....การเมืองเรื่อง..ดารา/ชนชั้น/วรรณะ/จัณฑาล/ชาติกำเนิด/และสีผิว...

กระทู้คำถาม
ดารา
ระยะหลังๆ สถานะของ “ดารา” หรือฝ่ายบันเทิงเริ่มมีบทบาทในเส้นทางการเมืองมากขึ้น   หลายสิบปีก่อนตอนคุณสุเทพ  วงศ์คำแหงสมัครสส.กลายเป็นที่ฮือฮาทีเดียวและต่อมาก็คุณอภิชาติ หาลำเจียกได้รับเลือกเป็นส.ส   ส่วนบนเวทีการเมืองระดับโลกเห็นจะไม่มีใครเกินประธานาธิบดีโรนัล  แรแกน  คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคะแนนเสียงที่ได้นั้น  ส่วนหนึ่งมีฐานมาจากความนิยมในด้านการแสดง    การร่วมชุมนุมที่ผ่านๆ มาในเมืองไทยก็ในทำนองเดียวกัน  ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งของแม่เหล็กที่ดึงดูดจำนวนคนเข้ามาร่วม(ทั้งมาชุมนุมและมาดูดารา)นั้นมาจากสถานะความเป็น “ดารา” ที่ถูกเชิญ/ถูกใช้/ถูกจ้าง/และสมัครใจขึ้นไปพูดปราศัยบนเวที   นี่คืออีกบทบาทหนึ่ง(และอาจจะรวมไปถึงรายได้พิเศษ)ที่เพิ่มเข้ามาสำหรับดาราบางกลุ่มบางคน  แม้พวกเขาจะบอกว่าพวกเขาคือประชาชนคนหนึ่ง  และการออกมาร่วมประท้วงในฐานะประชาชนโดยทิ้งความเป็นดาราเอาไว้ที่บ้าน   กระนั้น   แม้จะทิ้ง “ความเป็นดารา” เอาไว้ที่บ้าน   แต่หากใบหน้าที่อยู่ในท่ามกลางฝูงชนหรือพูดปราศัยบนเวทียังคงเป็นใบหน้าของ สินจัย  หยอง(ลูกหยี) แตงโม  สันติสุข ฯลฯ  พวกเขาก็คือดาราวันยังค่ำ....เมื่อเหล่าดาราบางส่วนที่กล้าก้าวออกมาเดินถนนการเมืองตรงนี้แล้ว  ก็ต้องกล้าที่จะรับคำวิจารณ์ก่นด่ารวมไปถึงการใช้พิจารณญาณด้วย  ซึ่งตรงนี้รวมไปถึงกรณีคุณศรรามที่ปฏิเสธดารารุ่นใหญ่อย่างพงษ์พัฒน์ให้ไปรวมกับกลุ่มพันธมิตร   และคุณแพนเค้ก เขมนิจที่เคยโดยรุมด่ากรณีไปออกงานกับคุณยิ่งลักษณ์


ชนชั้น/วรรณะ
เราปรามาสประเทศอินเดียมาตลอดเรื่องชนชั้นวรรณะ   แต่กลิ่นไอของระบบชนชั้นและวรรณะของเราเองก็ยังไม่จางจากสังคมไทยเลยแม้จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้มีการเลิกทาส/ไพร่มาร่วมร้อยกว่าปีแล้ว   ว่าไปทำไมมี...เอาแค่ระดับ “ไพร่/ทาส” ของเรายังแบ่งซอยลงไปได้ถึงเจ็ดชั้น!   เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน...ถ้ามีเวลาและพันทิปเปิดกว้างกว่านี้คงได้เจาะลึก


จัณฑาล/ชาติกำเนิด
ช่วงนี้ “จัณฑาล” กำลังดัง...และเป็นที่กำลังถกเถียงกันว่าอย่างไรเรียกจัณฑาลอย่างไรไม่เรียก...มุมมองส่วนตัวผม  ในพระไตรปิฏกมีพระสูตรๆ หนึ่งเรียกว่า “จัณฑาลสูตร”ที่กล่าวถึงพุทธศาสนิกชนไม่ดี  และนี่กระมังคงจะเป็นที่มีของคนโบราณที่นำชื่อพระสูตรมาเรียกคนชั่วคนไม่ดีว่า “จัณฑาล”(โดยรากศัพท์แปลว่าต่ำ)....

ในสมัยผมเป็นเณรน้อยเคยแปลพระธรรมบทว่าด้วยเรื่องพระเจ้า “วิฑูฑภะ” โอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศล(วรรณะกษัตริย์)แห่งศากยะวงศ์และนางวาสภขัติยา  ซึ่งนางวาสภขัติยานี้เป็นหญิงที่เกิดจากพระเจ้ามหานามะ(วรรณะกษัตริย์)แห่งศากยะวงศ์และนางทาสี(วรรณะศูทร)   ดังนั้น  วิฑูฑภะโดยศักดิ์แล้วก็เป็นเหลนของพระพุทธเจ้านั่นเอง   เรื่องมีอยู่ว่าพระเจ้าปเสนธิโกศลอยากจะเป็น “ดอง” ด้านญาติกับพระพุทธเจ้า   จึงไปขอธิดาจากแคว้นกบิลพัสตร์ของศากยวงศ์(ซึ่งเป็นสกุลของพระพุทธเจ้า)   พวกศากยวงศ์นี่เป็นพวกถือวรรณะอย่างรุนแรง   ไม่อยากให้สกุลตัวเองไปเกี่ยวข้องกับสกุลอื่นให้เปื้อนเลือด   จึงจัดส่งนางวาสภขัติยาไปให้พระเจ้ปเสนธิโกศล   โดยจัดฉากว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของศายกวงศ์จริงๆ  พระเจ้าปเสนธิโกศลก็เชื่อสนิท   (สมัยนั้นไม่มีการพิสูจน์ดีเอ็นเอนะครับ  เขาพิสูจน์กันโดยการให้นั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกัน)  นางวาสภขัติยาก็ให้กำเนิดโอรสชื่อวิฑูฑภะ   เมื่อโตเป็นหนุ่มเจ้าชายวิฑูฑภะก็จะเสด็จมาเยี่ยมญาติที่กรุงกบิลพัสตร์   หลังจากเสด็จกลับแล้วพวกศายกวงศ์ก็ให้เหล่านางทาสเอาน้ำนมไปล้างแท่นที่เจ้าชายวิฑูฑะภะนั่งเพื่อไล่ “เสนียดจันไร” ของวิฑูฑภะ  เพราะวิฑูฑภะเกิดจากลูกที่เป็นนางทาสี    เมื่อเจ้าชายวิฑูฑภะทราบเข้าก็โกรธแค้นยิ่งนักที่ “ชาติกำเนิด” ตัวเองถูกเหยียดหยามขนาดนั้น   ประกาศกร้าวว่า  พวกศายกวงศ์เอา “น้ำนม” ล้างแทนที่พระองค์เคยประทับ   แต่สักวันหนึ่งพระองค์จะเอาเลือกจากลำคำของพวกศากยงศ์ทั้งหมดมาล้างแท่นนั้น   และก็เป็นจริง...เมื่อเจ้าชายวิฑูฑภะทำการปฏิวัติพระราชบิดาและปราบดาภิกเษกขึ้นปกครองแคว้นโกศล   พระองค์ก็กรีฑาทัพมายังเมืองกบิลพัสตร์   พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาอยู่สามครั้ง  พระเจ้าวิฑูฑภะก็เสด็จทัพกลับ   แต่ครั้งที่สี่....พระพุทธเจ้าทรงปล่อยไปตามยถากรรม   พระเจ้าวิฑูฑภะยกทัพเข้ากบิลพัสตร์ฆ่าคนศายกวงศ์แล้วเอาเลือดมาล้างแท่นประทับทุกคน...กล่าวกันว่าศากยวงศ์  อันเป็นสกุลของพระพุทธเจ้าได้หายสาปสูญไปจากโลกในครานั้นเอง   เกิดจากชาติ....พระเจ้าวิฑูฑภะ (บางคนอาจจะเรียกว่าจัณฑาล)ที่เกิดจากวรรณะกษัตริย์และวรรณะศูทร


สีผิว
การเมืองเรื่องสีผิวนี่....ถ้าจะให้พูดจริงๆ คงต้องลากกันยาวเลย แต่ที่รุนแรงและเด่นที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของคนผิวดำอย่างมาร์ติน  ลูเธอร์(แต่สุดท้ายเขาก็ถูกลอบสังหาร)  หรือแม้แต่การต่อสู้ระหว่างชนเผ่าอินเดียแดงกับอเมริกัน    วันสองวันที่ผ่านมา...โฆษณาเครื่องประทินผิวชนิดหนึ่งที่ใช้คุณคริส หอวังแสดงชื่อว่า “แค่ขาว ก็ชนะแล้ว” อะไรประมาณนี้   เล่นเอาฮือฮาไปทั้งบาง   และตอนนี้ก็เริ่มดังจะไปทั่วโลกแล้ว   เป็นการเหยียดผิว(อย่างรุนแรงในสายตาผม)     คนไทยส่วนใหญ่ก็มักมองเรื่อง “ความดำ” โดยเฉพาะผิวสีเป็นเรื่องไม่ดี ไม่เป็นมงคล   สำนวน “รูปชั่ว ตัวดำ” ยังคงแอ็คทีฟในสังคมไทย   อย่าว่าแค่มนุษย์ด้วยกันเลย   สัตว์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างอีกาก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย...นี่แหละคนไทยเวลาเกลียดอะไร....ก็มักจะพาลเหมาเอาสิ่งที่เหมือนๆ กันไปด้วย    ผมหวังว่าโฆษณาของคุณคริส หอวัง “แค่ขาว ก็ชนะแล้ว” นั้นจะถูกระงับนะครับ

"สินค้าไทยดังไกลทั่วโลก  GDP เตรียมพุ่งได้เลย" http://ppantip.com/topic/34653429
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ดาราทุกๆคนล้วนแล้วแต่มี FC เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ FC ของตัวเองทั้งหมดจะมีแนวคิดทางการเมืองตรงกันกับตัวเอง การแสดงออกทางการเมืองเป็นเรื่องที่รับได้และถือเป็นสิทธิอย่างหนึ่ง เพราะดาราก็คือประชาชนคนหนึ่ง มีความรักความชอบส่วนตัวที่เราจะไปบีบบังคับเขาไม่ได้ ในทางกลับกันดาราก็ไม่สมควรไปทำร้ายจิตใจคนที่เคยรักเคยชอบตัวเองด้วยการเหยียดหยามดูถุกคนที่แนวคิดทางการเมืองไม่เหมือนตนเองเช่นกัน  โดยเฉพาะดารา นักร้อง ที่เคยผ่านเวทีประกวดด้วยเสียงโหวตจากประชาชน พวกนี้คุณต้องตระหนักให้มาก คนเคยทั้งมอบใจสนับสนุน เสียทั้งเงินทอง ค่าใช้จ่ายคอยตามไปโหวต หรือเสียค่ารถไปตามเชียร์ชูป้ายไฟถึงขอบเวที อยากถามดาราพวกที่ชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นที่เขาไม่ได้ชอบการเมืองขั้วเดียวกับคุณว่าคุณเอาความรู้สึกของพวกเขาเหล่านั้นไปโยนทิ้งง่ายๆเพราะความปากพล่อยของตัวคุณเองงั้นหรือ

และก็มีดาราอีกบางจำเทือกที่ผู้จัดว่ายังไง ตัวเองก็ต้องว่าตาม ผู้จัดไปชัตดาวน์เป่านกหวีดตัวเองก็ต้องไป มันคือการเชลียเจ้านายอย่างหนึ่งโดยการเอาความรู้สึกของแฟนละครไม่ต่ำกว่าครึ่งไปโยนทิ้งเช่นกัน  อยากจะบอกพวกคุณว่าผู้จัดมันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าหรอกครับ เจอคลื่นลูกใหม่มาแรงผู้จัดก็ตกกระป๋อง หรือเจอดาราใหม่กว่าสดกว่าเขาก็ไม่จ้างคุณ  แต่ตราบใดที่คุณยังนั่งอยู่ในหัวใจของประชาชนได้ ยังไงคุณก็มีงานครับ ผู้จัดไม่จ้างก็ไปเป็นฟรีแลนซ์รับงานเองได้

เกลียดจริงๆไอ้พวกดูถูกคนอื่น ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าใคร โคตรเกลียดมันจริงๆครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่