ลาควีล่ากับเวเบอร์กำลังประดาบกันอย่างดุเดือด แม้เป็นเพียงการบังหน้านางก็พยายามเต็มความสามารถที่ค่อยๆตื่นขึ้นจากความตาย จะเพราะอะไรไม่ทราบได้ นางรู้สึกสนุกกับการกวัดแกว่งดาบจนหยุดไม่อยู่ หลงใหลการต่อสู้จนถอนตัวไม่ขึ้น ผู้กล้าแสงตะวันก็ยืนมองตาปริบๆพร้อมดาริอุสคนติดตามของเขา
ในความทรงจำลางเลือนของลาควีล่า ก่อนตายนางได้ประดาบกับชายผู้นี้ แล้วก็พ่ายแพ้แบบหมดทางสู้ บัดนี้นางตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับเขา นางไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่
“พอได้แล้วลาควีล่า ข้ามีเรื่องจะคุยกับไบรอันก่อน!” เวเบอร์ร้องไปปัดป้องตัวเองจากปลายกระบี่ของลาควีล่าไป ดูท่าจะอยากคุยมากกว่าต่อสู้
“เห็นเรียกข้าออกมา ก็นึกว่าอยากทดสอบข้าก่อนนี่” หญิงสาวแทงดาบใส่แบบไม่มีการยั้งมือด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่เหลือเฟือ
เวเบอร์เห็นว่าปล่อยไปคงค่ำก่อนได้คุยกัน จึงเอาจริงขึ้นมาอึดใจ ปัดกระบี่หญิงสาวกระเด็นไปปักแทบเท้าผู้กล้าแสงตะวันที่ยืนมองตากลม
“แล้วค่อยต่อกันคราวหน้า” เวเบอร์บอกลาควีล่า “ไบรอัน ข้ามีข่าวมาบอก” แล้วเวเบอร์กับไบรอันก็แยกไปคุยกันเรื่องการต่อสู้กันสองคน ส่วนลาควีล่ารับกระบี่ของตนจากดาริอุส
“พักกันก่อน สองคนนั้นคงอีกสักพักกว่าจะกลับมาคุยกับเราได้” ดาริอุสผู้ติดตามของไบรอันชวนนางนั่งบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม “จริงสิ ออกมาหน่อยได้ไหมดาเรีย”
กระแสลมร้อนและเปลวไฟสีฟ้าแลบเลียออกมาจากแหวนประจำตัวของเขา แล้วก่อร่างเป็นมนุษย์ครึ่งนกเพลิงที่มีปีกสีฟ้าสด ดวงตาสีแดงเจิดจ้าของดาเรียมองดาริอุสอย่างมีข้อกังขา ราวกับกำลังตั้งคำถามอยู่ในใจ จนนกเพลิงในร่างมนุษย์นกโค้งให้อย่างเคารพ
“นายท่านประสงค์สิ่งใดโปรดบอกมา” คนครึ่งนกแฝงน้ำเสียงประชดประชันเอาไว้เล็กน้อย
“อยากให้ช่วยสอนลาควีล่าได้ไหม วิชาเรียกสัตว์ปิศาจ” ดาริอุสหยั่งเสียง ท่าทางจะเกรงใจนกเพลิงของตัวเองอยู่ไม่น้อย คนครึ่งนกหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจ
“ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงลาพักร้อนขอรับ แต่จะช่วยก็ได้...”
ไม่ทันให้พูดจบแหวนเงินอีกวงของลาควีล่าก็มีเปลวเพลิงพุ่งออกมาบ้าง มันก่อตัวเป็นผู้ชายที่สวยเหมือนผู้หญิง มีหูและหางสีส้มแดงของสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย มันยิ้มเยาะให้ชายครึ่งนกทันทีที่ทำได้
“ไม่ต้องพึ่งนกปากมากอย่างมันหรอกนายท่าน” คนครึ่งจิ้งจอกโค้งให้ลาควีล่าอย่างเคารพ ดวงตาสีแดงสดเหลือบมองคนครึ่งนกอย่างดูถูก “ข้าคือซีซาร์จิ้งจอกในอาณัติท่าน ท่านสามารถพึ่งข้าได้ทุกเวลา ไม่เหมือนนกขี้คุยตรงนั้นที่ทำได้แค่คุยโวกับอู้งานเรื่อยเปื่อย”
“ว่าไงนะเจ้าจิ้งจอกโรคจิต ร่างเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง นายท่านอย่าไปฟังมันมาก หมอนี่เป็นพวกวิตถารอุตริผิดธรรมชาติ ไม่คู่ควรให้พวกท่านลงไปสุงสิงด้วย” ดาเรียของดาริอุสต่อปากต่อคำอย่างหงุดหงิด
“พูดมากเดี๋ยวเผาซะนี่ เจ้านกเส็งเคร็ง!” จิ้งจอกของลาควีล่าตอบด้วยแววตาน่ากลัว
“อย่างนั้นมาลองกันอีกหนไหมว่าไฟของใครจะแรงกว่า ข้าไม่มีทางแพ้หมางี่เง่าอย่างเจ้าหรอก ต่อให้เผาข้าก่อนก็ได้”
“ดาริอุส นี่คือซีซาร์ สัตว์ปิศาจที่ข้าสามารถเรียกผ่านแหวนได้เหมือนมังกรของข้า” ลาควีล่ารู้สึกว่าต้องให้เกียรติสัตว์เรียกของตนเหมือนดาริอุส อย่างน้อยมันก็เปลี่ยนร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ได้ “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าพูดได้ด้วย”
“ข้าทำทุกสิ่งได้เหมือนเจ้านกนั่น” คนครึ่งจิ้งจอกขบฟันกรอดๆ “เพียงรอท่านเรียกใช้เท่านั้น”
“เขาเรียกคิดไม่เป็น” คนครึ่งนกเลิกคิ้ว
“อย่างเจ้าเขาเรียกสาระแนคิดแทนเจ้านาย!”
แล้วคนครึ่งสัตว์ทั้งสองคนก็แยกเขี้ยวใส่กันอย่างไม่สงวนท่าที
“รู้จักกันหรือดาเรีย” ดาริอุสถามเบาๆ
“เราเป็นสัตว์ปิศาจในระดับจักรพรรดิเหมือนกันขอรับ” ชายครึ่งนกตอบ “แต่ข้าเก่งกว่า”
“เราประลองกันเสมอยามมีเวลา ท่านนักรบจันทรา” ชายครึ่งจิ้งจอกทำท่าไม่ชอบใจที่ถูกดึงลงมาเป็นพวกกับอีกฝ่าย “ผลคือเสมอกันที่ร้อยแปดสิบต่อร้อยแปดสิบ”
“ร้อยแปดสิบเอ็ดกับร้อยเจ็ดสิบเก้าต่างหาก!” ดาเรียพูดเสียงแข็ง “ข้าเป็นฝ่ายชนะในครั้งสุดท้ายที่เราประลองกัน ข้าว่าความจำเจ้าคงมอดไปเหมือนพลังเจ้านั่นล่ะ จึงจำไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่ชนะ เอาแต่ละเมอพูดอยู่นั่น สมองเน่า!”
แล้วทั้งสองก็แยกเขี้ยวใส่กันอีกรอบ ลาควีล่ากับดาริอุสหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นว่าข้ารับใช้ของพวกเขาสนิทกันในรูปแบบของคู่แข่ง
“เอาล่ะๆ” ดาริอุสปรามสัตว์เรียกทั้งคู่ให้อยู่ในความสงบ “มีคนช่วยสอนแบบนี้ ถ้าเจ้าต้องการล่ะก็ พักได้นะดาเรีย”
“ข้าสอนได้ดีกว่าเจ้าจิ้งจอกโรคจิตนี่!” ดาเรียกระชากเสียงตอบ ไม่มีท่าทีเคารพเจ้านายเหมือนซีซาร์เลย
“ท่านลาควีล่าเป็นนายของข้าในตอนนี้ จึงเป็นหน้าที่ของข้าที่จะสอนวิชาเรียกสัตว์ปิศาจให้”
ลาควีล่ามองสัตว์ปิศาจทั้งสองตัวแล้วเปรียบเทียบ คนครึ่งนกของดาริอุสดูเก่ง แต่ไม่มีความยำเกรงต่อเจ้านาย ผิดกับซีซาร์ของนางที่ระวังท่าทีและคำพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านาย
“ต้องขอโทษเจ้าด้วยนะเรมิ...ดาเรียสินะ ตอนนี้ซีซาร์เป็นข้ารับใช้ของข้า ให้เขาสอนดีกว่า” ลาควีล่าตอบอย่างเขินอายที่ต้องให้บริวารช่วยสอนวิชาให้ แต่นางไม่ควรพึ่งลูกน้องของคนอื่นในการทำงาน
คนครึ่งนกทำหน้างอนพอเป็นพิธีแล้วก็หายไปโดยไร้คำพูด คนครึ่งจิ้งจอกหัวเราะเบาๆแล้วเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีแผงคอเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาด
“คิดว่าท่านได้รับความทรงจำเรื่องการเรียกสัตว์ปิศาจขั้นพื้นฐานมาแล้ว” จิ้งจอกแดงพูดด้วยภาษามนุษย์ “ที่สำคัญคือโคลงมนตราเรียกสัตว์ปิศาจ และสัตว์ปิศาจทรงพลังในแต่ละระดับ ทหาร ราชา จักรพรรดิ ท่านต้องจำให้ได้มากที่สุด”
“เข้าใจแล้ว ข้าคิดถูกใช่ไหมที่ให้เจ้าช่วยสอน” ลาควีล่ายังคลางแคลงใจอยู่ว่าระหว่างสัตว์ปิศาจสองตัวนั้น ตัวไหนที่ช่วยนางเรียนรู้วิชานี้ได้ดีกว่ากัน
“เจ้านกนั่นก็เก่งนะ แม้จะมีชีวิตคนและแบบกับข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาเก่ง” จิ้งจอกไฟตอบอย่างเป็นกลาง แสดงว่าทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนรักและคู่แข่งที่ทัดเทียม “เขาทำหน้าที่เป็นปีกให้นักรบจันทรา ส่วนข้าเป็นดั่งเกราะกำบังให้ท่าน เห็นแบบนี้แต่เราทำงานด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะนายที่แท้จริงของพวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าถือกำเนิดจากหางเส้นหนึ่งของพระนาง ส่วนเขาเป็นนกเพลิงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยตรงจากพระองค์ เราทั้งคู่จึงเหมือนกับเป็นแกนนำของสัตว์ปิศาจทั้งปวง”
อย่างน้อยนางก็ได้รับรู้ ว่าการให้เกียรติผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งนั้นสำคัญเพียงใด มันทำให้ความคิดไม่สั่นคลอนสามารถคงตัวตนและความสามารถไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นานผู้กล้าแสงตะวันและคนรับใช้ของจอมอสูรก็กลับมาจากการสนทนาลับสุดยอด เวเบอร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นซีซาร์ออกมานอนเล่นอย่างอิสระ
“นอกจากการต่อสู้ อย่าเรียกเจ้านั่นพร่ำเพรื่อสิ” เวเบอร์ประท้วง “เดี๋ยวไม่รู้กันพอดีว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ มันจะกลายเป็นการปะทะกันตลอดเวลา”
“แล้วท่านไม่ชอบหรือเวเบอร์ ข้าชอบนะที่ได้ประดาบด้วย”
เวเบอร์มองนางด้วยแววตาที่ยากตัดใจ
“ท่านมาเวอร์ริค” เวเบอร์หันไปหาดาริอุสด้วยแววตาเคร่งขรึม “คงไม่รังเกียจหากจะให้ท่านเข้าไปซ่อนตัวในมิติสัตว์ปิศาจพร้อมลาควีล่า ข้าไม่อาจเข้าแทรกแซงการบัญชาการของทามิเอลได้เหมือนชาโดว์สตีล จึงขอรับหน้าที่อารักขาท่านในโลกสัตว์ปิศาจแทน เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง”
“ถึงเวลาก็อธิบายกับข้าด้วยล่ะเวเบอร์” ดาริอุสยิ้มกว้างเมื่อพบว่าศัตรูนั่นที่แท้เป็นมิตรที่ดีคนหนึ่ง เพียงต้องเล่นละครเป็นศัตรูเท่านั้น
“ยังมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก ไปเดินกับข้าหน่อยไหม”
เวเบอร์ยื่นมามาให้ลาควีล่าอย่างสนิทสนม หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ไปเถิดน่า หมอนี่ไม่วางแผนวางยาพิษหรือแทงข้างหลังเจ้าหรอก”
ไบรอันหรือผู้กล้าแสงตะวันเสริม หญิงสาวหันไปมองเขานิ่ง ก่อนจะจับมือเวเบอร์เพื่อลุกขึ้นยืน แล้วไปเดินเล่นยามเย็นกับศัตรูคู่ชีวิต...
สองวันผ่านไปกับบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อันดับแรกคือการปรับปรุงตัวของผู้ท่องกาลเวลานามอลิเซีย หลังจากการอบรมของเนอร์วาน่าก็สงบลงราวเป็นคนละคน จะมีหลุดยิ้มหรือหัวเราะในบางทีเท่านั้น อันดับที่สองคือการหลบฉากของนักรบจันทรา ซึ่งมีหน้าที่ต้องไปหาเชือกทวีอาคมในมิติอื่นกับลาควีล่า อันดับที่สามคือผู้กล้าแสงตะวัน ไบรอัน แบล็คสโตน
“อย่าเหม่อสิคะท่านผู้กล้า” อลิเซียเตือนให้เขารู้ตัวว่ากำลังเหม่อลอยเป็นครั้งที่สิบห้าในรอบสองวัน “อีกนิดเดียวทางนั้นก็จะทำลายหมอกมนตราได้แล้ว”
ในช่วงเวลาสองวันระหว่างนี้อลิเซียสั่งทำแท่งเหล็กจำนวนมากไว้เพื่ออะไรสักอย่าง รอบตัวจึงเต็มไปด้วยกล่องใส่แท่งเหล็กขนาดพอดีมือเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ แม้จะชอบทำอะไรเล่นๆ แต่บัดนี้นางเตรียมพร้อมออกรบร่วมกับผู้กล้าแสงตะวันแล้ว หมอกมนตราไหลเวียนเป็นวงพายุหมุนรอบตัวเมือง ไบรอันและอลิเซียยืนอยู่ตรงตาพายุที่ความรุนแรงน้อยที่สุด รอให้หมอกมนตราจางลง
“ข้าไม่อยากสู้กับผู้หญิง เห็นว่าทามิเอลเป็นเพศหญิงจึงคิดหนักหน่อย” ไบรอันเสไปเรื่องผู้นำทัพของจอมอสูร ทหารจากเมืองข้างเคียงเรียงรายรอบเมืองพร้อมโต้ตอบกองทัพอสูร
“ไม่ใช่ว่ากำลังนึกถึงเรื่องท่านไลล่าหรอกนะคะ บอกกับข้าได้ค่ะ ข้าไม่บอกใครหรอก” อลิเซียแทงใจดำไบรอันอย่างไม่ปรานี เขาจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการสั่งการอัศวินผ่านกระจกมนตราข้างๆแทน
“เจ้าบอกว่าจะส่งสัญญาณเปิดศึกใช่ไหม ได้เวลาแล้ว”
ผู้กล้าแสงตะวันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ไร้หมอกบดบังเหมือนเช่นเคย ม่านอาคมถูกสลายด้วยพายุสลาตันของเหล่าอสูร ฝูงกองทัพมฤตยูติดปีกคือสัตว์ปีกชนิดต่างๆที่เป็นฝ่ายมืด รวมไปถึงพวกแมลงและสัตว์วิเศษด้วย มองจากข้างล่างจึงเห็นเป็นภาพยุ่งเหยิง มีปีกหลายแบบหลากลวดลาย บ้างปกคลุมตัวด้วยเปลวเพลิง บ้างพยุงตัวด้วยปีกขนาดยักษ์ ผู้นำกองทัพอยู่สูงสุดเป็นหญิงครึ่งนกท่าทางน่ากลัว นามนั้นคือทามิเอล!
“รู้ไหมคะ ที่ต่างโลกมีปืนแม่เหล็กไฟฟ้ารางคู่อยู่ด้วย” อลิเซียเกริ่น หยิบแท่งเหล็กใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาไว้ระหว่างนิ้วทั้งห้าอย่างมีระเบียบ ไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่นิด “มันทำงานโดยใช้ไฟฟ้าผ่านแท่งแม่เหล็กคู่เพื่อผลักกระสุนออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วมหาศาล นี่ข้ายังไม่พูดถึงพลังทำลายนะคะ”
“ชาวเมืองแก้วผลึกจงฟัง!” เสียงแหลมสูงของทามิเอลก้องไปทั่วเมือง นางทำในสิ่งที่เวเบอร์บอกกับไบรอันไว้ จับเป็นผู้กล้าแสงตะวันโดยไม่ก่อความเสียหายกับเมืองเท่าที่สามารถ
นางคนครึ่งนกจะพูดอะไรต่อไบรอันไม่ได้ยินแล้ว เมื่ออลิเซียยกมือที่ถือแท่งเหล็กอยู่ไปทางกลุ่มก้อนอสูรก็เกิดเสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่าสักร้อยสาย กระแสไฟฟ้าสีครามลุกวูบเป็นทางยาวดังปืนใหญ่สี่กระบอกถูกยิงออกไปจากมือข้างนั้น เหล่าสัตว์วิเศษบนท้องฟ้าหลบไม่ทันร่วงหล่นระนาวด้วยความเร็วของแท่งเหล็ก
“ชื่อเล่นของข้าในมิตินั้นคือเปรี๊ยะเปรี๊ยะ หรือจะเรียกไรจูก็ได้” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆสร้างความตกตะลึงให้ไบรอัน เขาคิดว่าจะใช้อาวุธที่เรียกว่าปืนที่ดาริอุสพูดถึงเสียอีก แบบนี้ต้องเรียกมหาเวทเสียมากกว่า “ประกาศศึกเสร็จแล้วค่ะ จะพูดอะไรเชิญได้เลย”
ไบรอันกระแอมเตรียมพูดใส่ผลึกที่ช่วยขยายเสียง
(มีต่อ)
นักรบจันทรา ตอนที่ 18
ในความทรงจำลางเลือนของลาควีล่า ก่อนตายนางได้ประดาบกับชายผู้นี้ แล้วก็พ่ายแพ้แบบหมดทางสู้ บัดนี้นางตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับเขา นางไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่
“พอได้แล้วลาควีล่า ข้ามีเรื่องจะคุยกับไบรอันก่อน!” เวเบอร์ร้องไปปัดป้องตัวเองจากปลายกระบี่ของลาควีล่าไป ดูท่าจะอยากคุยมากกว่าต่อสู้
“เห็นเรียกข้าออกมา ก็นึกว่าอยากทดสอบข้าก่อนนี่” หญิงสาวแทงดาบใส่แบบไม่มีการยั้งมือด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่เหลือเฟือ
เวเบอร์เห็นว่าปล่อยไปคงค่ำก่อนได้คุยกัน จึงเอาจริงขึ้นมาอึดใจ ปัดกระบี่หญิงสาวกระเด็นไปปักแทบเท้าผู้กล้าแสงตะวันที่ยืนมองตากลม
“แล้วค่อยต่อกันคราวหน้า” เวเบอร์บอกลาควีล่า “ไบรอัน ข้ามีข่าวมาบอก” แล้วเวเบอร์กับไบรอันก็แยกไปคุยกันเรื่องการต่อสู้กันสองคน ส่วนลาควีล่ารับกระบี่ของตนจากดาริอุส
“พักกันก่อน สองคนนั้นคงอีกสักพักกว่าจะกลับมาคุยกับเราได้” ดาริอุสผู้ติดตามของไบรอันชวนนางนั่งบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม “จริงสิ ออกมาหน่อยได้ไหมดาเรีย”
กระแสลมร้อนและเปลวไฟสีฟ้าแลบเลียออกมาจากแหวนประจำตัวของเขา แล้วก่อร่างเป็นมนุษย์ครึ่งนกเพลิงที่มีปีกสีฟ้าสด ดวงตาสีแดงเจิดจ้าของดาเรียมองดาริอุสอย่างมีข้อกังขา ราวกับกำลังตั้งคำถามอยู่ในใจ จนนกเพลิงในร่างมนุษย์นกโค้งให้อย่างเคารพ
“นายท่านประสงค์สิ่งใดโปรดบอกมา” คนครึ่งนกแฝงน้ำเสียงประชดประชันเอาไว้เล็กน้อย
“อยากให้ช่วยสอนลาควีล่าได้ไหม วิชาเรียกสัตว์ปิศาจ” ดาริอุสหยั่งเสียง ท่าทางจะเกรงใจนกเพลิงของตัวเองอยู่ไม่น้อย คนครึ่งนกหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจ
“ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงลาพักร้อนขอรับ แต่จะช่วยก็ได้...”
ไม่ทันให้พูดจบแหวนเงินอีกวงของลาควีล่าก็มีเปลวเพลิงพุ่งออกมาบ้าง มันก่อตัวเป็นผู้ชายที่สวยเหมือนผู้หญิง มีหูและหางสีส้มแดงของสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย มันยิ้มเยาะให้ชายครึ่งนกทันทีที่ทำได้
“ไม่ต้องพึ่งนกปากมากอย่างมันหรอกนายท่าน” คนครึ่งจิ้งจอกโค้งให้ลาควีล่าอย่างเคารพ ดวงตาสีแดงสดเหลือบมองคนครึ่งนกอย่างดูถูก “ข้าคือซีซาร์จิ้งจอกในอาณัติท่าน ท่านสามารถพึ่งข้าได้ทุกเวลา ไม่เหมือนนกขี้คุยตรงนั้นที่ทำได้แค่คุยโวกับอู้งานเรื่อยเปื่อย”
“ว่าไงนะเจ้าจิ้งจอกโรคจิต ร่างเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง นายท่านอย่าไปฟังมันมาก หมอนี่เป็นพวกวิตถารอุตริผิดธรรมชาติ ไม่คู่ควรให้พวกท่านลงไปสุงสิงด้วย” ดาเรียของดาริอุสต่อปากต่อคำอย่างหงุดหงิด
“พูดมากเดี๋ยวเผาซะนี่ เจ้านกเส็งเคร็ง!” จิ้งจอกของลาควีล่าตอบด้วยแววตาน่ากลัว
“อย่างนั้นมาลองกันอีกหนไหมว่าไฟของใครจะแรงกว่า ข้าไม่มีทางแพ้หมางี่เง่าอย่างเจ้าหรอก ต่อให้เผาข้าก่อนก็ได้”
“ดาริอุส นี่คือซีซาร์ สัตว์ปิศาจที่ข้าสามารถเรียกผ่านแหวนได้เหมือนมังกรของข้า” ลาควีล่ารู้สึกว่าต้องให้เกียรติสัตว์เรียกของตนเหมือนดาริอุส อย่างน้อยมันก็เปลี่ยนร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ได้ “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าพูดได้ด้วย”
“ข้าทำทุกสิ่งได้เหมือนเจ้านกนั่น” คนครึ่งจิ้งจอกขบฟันกรอดๆ “เพียงรอท่านเรียกใช้เท่านั้น”
“เขาเรียกคิดไม่เป็น” คนครึ่งนกเลิกคิ้ว
“อย่างเจ้าเขาเรียกสาระแนคิดแทนเจ้านาย!”
แล้วคนครึ่งสัตว์ทั้งสองคนก็แยกเขี้ยวใส่กันอย่างไม่สงวนท่าที
“รู้จักกันหรือดาเรีย” ดาริอุสถามเบาๆ
“เราเป็นสัตว์ปิศาจในระดับจักรพรรดิเหมือนกันขอรับ” ชายครึ่งนกตอบ “แต่ข้าเก่งกว่า”
“เราประลองกันเสมอยามมีเวลา ท่านนักรบจันทรา” ชายครึ่งจิ้งจอกทำท่าไม่ชอบใจที่ถูกดึงลงมาเป็นพวกกับอีกฝ่าย “ผลคือเสมอกันที่ร้อยแปดสิบต่อร้อยแปดสิบ”
“ร้อยแปดสิบเอ็ดกับร้อยเจ็ดสิบเก้าต่างหาก!” ดาเรียพูดเสียงแข็ง “ข้าเป็นฝ่ายชนะในครั้งสุดท้ายที่เราประลองกัน ข้าว่าความจำเจ้าคงมอดไปเหมือนพลังเจ้านั่นล่ะ จึงจำไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่ชนะ เอาแต่ละเมอพูดอยู่นั่น สมองเน่า!”
แล้วทั้งสองก็แยกเขี้ยวใส่กันอีกรอบ ลาควีล่ากับดาริอุสหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นว่าข้ารับใช้ของพวกเขาสนิทกันในรูปแบบของคู่แข่ง
“เอาล่ะๆ” ดาริอุสปรามสัตว์เรียกทั้งคู่ให้อยู่ในความสงบ “มีคนช่วยสอนแบบนี้ ถ้าเจ้าต้องการล่ะก็ พักได้นะดาเรีย”
“ข้าสอนได้ดีกว่าเจ้าจิ้งจอกโรคจิตนี่!” ดาเรียกระชากเสียงตอบ ไม่มีท่าทีเคารพเจ้านายเหมือนซีซาร์เลย
“ท่านลาควีล่าเป็นนายของข้าในตอนนี้ จึงเป็นหน้าที่ของข้าที่จะสอนวิชาเรียกสัตว์ปิศาจให้”
ลาควีล่ามองสัตว์ปิศาจทั้งสองตัวแล้วเปรียบเทียบ คนครึ่งนกของดาริอุสดูเก่ง แต่ไม่มีความยำเกรงต่อเจ้านาย ผิดกับซีซาร์ของนางที่ระวังท่าทีและคำพูดเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านาย
“ต้องขอโทษเจ้าด้วยนะเรมิ...ดาเรียสินะ ตอนนี้ซีซาร์เป็นข้ารับใช้ของข้า ให้เขาสอนดีกว่า” ลาควีล่าตอบอย่างเขินอายที่ต้องให้บริวารช่วยสอนวิชาให้ แต่นางไม่ควรพึ่งลูกน้องของคนอื่นในการทำงาน
คนครึ่งนกทำหน้างอนพอเป็นพิธีแล้วก็หายไปโดยไร้คำพูด คนครึ่งจิ้งจอกหัวเราะเบาๆแล้วเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีแผงคอเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉาด
“คิดว่าท่านได้รับความทรงจำเรื่องการเรียกสัตว์ปิศาจขั้นพื้นฐานมาแล้ว” จิ้งจอกแดงพูดด้วยภาษามนุษย์ “ที่สำคัญคือโคลงมนตราเรียกสัตว์ปิศาจ และสัตว์ปิศาจทรงพลังในแต่ละระดับ ทหาร ราชา จักรพรรดิ ท่านต้องจำให้ได้มากที่สุด”
“เข้าใจแล้ว ข้าคิดถูกใช่ไหมที่ให้เจ้าช่วยสอน” ลาควีล่ายังคลางแคลงใจอยู่ว่าระหว่างสัตว์ปิศาจสองตัวนั้น ตัวไหนที่ช่วยนางเรียนรู้วิชานี้ได้ดีกว่ากัน
“เจ้านกนั่นก็เก่งนะ แม้จะมีชีวิตคนและแบบกับข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาเก่ง” จิ้งจอกไฟตอบอย่างเป็นกลาง แสดงว่าทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนรักและคู่แข่งที่ทัดเทียม “เขาทำหน้าที่เป็นปีกให้นักรบจันทรา ส่วนข้าเป็นดั่งเกราะกำบังให้ท่าน เห็นแบบนี้แต่เราทำงานด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะนายที่แท้จริงของพวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าถือกำเนิดจากหางเส้นหนึ่งของพระนาง ส่วนเขาเป็นนกเพลิงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยตรงจากพระองค์ เราทั้งคู่จึงเหมือนกับเป็นแกนนำของสัตว์ปิศาจทั้งปวง”
อย่างน้อยนางก็ได้รับรู้ ว่าการให้เกียรติผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งนั้นสำคัญเพียงใด มันทำให้ความคิดไม่สั่นคลอนสามารถคงตัวตนและความสามารถไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นานผู้กล้าแสงตะวันและคนรับใช้ของจอมอสูรก็กลับมาจากการสนทนาลับสุดยอด เวเบอร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นซีซาร์ออกมานอนเล่นอย่างอิสระ
“นอกจากการต่อสู้ อย่าเรียกเจ้านั่นพร่ำเพรื่อสิ” เวเบอร์ประท้วง “เดี๋ยวไม่รู้กันพอดีว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ มันจะกลายเป็นการปะทะกันตลอดเวลา”
“แล้วท่านไม่ชอบหรือเวเบอร์ ข้าชอบนะที่ได้ประดาบด้วย”
เวเบอร์มองนางด้วยแววตาที่ยากตัดใจ
“ท่านมาเวอร์ริค” เวเบอร์หันไปหาดาริอุสด้วยแววตาเคร่งขรึม “คงไม่รังเกียจหากจะให้ท่านเข้าไปซ่อนตัวในมิติสัตว์ปิศาจพร้อมลาควีล่า ข้าไม่อาจเข้าแทรกแซงการบัญชาการของทามิเอลได้เหมือนชาโดว์สตีล จึงขอรับหน้าที่อารักขาท่านในโลกสัตว์ปิศาจแทน เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง”
“ถึงเวลาก็อธิบายกับข้าด้วยล่ะเวเบอร์” ดาริอุสยิ้มกว้างเมื่อพบว่าศัตรูนั่นที่แท้เป็นมิตรที่ดีคนหนึ่ง เพียงต้องเล่นละครเป็นศัตรูเท่านั้น
“ยังมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก ไปเดินกับข้าหน่อยไหม”
เวเบอร์ยื่นมามาให้ลาควีล่าอย่างสนิทสนม หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ไปเถิดน่า หมอนี่ไม่วางแผนวางยาพิษหรือแทงข้างหลังเจ้าหรอก”
ไบรอันหรือผู้กล้าแสงตะวันเสริม หญิงสาวหันไปมองเขานิ่ง ก่อนจะจับมือเวเบอร์เพื่อลุกขึ้นยืน แล้วไปเดินเล่นยามเย็นกับศัตรูคู่ชีวิต...
สองวันผ่านไปกับบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อันดับแรกคือการปรับปรุงตัวของผู้ท่องกาลเวลานามอลิเซีย หลังจากการอบรมของเนอร์วาน่าก็สงบลงราวเป็นคนละคน จะมีหลุดยิ้มหรือหัวเราะในบางทีเท่านั้น อันดับที่สองคือการหลบฉากของนักรบจันทรา ซึ่งมีหน้าที่ต้องไปหาเชือกทวีอาคมในมิติอื่นกับลาควีล่า อันดับที่สามคือผู้กล้าแสงตะวัน ไบรอัน แบล็คสโตน
“อย่าเหม่อสิคะท่านผู้กล้า” อลิเซียเตือนให้เขารู้ตัวว่ากำลังเหม่อลอยเป็นครั้งที่สิบห้าในรอบสองวัน “อีกนิดเดียวทางนั้นก็จะทำลายหมอกมนตราได้แล้ว”
ในช่วงเวลาสองวันระหว่างนี้อลิเซียสั่งทำแท่งเหล็กจำนวนมากไว้เพื่ออะไรสักอย่าง รอบตัวจึงเต็มไปด้วยกล่องใส่แท่งเหล็กขนาดพอดีมือเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ แม้จะชอบทำอะไรเล่นๆ แต่บัดนี้นางเตรียมพร้อมออกรบร่วมกับผู้กล้าแสงตะวันแล้ว หมอกมนตราไหลเวียนเป็นวงพายุหมุนรอบตัวเมือง ไบรอันและอลิเซียยืนอยู่ตรงตาพายุที่ความรุนแรงน้อยที่สุด รอให้หมอกมนตราจางลง
“ข้าไม่อยากสู้กับผู้หญิง เห็นว่าทามิเอลเป็นเพศหญิงจึงคิดหนักหน่อย” ไบรอันเสไปเรื่องผู้นำทัพของจอมอสูร ทหารจากเมืองข้างเคียงเรียงรายรอบเมืองพร้อมโต้ตอบกองทัพอสูร
“ไม่ใช่ว่ากำลังนึกถึงเรื่องท่านไลล่าหรอกนะคะ บอกกับข้าได้ค่ะ ข้าไม่บอกใครหรอก” อลิเซียแทงใจดำไบรอันอย่างไม่ปรานี เขาจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการสั่งการอัศวินผ่านกระจกมนตราข้างๆแทน
“เจ้าบอกว่าจะส่งสัญญาณเปิดศึกใช่ไหม ได้เวลาแล้ว”
ผู้กล้าแสงตะวันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ไร้หมอกบดบังเหมือนเช่นเคย ม่านอาคมถูกสลายด้วยพายุสลาตันของเหล่าอสูร ฝูงกองทัพมฤตยูติดปีกคือสัตว์ปีกชนิดต่างๆที่เป็นฝ่ายมืด รวมไปถึงพวกแมลงและสัตว์วิเศษด้วย มองจากข้างล่างจึงเห็นเป็นภาพยุ่งเหยิง มีปีกหลายแบบหลากลวดลาย บ้างปกคลุมตัวด้วยเปลวเพลิง บ้างพยุงตัวด้วยปีกขนาดยักษ์ ผู้นำกองทัพอยู่สูงสุดเป็นหญิงครึ่งนกท่าทางน่ากลัว นามนั้นคือทามิเอล!
“รู้ไหมคะ ที่ต่างโลกมีปืนแม่เหล็กไฟฟ้ารางคู่อยู่ด้วย” อลิเซียเกริ่น หยิบแท่งเหล็กใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาไว้ระหว่างนิ้วทั้งห้าอย่างมีระเบียบ ไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่นิด “มันทำงานโดยใช้ไฟฟ้าผ่านแท่งแม่เหล็กคู่เพื่อผลักกระสุนออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วมหาศาล นี่ข้ายังไม่พูดถึงพลังทำลายนะคะ”
“ชาวเมืองแก้วผลึกจงฟัง!” เสียงแหลมสูงของทามิเอลก้องไปทั่วเมือง นางทำในสิ่งที่เวเบอร์บอกกับไบรอันไว้ จับเป็นผู้กล้าแสงตะวันโดยไม่ก่อความเสียหายกับเมืองเท่าที่สามารถ
นางคนครึ่งนกจะพูดอะไรต่อไบรอันไม่ได้ยินแล้ว เมื่ออลิเซียยกมือที่ถือแท่งเหล็กอยู่ไปทางกลุ่มก้อนอสูรก็เกิดเสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่าสักร้อยสาย กระแสไฟฟ้าสีครามลุกวูบเป็นทางยาวดังปืนใหญ่สี่กระบอกถูกยิงออกไปจากมือข้างนั้น เหล่าสัตว์วิเศษบนท้องฟ้าหลบไม่ทันร่วงหล่นระนาวด้วยความเร็วของแท่งเหล็ก
“ชื่อเล่นของข้าในมิตินั้นคือเปรี๊ยะเปรี๊ยะ หรือจะเรียกไรจูก็ได้” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆสร้างความตกตะลึงให้ไบรอัน เขาคิดว่าจะใช้อาวุธที่เรียกว่าปืนที่ดาริอุสพูดถึงเสียอีก แบบนี้ต้องเรียกมหาเวทเสียมากกว่า “ประกาศศึกเสร็จแล้วค่ะ จะพูดอะไรเชิญได้เลย”
ไบรอันกระแอมเตรียมพูดใส่ผลึกที่ช่วยขยายเสียง
(มีต่อ)