การตั้งกระทู้นี้ขึ้นมามีวัตถุประสงค์เพื่อการหารือ/ร่วมแสดงความคิดเห็นกับผู้ที่เคยประสบปัญหาแย่ ๆ จากการทำกรมธรรม์ประกันภัย (ประกันชีวิต)
ก่อนอื่นการให้ความคิดเห็นของ จขกท ต้องบอกว่านำมาจากประสบการณ์คะ (เนื่องจากไม่ได้มีโอกาสศึกษารายละเอียดเพราะเป็นกรมธรรม์ที่แม่ทำให้) อย่างที่เคยทั้งกระทู้ระบายไปก่อนหน้านี้ แม่ทำประกันชีวิตเป็นการจ่ายเบี้ยประกันจำนวน 20 ปี คุ้มครองตลอดชิวิต จุดเริ่มต้นของเรื่องมันเกิดขึ้นเนื่องจากปกติแม่จะจ่ายเบี้ยประจำปีให้กับตัวแทนประกัน (คนที่ทำประกันด้วย) เพราะเป็นเพื่อนร่วมงานจึงสามารถจ่ายได้สะดวก ที่เกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากเพื่อนร่วมงานแม่เสียชีวิตแม่เลยไม่ได้จ่ายเบี้ยในปีนั้น (กำหนดการชำระเบี้ยประกันประมาณเดือนพฤศจิกายน) ต่อมาแม่เลยจะเข้าไปชำระเบี้ยที่สำนักงานตัวแทนของบริษัท (จังหวัดอุบลราชธานี) (แม่พยายามจะเข้าไปชำระตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงมีนาคมของปีถัดมา) แล้วก็มีปัญหายืดเยื้อเรื่องลายเซ็น (เพราะแม่เซ็นชื่อไว้ตั้งแต่เมื่อ 16 ปีก่อน เนื้อเรื่องตามได้ดังกระทู้นี้คะ
http://ppantip.com/topic/33491046 และ
http://ppantip.com/topic/33549645)
จนแม่ไม่ไหวจะคุยจึงให้เราไปช่วยเดินเรื่องให้ อย่างแรกเราก็ได้แก้ไขปัญหาเรื่องลายเซ็น และเมื่อเข้าไปติดต่อที่สำนักงานใหญ่แถวบางรัก เรื่องก็โอเคแก้ปัญหาได้ค่ะ แต่แล้วปัญหาก็ยังไม่จบ การจะเข้าสู่ระบบกรมธรรม์ปกติ (ตอนนี้เป็นแบบขยายระยะเวลา) ต้องส่งหนังสือรับรองสุขภาพ เราก็กรอกเอกสารส่งเข้าไป แต่เนื่องด้วยความชะล่าใจของการให้บริการตอบคำถามของ Call center ที่ดูเหมือนว่าการดำเนินการต่าง ๆ ช่างง่ายเหมือนการสั่งอาหาร Delivery เลยไม่ได้เช็คการส่งเอกสารหรือเก็บรหัส EMS ไว้ ซึ่งต่อมาประมาณ 3 เดือนนับจากวันที่ส่งไปรษณีย์ มีจดหมายพร้อมเช็คเงินค่าเบี้ยประกันที่จ่ายเข้าไปรอบล่าสุด เนื้อความในจดหมายระบุว่าไม่ได้รับเอกสารหนังสือรับรองสุขภาพ
แล้วไงต่อละคะที่นี้ เช็คสิคะเช็ค เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีกเนี้ย ก็โทรไปที่ Call Center เช่นเดิม พี่พนักงานก็ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตอบรับทุกปัญหาของผู้รับบริการ แลัวบทสรุปที่ได้ก็คือเอกสารสวนทางกัน หมายความว่ากว่าผู้ที่มีหน้าที่เช็คเอกสารจะได้รับหนังสือรับรองสุขภาพ ท่านก็ออกเช็คพร้อมจดหมายที่ระบุว่าไม่ได้รับหนังสือรับรองสุขภาพส่งมาให้กับทางผู้ถือครองกรมธรรม์ เอ้าาไม่เป็นไรพี่พนักงานบอกเดี๋ยวเครียให้ให้ทางลูกค้าส่งเช็คเงินสดกลับเข้าไปใหม่ ก็ตามนั้นคะเอาเช็คไปคืนเข้าธนาคาร หวังว่าจะหมดปัญหากันสักทีละคราวนี้
แท้น แท้นนน แท้นนนน >>>> 2 เดือนผ่านไป
เช็คเงินสดมาพร้อมจดหมายอีกแล้วคะท่าน ยังไงละทีนี้ เกิดปัญหาไรขึ้นอีกกกกกก ก็ตามเดิมคะด่านแรกโทรสอบถามพี่ Call Center ก็ได้คำตอบมาว่าหนังสือรับรองสุขภาพไม่สมบูรณ์ เราก็เช็คๆๆ ถามๆๆ ว่าอะไรไม่สมบูรณ์ สรุปคือเพราะเรากากบาทตรงข้อที่บอกว่าเราอาหารไม่ย่อย (ที่จริงในข้อนั้นมิอาการอีกหลายอาการ แต่เนื่องจากเราเป็นกรดไหลย้อนเราเลยกากบาทข้อนี้ไป) แล้วไงละคะที่นี้เราต้องได้ส่งเอกสารการเข้ารับการรักษาหรือให้ทำหนังสือเข้าไปใหม่ (เพื่ออออออออ ????????????)
ที่จริงแม่เราทำกรมธรรม์ไว้สองฉบับ อีกฉบับคือของน้อง ก็เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกัน เราเลยเช็คว่าน้องเรากรอกอะไรไปบ้าง แต่เราโทรถามพี่ Call เค้าบอกว่าน้องเราลืมลงชื่อตรงช่องไหนสักอย่าง คือตอนเราส่งอ่ะเราให้น้องกากบาทข้ออื่น ๆ ตามเราเลยนะ เขียนข้อไหนบ้าง (ยกเว้นประวัติสุขภาพที่น้องเราไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน คือไม่ได้กากบาทข้ออาหารไม่ย่อยเหมือนเรา) แล้วไงละคะสุดท้ายก็คือเข้าสู่กรมธรรม์ปกติไม่ได้ทั้ง 2 ฉบับ
สุดท้าย ท้ายสุด พอกันทีการทำประกันชีวิตที่เหมือนจะหลอกลวงแก่ผู้บริโภค (หรือเราเป็นผู้บริโภคที่ไม่รู้สิทธิของเราเอง)
ก็เลยตัดสินใจเวณคือกรรมธรรม์ (เราต้องจ่ายอีก 5 ปี เพื่อให้ครบกำหนดสัญญาจ่าย 20 ปี นั้นคือจ่ายค่าเบี้ยมาแล้ว 15 ปี) ยอดเงินสุดท้ายที่ได้คือคิดเป็น 30% ของยอดค่าเบี้ยที่จ่ายไปทั้งหมด (คร่าว ๆ นะคะ ตัวเลขไม่แน่นอน)
สิ่งที่อยากจะมาแชร์ประสอบการตรงนี้ก็คือ
1. การทำประกันมันก็เหมือนป้องกันความเสี่ยง แบบที่จริงเราก็ไมได้ค่าตอบแทนมากมาย คือ มันไม่ได้คุ้มค่า แต่ในกรณีที่เสียชีวิตเร็วคงคุ้มค่ามั้งค่ะ
2. การทำหนังสือรับรองสุขภาพ เหมือนกับหากเราเกิดการเจ็บป่วยเสียชีวิตเราอาจไม่ได้ค่าตอบแทน (ซึ่งผู้ที่จะทำประกันควรศึกษาอย่างละเอียด)
3. การลงทุนควรเอาเงินไปใช้ทำอย่างอื่นมากกว่าการมาซื้อประกันชีวิต (ในกรณีที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงก็ไม่ว่ากันคะ)
4. เสียความเชื่อมั่นของระบบประกันชีวิต เราคงไม่อยากทำประกันชีวิตอีกแล้ว แล้วเบื่อหน่าย เรากังวลว่าสุดท้ายแล้วเราจะได้รับผลประโยชน์มั้ย (กรณีที่คาดหวังจะได้เงินทดแทน)
5. หากเวณคืนเงินทีไ่ด้ก็ได้มาแค่ 30% ของเบี้ยประกันที่จ่าย (อันนี้เพิ่งไปอ่านสัญญาเจอ มีระบุไว้ชัดเจนค่ะ แต่คิดดูสิค่ะดอกเบี้ยเงินต้นที่เราจ่ายไปทั้ง 15 ปี จะเท่าไหร่ เราคิดว่าคงเป็นก้อนที่คืนให้เรานี้ละคะ ส่วนเงินต้นเราก็เอาไปรับประทานกันสบาย ล่อเลี้ยงความเจริญก้าวหน้าของบริษัทต่อไป)
** แล้วท่านอื่นมีความคิดต่อการทำประกันชีวิตที่แตกต่างหรือปัญหาอะไรบ้างคะ เชิญร่วมแชร์ประสบการณ์ค่ะ**
ปล. งดรับข้อความประเภทยินดีให้คำปรึกษาของตัวแทนประกันชีวิตค่ะ
ประสบการณ์แย่ๆ กับการทำประกันชีวิต
ก่อนอื่นการให้ความคิดเห็นของ จขกท ต้องบอกว่านำมาจากประสบการณ์คะ (เนื่องจากไม่ได้มีโอกาสศึกษารายละเอียดเพราะเป็นกรมธรรม์ที่แม่ทำให้) อย่างที่เคยทั้งกระทู้ระบายไปก่อนหน้านี้ แม่ทำประกันชีวิตเป็นการจ่ายเบี้ยประกันจำนวน 20 ปี คุ้มครองตลอดชิวิต จุดเริ่มต้นของเรื่องมันเกิดขึ้นเนื่องจากปกติแม่จะจ่ายเบี้ยประจำปีให้กับตัวแทนประกัน (คนที่ทำประกันด้วย) เพราะเป็นเพื่อนร่วมงานจึงสามารถจ่ายได้สะดวก ที่เกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากเพื่อนร่วมงานแม่เสียชีวิตแม่เลยไม่ได้จ่ายเบี้ยในปีนั้น (กำหนดการชำระเบี้ยประกันประมาณเดือนพฤศจิกายน) ต่อมาแม่เลยจะเข้าไปชำระเบี้ยที่สำนักงานตัวแทนของบริษัท (จังหวัดอุบลราชธานี) (แม่พยายามจะเข้าไปชำระตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงมีนาคมของปีถัดมา) แล้วก็มีปัญหายืดเยื้อเรื่องลายเซ็น (เพราะแม่เซ็นชื่อไว้ตั้งแต่เมื่อ 16 ปีก่อน เนื้อเรื่องตามได้ดังกระทู้นี้คะ http://ppantip.com/topic/33491046 และ http://ppantip.com/topic/33549645)
จนแม่ไม่ไหวจะคุยจึงให้เราไปช่วยเดินเรื่องให้ อย่างแรกเราก็ได้แก้ไขปัญหาเรื่องลายเซ็น และเมื่อเข้าไปติดต่อที่สำนักงานใหญ่แถวบางรัก เรื่องก็โอเคแก้ปัญหาได้ค่ะ แต่แล้วปัญหาก็ยังไม่จบ การจะเข้าสู่ระบบกรมธรรม์ปกติ (ตอนนี้เป็นแบบขยายระยะเวลา) ต้องส่งหนังสือรับรองสุขภาพ เราก็กรอกเอกสารส่งเข้าไป แต่เนื่องด้วยความชะล่าใจของการให้บริการตอบคำถามของ Call center ที่ดูเหมือนว่าการดำเนินการต่าง ๆ ช่างง่ายเหมือนการสั่งอาหาร Delivery เลยไม่ได้เช็คการส่งเอกสารหรือเก็บรหัส EMS ไว้ ซึ่งต่อมาประมาณ 3 เดือนนับจากวันที่ส่งไปรษณีย์ มีจดหมายพร้อมเช็คเงินค่าเบี้ยประกันที่จ่ายเข้าไปรอบล่าสุด เนื้อความในจดหมายระบุว่าไม่ได้รับเอกสารหนังสือรับรองสุขภาพ
แล้วไงต่อละคะที่นี้ เช็คสิคะเช็ค เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีกเนี้ย ก็โทรไปที่ Call Center เช่นเดิม พี่พนักงานก็ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตอบรับทุกปัญหาของผู้รับบริการ แลัวบทสรุปที่ได้ก็คือเอกสารสวนทางกัน หมายความว่ากว่าผู้ที่มีหน้าที่เช็คเอกสารจะได้รับหนังสือรับรองสุขภาพ ท่านก็ออกเช็คพร้อมจดหมายที่ระบุว่าไม่ได้รับหนังสือรับรองสุขภาพส่งมาให้กับทางผู้ถือครองกรมธรรม์ เอ้าาไม่เป็นไรพี่พนักงานบอกเดี๋ยวเครียให้ให้ทางลูกค้าส่งเช็คเงินสดกลับเข้าไปใหม่ ก็ตามนั้นคะเอาเช็คไปคืนเข้าธนาคาร หวังว่าจะหมดปัญหากันสักทีละคราวนี้
แท้น แท้นนน แท้นนนน >>>> 2 เดือนผ่านไป
เช็คเงินสดมาพร้อมจดหมายอีกแล้วคะท่าน ยังไงละทีนี้ เกิดปัญหาไรขึ้นอีกกกกกก ก็ตามเดิมคะด่านแรกโทรสอบถามพี่ Call Center ก็ได้คำตอบมาว่าหนังสือรับรองสุขภาพไม่สมบูรณ์ เราก็เช็คๆๆ ถามๆๆ ว่าอะไรไม่สมบูรณ์ สรุปคือเพราะเรากากบาทตรงข้อที่บอกว่าเราอาหารไม่ย่อย (ที่จริงในข้อนั้นมิอาการอีกหลายอาการ แต่เนื่องจากเราเป็นกรดไหลย้อนเราเลยกากบาทข้อนี้ไป) แล้วไงละคะที่นี้เราต้องได้ส่งเอกสารการเข้ารับการรักษาหรือให้ทำหนังสือเข้าไปใหม่ (เพื่ออออออออ ????????????)
ที่จริงแม่เราทำกรมธรรม์ไว้สองฉบับ อีกฉบับคือของน้อง ก็เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกัน เราเลยเช็คว่าน้องเรากรอกอะไรไปบ้าง แต่เราโทรถามพี่ Call เค้าบอกว่าน้องเราลืมลงชื่อตรงช่องไหนสักอย่าง คือตอนเราส่งอ่ะเราให้น้องกากบาทข้ออื่น ๆ ตามเราเลยนะ เขียนข้อไหนบ้าง (ยกเว้นประวัติสุขภาพที่น้องเราไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน คือไม่ได้กากบาทข้ออาหารไม่ย่อยเหมือนเรา) แล้วไงละคะสุดท้ายก็คือเข้าสู่กรมธรรม์ปกติไม่ได้ทั้ง 2 ฉบับ
สุดท้าย ท้ายสุด พอกันทีการทำประกันชีวิตที่เหมือนจะหลอกลวงแก่ผู้บริโภค (หรือเราเป็นผู้บริโภคที่ไม่รู้สิทธิของเราเอง)
ก็เลยตัดสินใจเวณคือกรรมธรรม์ (เราต้องจ่ายอีก 5 ปี เพื่อให้ครบกำหนดสัญญาจ่าย 20 ปี นั้นคือจ่ายค่าเบี้ยมาแล้ว 15 ปี) ยอดเงินสุดท้ายที่ได้คือคิดเป็น 30% ของยอดค่าเบี้ยที่จ่ายไปทั้งหมด (คร่าว ๆ นะคะ ตัวเลขไม่แน่นอน)
สิ่งที่อยากจะมาแชร์ประสอบการตรงนี้ก็คือ
1. การทำประกันมันก็เหมือนป้องกันความเสี่ยง แบบที่จริงเราก็ไมได้ค่าตอบแทนมากมาย คือ มันไม่ได้คุ้มค่า แต่ในกรณีที่เสียชีวิตเร็วคงคุ้มค่ามั้งค่ะ
2. การทำหนังสือรับรองสุขภาพ เหมือนกับหากเราเกิดการเจ็บป่วยเสียชีวิตเราอาจไม่ได้ค่าตอบแทน (ซึ่งผู้ที่จะทำประกันควรศึกษาอย่างละเอียด)
3. การลงทุนควรเอาเงินไปใช้ทำอย่างอื่นมากกว่าการมาซื้อประกันชีวิต (ในกรณีที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงก็ไม่ว่ากันคะ)
4. เสียความเชื่อมั่นของระบบประกันชีวิต เราคงไม่อยากทำประกันชีวิตอีกแล้ว แล้วเบื่อหน่าย เรากังวลว่าสุดท้ายแล้วเราจะได้รับผลประโยชน์มั้ย (กรณีที่คาดหวังจะได้เงินทดแทน)
5. หากเวณคืนเงินทีไ่ด้ก็ได้มาแค่ 30% ของเบี้ยประกันที่จ่าย (อันนี้เพิ่งไปอ่านสัญญาเจอ มีระบุไว้ชัดเจนค่ะ แต่คิดดูสิค่ะดอกเบี้ยเงินต้นที่เราจ่ายไปทั้ง 15 ปี จะเท่าไหร่ เราคิดว่าคงเป็นก้อนที่คืนให้เรานี้ละคะ ส่วนเงินต้นเราก็เอาไปรับประทานกันสบาย ล่อเลี้ยงความเจริญก้าวหน้าของบริษัทต่อไป)
** แล้วท่านอื่นมีความคิดต่อการทำประกันชีวิตที่แตกต่างหรือปัญหาอะไรบ้างคะ เชิญร่วมแชร์ประสบการณ์ค่ะ**
ปล. งดรับข้อความประเภทยินดีให้คำปรึกษาของตัวแทนประกันชีวิตค่ะ