉันดีใจมากๆ อยู่ฝ่ายเดียว หรือเราจะแสดงเยอะไป พูดมากไปรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ จากนั้นมาก็เลยไม่เคยทักหรือพิมพ์อะไรไปหาเขาอีกเลย เหมือนมีเฟสบุ๊คเขาเอาไว้ประดับจำนวนเพื่อนก็เท่านั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่