ตอนที่ 3 – จับคู่
คาบแรกของวันนี้เป็นวิชาภาษาไทย ตอนนี้นักเรียนชั้น ป. 6/1 ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ในห้องเรียนแล้ว พวกเรานั่งล้อมกันเป็นวงกลมรอบห้องบนพื้น ก่อนจะเข้าสู่การนั่งรวมเป็นกลุ่มๆ ตามโต๊ะ ซึ่งเป็นปกติของโรงเรียนนี้ที่โต๊ะเรียนไม่ได้ถูกนั่งเดี่ยวหรือนั่งคู่เหมือนโรงเรียนอื่น แต่โรงเรียนนี้จะส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม จึงมีโต๊ะยาวๆ เพียงสี่โต๊ะเท่านั้นในแต่ละห้อง เพื่อให้นักเรียนนั่งรวมกันประมาณเจ็ดถึงแปดคนในแต่ละกลุ่ม
แต่ในตอนนี้ที่พวกเรายังไม่ได้เข้ากลุ่มและนั่งล้อมวงกัน ก็เพื่อกิจกรรมบางอย่าง ระหว่างนั้นฉันก็ได้หยิบสมุดวิชานี้มากางดู เพื่อตรวจเช็คการบ้านเมื่อวานที่คุณครูได้ให้ไว้ว่าเรียบร้อยดีหรือยัง ก่อนที่คุณครูจะเรียกส่ง เป็นกลอนแปดความยาวสองบทที่ไม่ได้กำหนดหัวข้อเอาไว้ เป็นแต่เพียงให้แต่งตามใจเพราะต้องการจะดูทักษะของนักเรียนถึงสัมผัสในแต่ละวรรคว่ามีความถูกต้องหรือไม่ก็เท่านั้น ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงของคนข้างๆ ที่นั่งอยู่ติดกันถามขึ้นเมื่อกำลังจับจ้องมายังสมุดของฉัน
“อะไรอะแพร” ภัทรถามขึ้นอย่างสงสัย แต่ครั้งนี้แปลกที่เรียกชื่อฉันดีๆ ได้
“การบ้านไง ที่ครูสั่งเมื่อวาน” ฉันตอบออกไปตามเรื่อง ในขณะที่สายตาก็ยังทำหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของงานไปพลางๆ
“เฮ้ย! ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลยอะ สั่งเมื่อไหร่”
“เมื่อวาน”
“เฮ้ย! ทำไงดีอะ ไม่มีส่งอะ ไม่ได้ทำมา ทำไงดี” ครั้งนี้ที่คนข้างๆ เริ่มลนลานและทำท่าทางเป็นกังวล จนฉันต้องหันไปมอง
“ก็ทำสิ ตอนนี้เลย รีบทำ แปบเดียวก็เสร็จ” ฉันพูดไปง่ายๆ เพราะสำหรับฉันมันคือเรื่องง่ายๆ เมื่อการแต่งกลอนมันคือเรื่องถนัดของฉัน แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแทนที่เขาจะลงมือทำตามที่บอกก็กลับกลายเป็นมากระตุกแขนเสื้อของฉันเบาๆ แทน เหมือนเป็นการสะกิดจนฉันต้องหันมองไปอีกครั้ง
“แต่งให้หน่อยน้า เขาแต่งกลอนไม่เป็นน่ะ แต่งให้หน่อยน้าๆๆๆ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงกำลังวิงวอนอย่างที่สุด คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ แค่นี้ก็ทำให้ใจอ่อนและ ทั้งๆ ที่ปกติก็ดีแต่กวนประสาทไปวันๆ
“เออๆๆ เดี๋ยวแต่งให้” ฉันตอบรับออกไปในที่สุด ว่าจบเขาก็เผยยิ้มออกมา แสดงอาการพึงพอใจ และฉันก็ลงมือแต่งให้ทันทีอย่างรีบที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังให้เพื่อนคนนี้มีการบ้านส่งก่อนที่ครูจะถามหา
ฉันต้องนั่งคิดหาถ้อยคำโน่นนี่นั่นมาร้อยเรียงให้เป็นบทกลอนที่ถูกสัมผัสกันอย่างไพเราะและลงตัว ทั้งยังต้องมีความหมายที่สอดคล้องคลอกันไป แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ทำมันอย่างตั้งใจ ในขณะที่เจ้าของงานก็ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็แต่งเสร็จ พอดิบพอดีกับที่คุณครูถามขึ้นมา
“ใครแต่งกลอนที่ครูสั่งเมื่อวานมาส่งบ้าง ไหนยกมือหน่อยซิ” จากนั้นทั้งฉันและคนข้างๆ ก็ยกมือขึ้นพร้อมกัน เมื่อนั้นคุณครูก็หันมาเห็นจึงออกปากว่าต่อด้วยคำสั่งบางอย่างทั้งใบหน้าที่กำลังแย้ม
“งั้นแพรจ้ะ ไหนลองออกมาอ่านให้เพื่อนฟังหน้าห้องหน่อยมา” เมื่อคำสั่งนั้นถูกเอ่ย ฉันจึงต้องหยิบสมุดและพาตัวเองออกไปยืนที่หน้าห้อง ขณะที่เพื่อนๆ ก็นั่งล้อมวงและมองตรงมา จากนั้นฉันก็เริ่มอ่านบทกลอนของตัวเองที่ถูกแต่งขึ้นเมื่อวานตั้งแต่วรรคแรกจนวรรคสุดท้ายก็จบลง ตามมาด้วยความคิดเห็นของคุณครูที่มีต่อกลอนบทนี้
“อ่า กลอนบทนี้เกือบใช้ได้แล้วนะจ้ะแพร ติดอยู่แค่นิดเดียวก็ตรงวรรคที่สองคำสุดท้ายกับวรรคที่สามคำสุดท้าย มันน่าจะเปลี่ยนให้เป็นแม่กมเหมือนกัน มันถึงจะถูกนะลูกนะ แต่ก็ถือว่าใช้ได้แล้วแหละ อะทุกคนปรบมือให้แพรหน่อย” หลังจากคำพูดของคุณครู เพื่อนๆ ในห้องก็ต่างพากันปรบมือตามคำสั่ง จากนั้นฉันก็กลับเข้าไปนั่งที่ ในขณะที่คุณครูก็ออกปากกล่าวต่อไปอีก “คราวนี้ขอผู้ชายอีกคนนึงดีกว่า อะ...ภัทร ออกมาอ่านให้เพื่อนฟังหน่อยมา”
ใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะบังเอิญขนาดนี้ ทำไมคุณครูต้องเรียกชื่อเราสองคนต่อกันเป็นลำดับด้วย ทำไมต้องเป็นเราสองคนที่ถูกเลือกให้ออกไปอ่านหน้าห้อง ทำไมต้องเป็นฉันที่คู่กับเธอ ทำไม?
ภัทรถือสมุดออกไปยืนหน้าห้องและเปิดหน้าที่มีบทกลอนที่ฉันเพิ่งแต่งให้ไปเมื่อสักครู่ เขาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบในขณะที่ฉันก็ได้นั่งฟังผลงานของตัวเองไปพลางๆ จากนั้นคุณครูก็ถึงกับออกปากชมอย่างชอบใจ โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าของงานชิ้นนี้คือฉันคนนี้ต่างหาก “เก่งมากลูก เก่งมากภัทร กลอนบทนี้ไม่มีข้อผิดพลาดเลย สัมผัสกันหมด อะ...เพื่อนๆ ปรบมือให้ภัทรหน่อย” จบคำสั่งนั้นเพื่อนๆ ก็พากันปรบมือขึ้นพร้อมกันทั้งห้อง
เหลือก็เพียงแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยังงงว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่องานชิ้นนี้มันคือฝีมือของฉันเอง แต่มันกลับดีกว่าที่แต่งให้ตัวเองเสียอีก แล้วถ้าฉันปรบมือมันจะเป็นการปรบมือให้ตัวเองหรือเปล่า หรือจะยังไงดี จึงทำได้เพียงมองไปยังใบหน้าของภัทรที่หน้าห้องนั้นด้วยสีหน้าที่ยังคิ้วขมวดเมื่อไม่เข้าใจ ภัทรมองกลับมาที่ฉันเช่นกันและยิ้มออกมาอย่างร่าเริงก่อนจะชูนิ้วโป้ง เหมือนกำลังส่งคำว่ายอดเยี่ยมมาให้ฉัน เพราะสายตาของเขายังจับจ้องมาที่ใบหน้าของฉันตลอด ก่อนจะเปลี่ยนนิ้วโป้งนั้นให้กลายเป็นสองมือที่มาปรบกันพลางยื่นมือมาข้างหน้าจนสุดแขน และเอียงแขนมาทางฉันอีกต่างหาก
ใช่! เขาส่งสัญญาณให้รู้ว่าเขากำลังปรบมือให้ฉันอยู่ ทั้งที่ใบหน้าก็กำลังยิ้มให้ฉันอยู่ ใช่แล้ว...เขากำลังส่งคำชมพร้อมทั้งคำขอบคุณมาให้ฉัน มันน่าประทับใจมาก และฉันก็ประทับใจมาก ไม่นะ...ภัทร เธอกำลังทำให้ฉันหวั่นไหวอีกแล้ว
แบบนั้นฉันจึงยิ้มตอบรับในคำชื่นชมของเขาออกไปบางๆ เราสองคนมองหน้ากันไปมาครู่หนึ่ง ในขณะที่เพื่อนๆ ก็ยังคงปรบมือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตามคำสั่งของคุณครู มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้ถึงความหมายทุกอย่าง ก็ทำให้ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวินาทีนี้มันตราตรึงใจที่สุด
จนกระทั่งที่เขากลับมานั่งที่ ข้างๆ กายฉัน เขาก็เอ่ยคำขอบคุณขึ้นอีก “ขอบคุณแพรมากๆ เลยน้า” ถ้อยคำนั้นถูกกล่าวอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งสายตาก็เป็นไปในทางเดียวกัน
“อื้ม” ฉันตอบรับสั้นๆ ทั้งยังเก็บอาการ เมื่อตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นในใจนี้ก็บอกไม่ถูกเลย
เสร็จจากนั้นก็ได้ทีที่ต้องแยกกัน เมื่อคุณครูออกคำสั่งให้ทุกคนไปนั่งตามโต๊ะเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นที่ประจำของแต่ละคนที่นั่งกันมาตั้งแต่ต้นเทอม โดยที่ฉันและเขาต่างก็นั่งกันคนละกลุ่ม
ฉันนั่งนึกถึงมันคนเดียวในห้องนอน ในวันนี้ที่ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นึกจบก็ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม ฉันคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน รอยยิ้มของเขา คำพูดของเขา การกระทำและทุกอย่าง เขาทำให้ฉันจดจำ โดยเฉพาะเหตุการณ์นี้ที่ฉันจำมาตลอดไม่เคยลืม มันคือความประทับใจเล็กๆ ที่ตราตรึงใจจนมากมาย ทั้งยังคล้ายๆ เป็นจุดเปลี่ยนของหัวใจอยู่ในที
ในที่สุดเรื่องก็มาถึงจุดนี้จนได้ จุดที่เรียกว่าน่ารำคาญที่สุดจุดนึงเลยแหละ ก็กิจกรรมของเด็กประถมฯ มันจะมีอะไรบ้าง นอกจากการละเล่นโน่นนี่นั่น ล้อชื่อพ่อชื่อแม่ และก็...ล้อแฟน! นั่นแหละวงจรเด็กประถมฯ มีอยู่ไม่กี่หนทางหรอก และตอนนี้ฉันก็กำลังตกอยู่ในภาวะนั้น ภาวะที่ถูกจับคู่ให้กับเพื่อนอีกคน คงเป็นใครไปไม่ได้หรอกนอกจากเขา เด็กผู้ชายคนเดิมนามว่า...ภัทร
ฉันยังจำเหตุการณ์เมื่อตอน ป. 5 ได้เป็นอย่างดี ที่ฉันเคยสนิทกันกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่า “พันธ์” เป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันเล่นด้วยมากที่สุด และสุดท้ายเพื่อนๆ ก็จับคู่ให้เราสองคนจนตอนหลังพันธ์ก็ไม่คุยกับฉันอีกเลย ฉันจำเรื่องนี้ได้ดีและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก เพราะมันทำให้รู้สึกแย่มากๆ จนกระทั่งตอนนี้ที่ฉันถูกจับคู่กับภัทร ฉันไม่อยากเดาเลยว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาต้องไม่คุยกับฉันอีกเลยแน่ๆ แค่คิดก็รู้สึกแย่ไปไหนๆ แล้ว
เมื่อเราสองคนต้องเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ ที่หน้าประตูห้องเรียนขณะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าห้อง ส่วนภัทรก็กำลังจะเดินออกจากห้อง ฉันหันหลังกลับทันทีเพื่อจะเปลี่ยนเส้นทางไปเข้าประตูอีกบานหนึ่งแทน ปล่อยให้เขาได้เดินออกประตูบานนั้นไป เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะอยากสนทนากับฉันหรอก ตรงกันข้ามอาจจะเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำไป
“ชอบกูเหรอไอ้หมึก!” แต่เสียงนี้ก็ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ฉันต้องหยุดฝีเท้าลง มันเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย และก็เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นกูใส่ฉัน ฉันเคืองอยู่มากพอสมควร ทั้งรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่พอใจ โกรธ และก็เกลียด พาลคิดไปว่าเขาช่างหลงตัวเองเสียจริงๆ และคงทนไม่ได้ที่จะให้เขาคิดแบบนั้นต่อไป จึงสะบัดหน้ากลับไปที่เขาอีกครั้งเพื่อต่อปาก
“อะไร!” ฉันขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจทั้งใบหน้าก็คิ้วขมวด
“กูถามว่าชอบกูเหรอ” เขายังพูดแบบเดิม เมื่อไม่สะทกสะท้านและลอยหน้าลอยตา กวนประสาทสุดๆ มันยิ่งยั่วให้ฉันรู้สึกโมโห
“ไม่ได้ชอบ!” ฉันเถียงเสียงแข็ง ในขณะที่ในใจตอนนั้นก็ไม่รู้สึกชอบเขาเลยสักนิด จากไอ้ที่เคยหวั่นไหวอะไรผ่านมาตอนนั้นก็ลืมหมด
“ชอบก็บอกมาเหอะ ไม่ว่าไรหรอก ว่าแงะ! ชอบกูอะดี้! ใช่ไหมหมึก ฮะ?” ว่าไม่ว่าเปล่ายังยิ้มกวนประสาทออกมาอีก แล้วลอยหน้าลอยตาไม่หยุดหย่อน
“ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไม่ได้ชอบ! พูดไม่รู้เรื่องไง!” ยิ่งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งชวนให้โมโห และฉันก็ไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ชอบเขาเลยสักนิด
“ชอบก็บอกมาเหอะหมืกกกก ว่าแงะ...ฮะ?” เขายังไม่ยอมเลิกรา ทำลากเสียงยาวน้ำเสียงก็กวนประสาท แถมยังทำหน้าทำตา โอ๊ย! ปวดหัว จนไม่ไหวจะต่อปาก
“โอ๊ย! รำคาญ!” ฉันไม่ขอต่อปากด้วยอีกต่อไปแล้ว จึงหันหลังกลับและเดินหนีทันที
ไม่ไหวจริงๆ วันนี้ ภัทรไม่น่ารักเลย ใครจะไปชอบแกล่ะ นิสัยไม่ดี พูดก็ไม่เพราะ ทำไมคนที่เป็นฝ่ายชอบต้องเป็นเรา ในเมื่อตัวเองก็เคยเป็นฝ่ายมาวุ่นวายกับเราก่อนเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ยุติธรรมเลย
เพราะเหตุการณ์นั้นจึงทำให้รู้ว่าภัทรไม่เหมือนพันธ์ก็ตรงนี้ ภัทรไม่แสดงอาการรังเกียจ แต่แสดงอาการกวนประสาทแทน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการอะไร จะต้องการให้ฉันเกลียด หรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าหลังจากนั้นเราสองคนก็ยังคุยกันปกติ โดยที่เพื่อนๆ ก็ยังคงล้อกันเป็นปกติเช่นกัน กลายเป็นคู่จิ้นประจำห้องเรียนที่บางทีฉันก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้างปนๆ กันไป ในเวลาที่ได้ยิน
ถึงแม้ฉันจะปฏิเสธเสียงแข็งทุกครั้งที่เพื่อนล้อ แต่ในใจก็ตรงข้ามอยู่ดี แม้ว่าในตอนแรกจะยังลังเลและไม่แน่ใจ ว่าชอบหรือไม่กันแน่ แต่สุดท้ายก็คือชอบอยู่ดี ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรู้สึกชอบเขาตอนไหน เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งที่รู้สึกแปลกในใจ ก็ยังไม่เคยมั่นใจสักที
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนล้อก็เลยหวั่นไหวไปตามประสาเด็กที่ถูกแรงเชียร์ หรือว่าจะชอบมาตั้งแต่ตอนที่แต่งกลอน หรือจะเป็นก่อนหน้านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ และหาคำตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่สรุปสุดท้ายก็คือชอบอยู่ดี
เพราะถูกเพื่อนจับคู่ให้แท้ๆ ทำให้ฉันยังฝันและเพ้อเจ้อไปเองว่าเราเป็นคู่กันจนกระทั่งทุกวันนี้ ชื่อของเขายังอยู่ในความคิดของฉันเรื่อยมา และพาให้ฉันต้องคิดถึงทุกครั้งที่ทบทวนเรื่องเก่าๆ สมัยประถมฯ ถ้าจะบอกว่าตลอดเวลาคงเว่อไป เพราะช่วงชีวิตหกปีในโรงเรียนมัธยมฯ ก็คงมีเรื่องราวอื่นๆ เกิดขึ้นอยู่มากมาย ทั้งผู้คนที่ได้พบก็ยังมากหน้าและหลายตา ฉันก็เพียงแค่มีเขาในความทรงจำ ให้นึกถึงทุกครั้งที่ฉันทบทวนเรื่องราวในวัยเด็กก็เท่านั้นเอง
แต่วันนี้ที่ฉันได้เจอกับเขาอีกครั้ง ถึงแม้จะแค่ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คก็ตาม หัวใจของฉันก็หวั่นไหวไม่เป็นท่า จนเผลอคิดว่าสวรรค์คงดลบันดาลให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ โลกกลม หรือว่าพรหมลิขิตก็ตาม มันก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างให้เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างฉันกับเขา
รักข้างเดียว - ตอนที่ 3 จับคู่
คาบแรกของวันนี้เป็นวิชาภาษาไทย ตอนนี้นักเรียนชั้น ป. 6/1 ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ในห้องเรียนแล้ว พวกเรานั่งล้อมกันเป็นวงกลมรอบห้องบนพื้น ก่อนจะเข้าสู่การนั่งรวมเป็นกลุ่มๆ ตามโต๊ะ ซึ่งเป็นปกติของโรงเรียนนี้ที่โต๊ะเรียนไม่ได้ถูกนั่งเดี่ยวหรือนั่งคู่เหมือนโรงเรียนอื่น แต่โรงเรียนนี้จะส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม จึงมีโต๊ะยาวๆ เพียงสี่โต๊ะเท่านั้นในแต่ละห้อง เพื่อให้นักเรียนนั่งรวมกันประมาณเจ็ดถึงแปดคนในแต่ละกลุ่ม
แต่ในตอนนี้ที่พวกเรายังไม่ได้เข้ากลุ่มและนั่งล้อมวงกัน ก็เพื่อกิจกรรมบางอย่าง ระหว่างนั้นฉันก็ได้หยิบสมุดวิชานี้มากางดู เพื่อตรวจเช็คการบ้านเมื่อวานที่คุณครูได้ให้ไว้ว่าเรียบร้อยดีหรือยัง ก่อนที่คุณครูจะเรียกส่ง เป็นกลอนแปดความยาวสองบทที่ไม่ได้กำหนดหัวข้อเอาไว้ เป็นแต่เพียงให้แต่งตามใจเพราะต้องการจะดูทักษะของนักเรียนถึงสัมผัสในแต่ละวรรคว่ามีความถูกต้องหรือไม่ก็เท่านั้น ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงของคนข้างๆ ที่นั่งอยู่ติดกันถามขึ้นเมื่อกำลังจับจ้องมายังสมุดของฉัน
“อะไรอะแพร” ภัทรถามขึ้นอย่างสงสัย แต่ครั้งนี้แปลกที่เรียกชื่อฉันดีๆ ได้
“การบ้านไง ที่ครูสั่งเมื่อวาน” ฉันตอบออกไปตามเรื่อง ในขณะที่สายตาก็ยังทำหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของงานไปพลางๆ
“เฮ้ย! ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลยอะ สั่งเมื่อไหร่”
“เมื่อวาน”
“เฮ้ย! ทำไงดีอะ ไม่มีส่งอะ ไม่ได้ทำมา ทำไงดี” ครั้งนี้ที่คนข้างๆ เริ่มลนลานและทำท่าทางเป็นกังวล จนฉันต้องหันไปมอง
“ก็ทำสิ ตอนนี้เลย รีบทำ แปบเดียวก็เสร็จ” ฉันพูดไปง่ายๆ เพราะสำหรับฉันมันคือเรื่องง่ายๆ เมื่อการแต่งกลอนมันคือเรื่องถนัดของฉัน แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแทนที่เขาจะลงมือทำตามที่บอกก็กลับกลายเป็นมากระตุกแขนเสื้อของฉันเบาๆ แทน เหมือนเป็นการสะกิดจนฉันต้องหันมองไปอีกครั้ง
“แต่งให้หน่อยน้า เขาแต่งกลอนไม่เป็นน่ะ แต่งให้หน่อยน้าๆๆๆ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงกำลังวิงวอนอย่างที่สุด คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ แค่นี้ก็ทำให้ใจอ่อนและ ทั้งๆ ที่ปกติก็ดีแต่กวนประสาทไปวันๆ
“เออๆๆ เดี๋ยวแต่งให้” ฉันตอบรับออกไปในที่สุด ว่าจบเขาก็เผยยิ้มออกมา แสดงอาการพึงพอใจ และฉันก็ลงมือแต่งให้ทันทีอย่างรีบที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังให้เพื่อนคนนี้มีการบ้านส่งก่อนที่ครูจะถามหา
ฉันต้องนั่งคิดหาถ้อยคำโน่นนี่นั่นมาร้อยเรียงให้เป็นบทกลอนที่ถูกสัมผัสกันอย่างไพเราะและลงตัว ทั้งยังต้องมีความหมายที่สอดคล้องคลอกันไป แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ทำมันอย่างตั้งใจ ในขณะที่เจ้าของงานก็ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็แต่งเสร็จ พอดิบพอดีกับที่คุณครูถามขึ้นมา
“ใครแต่งกลอนที่ครูสั่งเมื่อวานมาส่งบ้าง ไหนยกมือหน่อยซิ” จากนั้นทั้งฉันและคนข้างๆ ก็ยกมือขึ้นพร้อมกัน เมื่อนั้นคุณครูก็หันมาเห็นจึงออกปากว่าต่อด้วยคำสั่งบางอย่างทั้งใบหน้าที่กำลังแย้ม
“งั้นแพรจ้ะ ไหนลองออกมาอ่านให้เพื่อนฟังหน้าห้องหน่อยมา” เมื่อคำสั่งนั้นถูกเอ่ย ฉันจึงต้องหยิบสมุดและพาตัวเองออกไปยืนที่หน้าห้อง ขณะที่เพื่อนๆ ก็นั่งล้อมวงและมองตรงมา จากนั้นฉันก็เริ่มอ่านบทกลอนของตัวเองที่ถูกแต่งขึ้นเมื่อวานตั้งแต่วรรคแรกจนวรรคสุดท้ายก็จบลง ตามมาด้วยความคิดเห็นของคุณครูที่มีต่อกลอนบทนี้
“อ่า กลอนบทนี้เกือบใช้ได้แล้วนะจ้ะแพร ติดอยู่แค่นิดเดียวก็ตรงวรรคที่สองคำสุดท้ายกับวรรคที่สามคำสุดท้าย มันน่าจะเปลี่ยนให้เป็นแม่กมเหมือนกัน มันถึงจะถูกนะลูกนะ แต่ก็ถือว่าใช้ได้แล้วแหละ อะทุกคนปรบมือให้แพรหน่อย” หลังจากคำพูดของคุณครู เพื่อนๆ ในห้องก็ต่างพากันปรบมือตามคำสั่ง จากนั้นฉันก็กลับเข้าไปนั่งที่ ในขณะที่คุณครูก็ออกปากกล่าวต่อไปอีก “คราวนี้ขอผู้ชายอีกคนนึงดีกว่า อะ...ภัทร ออกมาอ่านให้เพื่อนฟังหน่อยมา”
ใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะบังเอิญขนาดนี้ ทำไมคุณครูต้องเรียกชื่อเราสองคนต่อกันเป็นลำดับด้วย ทำไมต้องเป็นเราสองคนที่ถูกเลือกให้ออกไปอ่านหน้าห้อง ทำไมต้องเป็นฉันที่คู่กับเธอ ทำไม?
ภัทรถือสมุดออกไปยืนหน้าห้องและเปิดหน้าที่มีบทกลอนที่ฉันเพิ่งแต่งให้ไปเมื่อสักครู่ เขาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบในขณะที่ฉันก็ได้นั่งฟังผลงานของตัวเองไปพลางๆ จากนั้นคุณครูก็ถึงกับออกปากชมอย่างชอบใจ โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าของงานชิ้นนี้คือฉันคนนี้ต่างหาก “เก่งมากลูก เก่งมากภัทร กลอนบทนี้ไม่มีข้อผิดพลาดเลย สัมผัสกันหมด อะ...เพื่อนๆ ปรบมือให้ภัทรหน่อย” จบคำสั่งนั้นเพื่อนๆ ก็พากันปรบมือขึ้นพร้อมกันทั้งห้อง
เหลือก็เพียงแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยังงงว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่องานชิ้นนี้มันคือฝีมือของฉันเอง แต่มันกลับดีกว่าที่แต่งให้ตัวเองเสียอีก แล้วถ้าฉันปรบมือมันจะเป็นการปรบมือให้ตัวเองหรือเปล่า หรือจะยังไงดี จึงทำได้เพียงมองไปยังใบหน้าของภัทรที่หน้าห้องนั้นด้วยสีหน้าที่ยังคิ้วขมวดเมื่อไม่เข้าใจ ภัทรมองกลับมาที่ฉันเช่นกันและยิ้มออกมาอย่างร่าเริงก่อนจะชูนิ้วโป้ง เหมือนกำลังส่งคำว่ายอดเยี่ยมมาให้ฉัน เพราะสายตาของเขายังจับจ้องมาที่ใบหน้าของฉันตลอด ก่อนจะเปลี่ยนนิ้วโป้งนั้นให้กลายเป็นสองมือที่มาปรบกันพลางยื่นมือมาข้างหน้าจนสุดแขน และเอียงแขนมาทางฉันอีกต่างหาก
ใช่! เขาส่งสัญญาณให้รู้ว่าเขากำลังปรบมือให้ฉันอยู่ ทั้งที่ใบหน้าก็กำลังยิ้มให้ฉันอยู่ ใช่แล้ว...เขากำลังส่งคำชมพร้อมทั้งคำขอบคุณมาให้ฉัน มันน่าประทับใจมาก และฉันก็ประทับใจมาก ไม่นะ...ภัทร เธอกำลังทำให้ฉันหวั่นไหวอีกแล้ว
แบบนั้นฉันจึงยิ้มตอบรับในคำชื่นชมของเขาออกไปบางๆ เราสองคนมองหน้ากันไปมาครู่หนึ่ง ในขณะที่เพื่อนๆ ก็ยังคงปรบมือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตามคำสั่งของคุณครู มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่รู้ถึงความหมายทุกอย่าง ก็ทำให้ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวินาทีนี้มันตราตรึงใจที่สุด
จนกระทั่งที่เขากลับมานั่งที่ ข้างๆ กายฉัน เขาก็เอ่ยคำขอบคุณขึ้นอีก “ขอบคุณแพรมากๆ เลยน้า” ถ้อยคำนั้นถูกกล่าวอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งสายตาก็เป็นไปในทางเดียวกัน
“อื้ม” ฉันตอบรับสั้นๆ ทั้งยังเก็บอาการ เมื่อตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นในใจนี้ก็บอกไม่ถูกเลย
เสร็จจากนั้นก็ได้ทีที่ต้องแยกกัน เมื่อคุณครูออกคำสั่งให้ทุกคนไปนั่งตามโต๊ะเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นที่ประจำของแต่ละคนที่นั่งกันมาตั้งแต่ต้นเทอม โดยที่ฉันและเขาต่างก็นั่งกันคนละกลุ่ม
ฉันนั่งนึกถึงมันคนเดียวในห้องนอน ในวันนี้ที่ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นึกจบก็ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม ฉันคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน รอยยิ้มของเขา คำพูดของเขา การกระทำและทุกอย่าง เขาทำให้ฉันจดจำ โดยเฉพาะเหตุการณ์นี้ที่ฉันจำมาตลอดไม่เคยลืม มันคือความประทับใจเล็กๆ ที่ตราตรึงใจจนมากมาย ทั้งยังคล้ายๆ เป็นจุดเปลี่ยนของหัวใจอยู่ในที
ในที่สุดเรื่องก็มาถึงจุดนี้จนได้ จุดที่เรียกว่าน่ารำคาญที่สุดจุดนึงเลยแหละ ก็กิจกรรมของเด็กประถมฯ มันจะมีอะไรบ้าง นอกจากการละเล่นโน่นนี่นั่น ล้อชื่อพ่อชื่อแม่ และก็...ล้อแฟน! นั่นแหละวงจรเด็กประถมฯ มีอยู่ไม่กี่หนทางหรอก และตอนนี้ฉันก็กำลังตกอยู่ในภาวะนั้น ภาวะที่ถูกจับคู่ให้กับเพื่อนอีกคน คงเป็นใครไปไม่ได้หรอกนอกจากเขา เด็กผู้ชายคนเดิมนามว่า...ภัทร
ฉันยังจำเหตุการณ์เมื่อตอน ป. 5 ได้เป็นอย่างดี ที่ฉันเคยสนิทกันกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่า “พันธ์” เป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันเล่นด้วยมากที่สุด และสุดท้ายเพื่อนๆ ก็จับคู่ให้เราสองคนจนตอนหลังพันธ์ก็ไม่คุยกับฉันอีกเลย ฉันจำเรื่องนี้ได้ดีและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก เพราะมันทำให้รู้สึกแย่มากๆ จนกระทั่งตอนนี้ที่ฉันถูกจับคู่กับภัทร ฉันไม่อยากเดาเลยว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาต้องไม่คุยกับฉันอีกเลยแน่ๆ แค่คิดก็รู้สึกแย่ไปไหนๆ แล้ว
เมื่อเราสองคนต้องเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ ที่หน้าประตูห้องเรียนขณะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าห้อง ส่วนภัทรก็กำลังจะเดินออกจากห้อง ฉันหันหลังกลับทันทีเพื่อจะเปลี่ยนเส้นทางไปเข้าประตูอีกบานหนึ่งแทน ปล่อยให้เขาได้เดินออกประตูบานนั้นไป เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะอยากสนทนากับฉันหรอก ตรงกันข้ามอาจจะเกลียดขี้หน้าด้วยซ้ำไป
“ชอบกูเหรอไอ้หมึก!” แต่เสียงนี้ก็ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ฉันต้องหยุดฝีเท้าลง มันเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย และก็เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นกูใส่ฉัน ฉันเคืองอยู่มากพอสมควร ทั้งรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่พอใจ โกรธ และก็เกลียด พาลคิดไปว่าเขาช่างหลงตัวเองเสียจริงๆ และคงทนไม่ได้ที่จะให้เขาคิดแบบนั้นต่อไป จึงสะบัดหน้ากลับไปที่เขาอีกครั้งเพื่อต่อปาก
“อะไร!” ฉันขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจทั้งใบหน้าก็คิ้วขมวด
“กูถามว่าชอบกูเหรอ” เขายังพูดแบบเดิม เมื่อไม่สะทกสะท้านและลอยหน้าลอยตา กวนประสาทสุดๆ มันยิ่งยั่วให้ฉันรู้สึกโมโห
“ไม่ได้ชอบ!” ฉันเถียงเสียงแข็ง ในขณะที่ในใจตอนนั้นก็ไม่รู้สึกชอบเขาเลยสักนิด จากไอ้ที่เคยหวั่นไหวอะไรผ่านมาตอนนั้นก็ลืมหมด
“ชอบก็บอกมาเหอะ ไม่ว่าไรหรอก ว่าแงะ! ชอบกูอะดี้! ใช่ไหมหมึก ฮะ?” ว่าไม่ว่าเปล่ายังยิ้มกวนประสาทออกมาอีก แล้วลอยหน้าลอยตาไม่หยุดหย่อน
“ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไม่ได้ชอบ! พูดไม่รู้เรื่องไง!” ยิ่งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งชวนให้โมโห และฉันก็ไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ชอบเขาเลยสักนิด
“ชอบก็บอกมาเหอะหมืกกกก ว่าแงะ...ฮะ?” เขายังไม่ยอมเลิกรา ทำลากเสียงยาวน้ำเสียงก็กวนประสาท แถมยังทำหน้าทำตา โอ๊ย! ปวดหัว จนไม่ไหวจะต่อปาก
“โอ๊ย! รำคาญ!” ฉันไม่ขอต่อปากด้วยอีกต่อไปแล้ว จึงหันหลังกลับและเดินหนีทันที
ไม่ไหวจริงๆ วันนี้ ภัทรไม่น่ารักเลย ใครจะไปชอบแกล่ะ นิสัยไม่ดี พูดก็ไม่เพราะ ทำไมคนที่เป็นฝ่ายชอบต้องเป็นเรา ในเมื่อตัวเองก็เคยเป็นฝ่ายมาวุ่นวายกับเราก่อนเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ยุติธรรมเลย
เพราะเหตุการณ์นั้นจึงทำให้รู้ว่าภัทรไม่เหมือนพันธ์ก็ตรงนี้ ภัทรไม่แสดงอาการรังเกียจ แต่แสดงอาการกวนประสาทแทน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการอะไร จะต้องการให้ฉันเกลียด หรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าหลังจากนั้นเราสองคนก็ยังคุยกันปกติ โดยที่เพื่อนๆ ก็ยังคงล้อกันเป็นปกติเช่นกัน กลายเป็นคู่จิ้นประจำห้องเรียนที่บางทีฉันก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้างปนๆ กันไป ในเวลาที่ได้ยิน
ถึงแม้ฉันจะปฏิเสธเสียงแข็งทุกครั้งที่เพื่อนล้อ แต่ในใจก็ตรงข้ามอยู่ดี แม้ว่าในตอนแรกจะยังลังเลและไม่แน่ใจ ว่าชอบหรือไม่กันแน่ แต่สุดท้ายก็คือชอบอยู่ดี ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรู้สึกชอบเขาตอนไหน เพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งที่รู้สึกแปลกในใจ ก็ยังไม่เคยมั่นใจสักที
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนล้อก็เลยหวั่นไหวไปตามประสาเด็กที่ถูกแรงเชียร์ หรือว่าจะชอบมาตั้งแต่ตอนที่แต่งกลอน หรือจะเป็นก่อนหน้านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ และหาคำตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่สรุปสุดท้ายก็คือชอบอยู่ดี
เพราะถูกเพื่อนจับคู่ให้แท้ๆ ทำให้ฉันยังฝันและเพ้อเจ้อไปเองว่าเราเป็นคู่กันจนกระทั่งทุกวันนี้ ชื่อของเขายังอยู่ในความคิดของฉันเรื่อยมา และพาให้ฉันต้องคิดถึงทุกครั้งที่ทบทวนเรื่องเก่าๆ สมัยประถมฯ ถ้าจะบอกว่าตลอดเวลาคงเว่อไป เพราะช่วงชีวิตหกปีในโรงเรียนมัธยมฯ ก็คงมีเรื่องราวอื่นๆ เกิดขึ้นอยู่มากมาย ทั้งผู้คนที่ได้พบก็ยังมากหน้าและหลายตา ฉันก็เพียงแค่มีเขาในความทรงจำ ให้นึกถึงทุกครั้งที่ฉันทบทวนเรื่องราวในวัยเด็กก็เท่านั้นเอง
แต่วันนี้ที่ฉันได้เจอกับเขาอีกครั้ง ถึงแม้จะแค่ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คก็ตาม หัวใจของฉันก็หวั่นไหวไม่เป็นท่า จนเผลอคิดว่าสวรรค์คงดลบันดาลให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ โลกกลม หรือว่าพรหมลิขิตก็ตาม มันก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างให้เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างฉันกับเขา