เรียน ผอ.การท่าอากาศยานดอนเมือง / CEO สายการบินนกแอร์
ด้วย วันนี้(7 มค. 59) ผมได้เดินทางมาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง โดยเช็คอินผ่านสายการบินนกแอร์ ในช่อง 14-15 อาคารผู้โดยสารใหม่ (อาคาร 2) พร้อมทั้งโหลดกระเป๋าสัมภาระใต้ท้องเครื่อง หลังจากนั้นได้รับคำแนะนำ จากเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ ให้รอเช็คสัมภาระก่อนขึ้นเครื่อง ผมจึงได้เดินออกมาดู ช่องตรวจสัมภาระ แต่ด้วยความใหม่ของอาคาร/สถานที่ และการมาใช้บริการอาคารใหม่ที่นี่ เป็นครั้งแรกของผม ทำให้ผมงงว่าจะไปรอดู หรือรอเรียกเช็คสัมภาระที่ไหน อีกทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่มายืนคอยแนะนำประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด เมื่อถามคนที่มารอเช็คอินอยู่ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง จะถามเจ้าหน้าที่สายการบินก็ให้บริการเต็มอยู่ทุกช่องบริการ จนผมเดินมาเจอจอทีวีที่ยึดติดข้างฝาผนัง กำลังฉายภาพสัมภาระ ที่โหลดผ่านเครื่องสแกน แต่ภาพนั้นก็ไม่ชัดเท่าที่ควร ดูได้เพียงว่า คล้ายๆ กระเป๋าสัมภาระของเรา ซึ่งผมดูแล้ว มีที่คล้ายกันอยู่ถึง 3 ใบ ที่ผ่านมาในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน แต่เมื่อรอดูสักพัก ก็ไม่เห็นมีกระเป๋าใบอื่นๆ ที่คล้ายกระเป๋าของผมแล้ว อีกทั้งไม่มีเสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลห้องสแกนสัมภาระ พร้อมกับจังหวะที่เพื่อนผมซึ่งมาด้วยกัน ชวนให้ไปได้แล้ว ผมจึงเดินตัดสินใจเดินจากหน้าจอไปในทันที และก็ได้เจอช่องหน้าต่างอีกด้านหนึ่งของห้องที่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นห้องที่ก่ออิฐฉาบปูน และเป็นห้องที่ปิดทึบพอสมควร ที่พอจะเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ในห้องสแกนได้ เพียงช่องแคบๆเล็กๆ ที่พอจะมองสอดส่องสายตารอดไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ผมจึงได้หยุดดูอีกสักครู่ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นการทำงานทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ในห้องได้ และไม่สามารถมองเห็นขั้นตอนการโหลดสัมภาระได้โดยตลอดทั้งสายพานจนเข้าสู่ใต้ท้องเครื่องได้เหมือนระบบเดิม ซึ่งเป็นระบบเปิด ที่เราสามารถมองเห็นการเคลื่อนที่ของสัมภาระได้จนสุดสายตา อีกทั้งระบบเดิม การสแกนสัมภาระอยู่คนละจุด กับการโหลดสัมภาระ ทำให้เจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่โหลดสัมภาระของสายการบินนั้นๆ ไม่รู้เลยว่า สัมภาระของลูกค้าเป็นอะไร รู้แต่เพียงว่าสัมภาระนั้นปลอดภัย เพราะผ่านการสแกนมาแล้ว โดยในส่วนของสัมภาระของผมที่หาย คือ นาฬิกาข้อมือ จำนวน 2 เรือน ยี่ห้อ Timex 1 เรือน ราคาประมาณ 2,500 บาท และยี่ห้อ Casio อีก 1 เรือน ราคาประมาณ 1,500 บาท (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นนาฬิกาที่แพงมากสักเท่าไหร่) โดยผมตั้งใจว่าจะเอามาให้น้องชายเป็นของขวัญปีใหม่ ซึ่งผมได้นัดกับน้องให้มาเอาที่สนามบิน จึงไม่ได้ใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระด้านใน ใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหน้า ซึ่งมีซิบรูดปิดมิดชิด เพื่อจะได้หยิบของได้สะดวก แต่เนื่องจากน้องชายมาสาย และผมก็ลืมหยิบของออกมาก่อนโหลดสัมภาระ เมื่อโหลดไปแล้ว เพิ่งนึกได้ตอนที่จะรับสัมภาระคืน เพราะสังเกตเห็นซิปรูดปิดไม่สนิท คือรูดปิด แต่ไม่สุด เหมือนที่ผมรูด แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะทำให้ของหลุดออกมาได้ ด้วยความสงสัย ผมจึงได้เปิดออกดูในทันทีที่ได้รับสัมภาระจากสายพาน เมื่อเปิดดูปรากฏว่า ไม่มีนาฬิกาทั้ง 2 เรือน ผมจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ในทันที เจ้าหน้าที่นกแอร์ก็ประสานงานมายังสนามบินดอนเมือง และเช็คเส้นทางการขนสัมภาระว่า มีตกหล่นหรือไม่ หรือเจ้าหน้าที่มีการคัดแยกของต้องห้ามออกมาหรือไม่ เขาก็ประสานงานและบอกให้ผมรอ ผมก็รอสักพัก ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ อีกทั้งเพื่อนก็มารอรับที่สนามบินแล้ว ผมจึงทิ้งเบอร์โทรให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดต่อกลับ เจ้าหน้าที่นกแอร์ ได้ติดต่อกลับมาแจ้งว่า ไม่พบของตกหล่นแต่อย่างใดเลย ผมจึงให้เขาสอบถามไปยังฝ่ายสแกนที่สนามบินดอนเมือง เพราะเมื่อผ่านเครื่องสแกนเจ้าหน้าที่ก็ย่อมรู้ว่ามีของอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง อีกทั้งก่อนหน้านี้ ผมแนะนำให้ชั่งสัมภาระดูเทียบกับตอนที่เช็คอิน ว่าน้ำหนักต่างกัน มากน้อยเพียงใด ซึ่งในวันนี้ ผมเดินทางมาถึงก่อนเวลาการเดินทาง 2 ชั่วโมงเศษ (ซึ่งดูจากสื่อต่างๆ เขาแนะนำให้ เดินทางมาถึงก่อน 2 ชม.) แต่ก็ได้ถามเจ้าหน้าที่นกแอร์ที่ดอนเมืองแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสามารถเช็คอินได้เลย ซึ่งตรงนี้เองก็เป็นอีกจุดที่ต้องสงสัย เพราะการที่กระเป๋ามาก่อนเวลานานๆ อาจทำให้มีเวลาในการถูกรื้อค้นของได้นานขึ้น (อ่านจากเว็บ Pantip เรื่องที่คนเคยมา post เรื่องของหาย ซึ่งพบว่าลูกค้านกแอร์ มีปัญหาเรื่องของหายมากที่สุด และทางสายการบินไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย) ซึ่งในกรณีของผมก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่นกแอร์ ให้ผมติดต่อผ่านการท่าอากาศยานดอนเมือง โดยตรง เพราะเขาแจ้งว่า พนักงานที่สแกนสินค้าในห้องทึบ หลังเคาน์เตอร์เช็คอิน เป็นเจ้าหน้าที่ของการท่าอากาศยานดอนเมืองทั้งสิ้น ซึ่งตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นพนักงานนกแอร์ ผมจึงขอให้ทางนกแอร์ช่วยประสานงานให้ เพราะผมเดินทางมาถึงหาดใหญ่แล้ว และกำลังเดินทางต่อไปยังปลายทางที่จังหวัดยะลา เจ้าหน้าที่นกแอร์จึงแจ้งให้ผม ไปดำเนินการแจ้งความ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงการเดินทางไป จ.ยะลา ผมจึงขอไปแจ้งความที่ยะลาแทน เมื่อผมได้แจ้งความแล้ว ส่งเมล์ใบแจ้งความกลับมายังศูนย์บริการนกแอร์สาขาหาดใหญ่ และได้รับข้อมูลว่า ทางนกแอร์ ได้ประสานงานไปยังการท่าอากาศยานดอนเมืองและหาดใหญ่แล้ว ไม่พบของที่สูญหาย
ในการนี้ ผมจึงอยากที่จะเสนอแนะว่า ทางการท่าอากาศยานดอนเมือง ควรมีระบบการตรวจสอบสัมภาระที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มากกว่านี้ โดยควรจัดหาห้องที่มีกระจกรอบ เพื่อให้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในการตรวจสอบสัมภาระ อีกทั้งได้เห็นการลำเลียงผ่านสายพานได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น และการสแกนควรเป็นการให้ลูกค้าสแกนแล้วลากต่อไปเช็คอินเอง โดยมีสติ๊กเกอร์คาดให้ทราบว่าผ่านการตรวจสอบแล้วเหมือนเดิม หากมีปัญหาของหายก็ควรเช็คด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนหลังเปรียบเทียบกัน (เพราะมีบันทึกข้อมูลในการชั่งน้ำหนักสัมภาระก่อนโหลดขึ้นเครื่องอยู่แล้ว) และในส่วนของห้องทำงานเจ้าหน้าที่ ที่สแกนสินค้า และตลอดจนสายพานลำเลียงจนถึงตอนที่สัมภาระขึ้นเครื่องควรมีกล้องวงจรปิด บันทึกและถ่ายทอดเหตุการณ์ ให้สามารถนำไปดูย้อนหลัง เพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ และควรมีการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องสัมภาระทุกคน ในการนำสิ่งของเข้า-ออก จากสถานที่ปฏิบัติงานทุกวัน สุดท้าย อยากให้ทางการท่าอากาศยาน และสายการบินนกแอร์ ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าด้วย ไม่ใช่ตรวจสอบแล้ว บอกไม่พบอะไร ไม่คิดที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหา ปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เสียชื่อประเทศไทย ซึ่งเราต้องช่วยรักษาภาพพจน์ของประเทศไว้ให้มากๆ เพราะตอนนี้ เราเป็นประชาคมอาเซี่ยนแล้ว มีการเคลื่อนไหวของชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งเดินทางโดยด้วยเครื่องบินมากเพิ่มขึ้นทุกวัน หากเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบ ทำงานไม่โปร่งใส ผิดพลาด ทำให้ของหายอยู่เสมอ และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จะทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศเสียไปด้วย ส่งผลให้เกิดภาพลบต่อการท่องเที่ยวและรายได้ของประเทศชาติ อย่าให้คนชั่ว หรือมิจฉาชีพ แฝงตัวเข้ามาในระบบได้ (เหมือนไวรัสร้ายที่เข้ามาทำลายระบบ และทำให้ระบบล่มในที่สุด)
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อุทาหรณ์ครั้งนี้ คงทำให้ผู้รับผิดชอบ ทั้งการท่าอากาศยานและนกแอร์ ช่วยกันตรวจสอบแก้ไขปัญหา และมีจิตสำนึกในการกล้าออกมาแสดงความรับผิดชอบ แก่สังคม และประชาชนผู้มาใช้บริการเป็นลูกค้าของท่านให้มากขึ้น หวังว่าคงได้รับคำตอบที่ดีในเร็ววันนะครับ
ของหาย สังเวย ในความบกพร่อง ของระบบอาคารผู้โดยสารใหม่ (อาคาร 2) สนามบินดอนเมือง - นกแอร์
ด้วย วันนี้(7 มค. 59) ผมได้เดินทางมาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง โดยเช็คอินผ่านสายการบินนกแอร์ ในช่อง 14-15 อาคารผู้โดยสารใหม่ (อาคาร 2) พร้อมทั้งโหลดกระเป๋าสัมภาระใต้ท้องเครื่อง หลังจากนั้นได้รับคำแนะนำ จากเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ ให้รอเช็คสัมภาระก่อนขึ้นเครื่อง ผมจึงได้เดินออกมาดู ช่องตรวจสัมภาระ แต่ด้วยความใหม่ของอาคาร/สถานที่ และการมาใช้บริการอาคารใหม่ที่นี่ เป็นครั้งแรกของผม ทำให้ผมงงว่าจะไปรอดู หรือรอเรียกเช็คสัมภาระที่ไหน อีกทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่มายืนคอยแนะนำประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด เมื่อถามคนที่มารอเช็คอินอยู่ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง จะถามเจ้าหน้าที่สายการบินก็ให้บริการเต็มอยู่ทุกช่องบริการ จนผมเดินมาเจอจอทีวีที่ยึดติดข้างฝาผนัง กำลังฉายภาพสัมภาระ ที่โหลดผ่านเครื่องสแกน แต่ภาพนั้นก็ไม่ชัดเท่าที่ควร ดูได้เพียงว่า คล้ายๆ กระเป๋าสัมภาระของเรา ซึ่งผมดูแล้ว มีที่คล้ายกันอยู่ถึง 3 ใบ ที่ผ่านมาในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน แต่เมื่อรอดูสักพัก ก็ไม่เห็นมีกระเป๋าใบอื่นๆ ที่คล้ายกระเป๋าของผมแล้ว อีกทั้งไม่มีเสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลห้องสแกนสัมภาระ พร้อมกับจังหวะที่เพื่อนผมซึ่งมาด้วยกัน ชวนให้ไปได้แล้ว ผมจึงเดินตัดสินใจเดินจากหน้าจอไปในทันที และก็ได้เจอช่องหน้าต่างอีกด้านหนึ่งของห้องที่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นห้องที่ก่ออิฐฉาบปูน และเป็นห้องที่ปิดทึบพอสมควร ที่พอจะเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ในห้องสแกนได้ เพียงช่องแคบๆเล็กๆ ที่พอจะมองสอดส่องสายตารอดไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ผมจึงได้หยุดดูอีกสักครู่ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นการทำงานทั้งหมดของเจ้าหน้าที่ในห้องได้ และไม่สามารถมองเห็นขั้นตอนการโหลดสัมภาระได้โดยตลอดทั้งสายพานจนเข้าสู่ใต้ท้องเครื่องได้เหมือนระบบเดิม ซึ่งเป็นระบบเปิด ที่เราสามารถมองเห็นการเคลื่อนที่ของสัมภาระได้จนสุดสายตา อีกทั้งระบบเดิม การสแกนสัมภาระอยู่คนละจุด กับการโหลดสัมภาระ ทำให้เจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่โหลดสัมภาระของสายการบินนั้นๆ ไม่รู้เลยว่า สัมภาระของลูกค้าเป็นอะไร รู้แต่เพียงว่าสัมภาระนั้นปลอดภัย เพราะผ่านการสแกนมาแล้ว โดยในส่วนของสัมภาระของผมที่หาย คือ นาฬิกาข้อมือ จำนวน 2 เรือน ยี่ห้อ Timex 1 เรือน ราคาประมาณ 2,500 บาท และยี่ห้อ Casio อีก 1 เรือน ราคาประมาณ 1,500 บาท (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นนาฬิกาที่แพงมากสักเท่าไหร่) โดยผมตั้งใจว่าจะเอามาให้น้องชายเป็นของขวัญปีใหม่ ซึ่งผมได้นัดกับน้องให้มาเอาที่สนามบิน จึงไม่ได้ใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระด้านใน ใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหน้า ซึ่งมีซิบรูดปิดมิดชิด เพื่อจะได้หยิบของได้สะดวก แต่เนื่องจากน้องชายมาสาย และผมก็ลืมหยิบของออกมาก่อนโหลดสัมภาระ เมื่อโหลดไปแล้ว เพิ่งนึกได้ตอนที่จะรับสัมภาระคืน เพราะสังเกตเห็นซิปรูดปิดไม่สนิท คือรูดปิด แต่ไม่สุด เหมือนที่ผมรูด แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะทำให้ของหลุดออกมาได้ ด้วยความสงสัย ผมจึงได้เปิดออกดูในทันทีที่ได้รับสัมภาระจากสายพาน เมื่อเปิดดูปรากฏว่า ไม่มีนาฬิกาทั้ง 2 เรือน ผมจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ในทันที เจ้าหน้าที่นกแอร์ก็ประสานงานมายังสนามบินดอนเมือง และเช็คเส้นทางการขนสัมภาระว่า มีตกหล่นหรือไม่ หรือเจ้าหน้าที่มีการคัดแยกของต้องห้ามออกมาหรือไม่ เขาก็ประสานงานและบอกให้ผมรอ ผมก็รอสักพัก ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ อีกทั้งเพื่อนก็มารอรับที่สนามบินแล้ว ผมจึงทิ้งเบอร์โทรให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดต่อกลับ เจ้าหน้าที่นกแอร์ ได้ติดต่อกลับมาแจ้งว่า ไม่พบของตกหล่นแต่อย่างใดเลย ผมจึงให้เขาสอบถามไปยังฝ่ายสแกนที่สนามบินดอนเมือง เพราะเมื่อผ่านเครื่องสแกนเจ้าหน้าที่ก็ย่อมรู้ว่ามีของอะไรอยู่ในกระเป๋าบ้าง อีกทั้งก่อนหน้านี้ ผมแนะนำให้ชั่งสัมภาระดูเทียบกับตอนที่เช็คอิน ว่าน้ำหนักต่างกัน มากน้อยเพียงใด ซึ่งในวันนี้ ผมเดินทางมาถึงก่อนเวลาการเดินทาง 2 ชั่วโมงเศษ (ซึ่งดูจากสื่อต่างๆ เขาแนะนำให้ เดินทางมาถึงก่อน 2 ชม.) แต่ก็ได้ถามเจ้าหน้าที่นกแอร์ที่ดอนเมืองแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสามารถเช็คอินได้เลย ซึ่งตรงนี้เองก็เป็นอีกจุดที่ต้องสงสัย เพราะการที่กระเป๋ามาก่อนเวลานานๆ อาจทำให้มีเวลาในการถูกรื้อค้นของได้นานขึ้น (อ่านจากเว็บ Pantip เรื่องที่คนเคยมา post เรื่องของหาย ซึ่งพบว่าลูกค้านกแอร์ มีปัญหาเรื่องของหายมากที่สุด และทางสายการบินไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย) ซึ่งในกรณีของผมก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่นกแอร์ ให้ผมติดต่อผ่านการท่าอากาศยานดอนเมือง โดยตรง เพราะเขาแจ้งว่า พนักงานที่สแกนสินค้าในห้องทึบ หลังเคาน์เตอร์เช็คอิน เป็นเจ้าหน้าที่ของการท่าอากาศยานดอนเมืองทั้งสิ้น ซึ่งตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นพนักงานนกแอร์ ผมจึงขอให้ทางนกแอร์ช่วยประสานงานให้ เพราะผมเดินทางมาถึงหาดใหญ่แล้ว และกำลังเดินทางต่อไปยังปลายทางที่จังหวัดยะลา เจ้าหน้าที่นกแอร์จึงแจ้งให้ผม ไปดำเนินการแจ้งความ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงการเดินทางไป จ.ยะลา ผมจึงขอไปแจ้งความที่ยะลาแทน เมื่อผมได้แจ้งความแล้ว ส่งเมล์ใบแจ้งความกลับมายังศูนย์บริการนกแอร์สาขาหาดใหญ่ และได้รับข้อมูลว่า ทางนกแอร์ ได้ประสานงานไปยังการท่าอากาศยานดอนเมืองและหาดใหญ่แล้ว ไม่พบของที่สูญหาย
ในการนี้ ผมจึงอยากที่จะเสนอแนะว่า ทางการท่าอากาศยานดอนเมือง ควรมีระบบการตรวจสอบสัมภาระที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มากกว่านี้ โดยควรจัดหาห้องที่มีกระจกรอบ เพื่อให้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในการตรวจสอบสัมภาระ อีกทั้งได้เห็นการลำเลียงผ่านสายพานได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น และการสแกนควรเป็นการให้ลูกค้าสแกนแล้วลากต่อไปเช็คอินเอง โดยมีสติ๊กเกอร์คาดให้ทราบว่าผ่านการตรวจสอบแล้วเหมือนเดิม หากมีปัญหาของหายก็ควรเช็คด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนหลังเปรียบเทียบกัน (เพราะมีบันทึกข้อมูลในการชั่งน้ำหนักสัมภาระก่อนโหลดขึ้นเครื่องอยู่แล้ว) และในส่วนของห้องทำงานเจ้าหน้าที่ ที่สแกนสินค้า และตลอดจนสายพานลำเลียงจนถึงตอนที่สัมภาระขึ้นเครื่องควรมีกล้องวงจรปิด บันทึกและถ่ายทอดเหตุการณ์ ให้สามารถนำไปดูย้อนหลัง เพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ และควรมีการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องสัมภาระทุกคน ในการนำสิ่งของเข้า-ออก จากสถานที่ปฏิบัติงานทุกวัน สุดท้าย อยากให้ทางการท่าอากาศยาน และสายการบินนกแอร์ ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าด้วย ไม่ใช่ตรวจสอบแล้ว บอกไม่พบอะไร ไม่คิดที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหา ปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เสียชื่อประเทศไทย ซึ่งเราต้องช่วยรักษาภาพพจน์ของประเทศไว้ให้มากๆ เพราะตอนนี้ เราเป็นประชาคมอาเซี่ยนแล้ว มีการเคลื่อนไหวของชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งเดินทางโดยด้วยเครื่องบินมากเพิ่มขึ้นทุกวัน หากเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบ ทำงานไม่โปร่งใส ผิดพลาด ทำให้ของหายอยู่เสมอ และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จะทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศเสียไปด้วย ส่งผลให้เกิดภาพลบต่อการท่องเที่ยวและรายได้ของประเทศชาติ อย่าให้คนชั่ว หรือมิจฉาชีพ แฝงตัวเข้ามาในระบบได้ (เหมือนไวรัสร้ายที่เข้ามาทำลายระบบ และทำให้ระบบล่มในที่สุด)
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อุทาหรณ์ครั้งนี้ คงทำให้ผู้รับผิดชอบ ทั้งการท่าอากาศยานและนกแอร์ ช่วยกันตรวจสอบแก้ไขปัญหา และมีจิตสำนึกในการกล้าออกมาแสดงความรับผิดชอบ แก่สังคม และประชาชนผู้มาใช้บริการเป็นลูกค้าของท่านให้มากขึ้น หวังว่าคงได้รับคำตอบที่ดีในเร็ววันนะครับ