Le Fantasque
Le Fantasque เป็นเรือพิฆาตลำดับที่ 2 ในเรือชั้น Le Fantasque Class โดยเรือชั้นนี้นั้นกองทัพเรือฝรั่งเศสมีแผนที่จะสร้างด้วยกันถึง 6 ลำ ในทศวรรศที่ 1930 คือ Le Malin, Le Fantasque, Le Terrible, Le Audacieux, Le Triomphant, Le Indomptable และหน้าที่ของเรือชั้นนี้ทั้งหมดก็แทบไม่ต่างจากเรือพิฆาตชั้นอื่นๆในกองทัพเรือฝรั่งเศส คือ ปฏิบัติภารกิจคุ้มกัน ปราบเรือดำน้ำ สารพัดภารกิจควบคู่ไปกับเรือประจัญบาน เรือลาดตระเวณและเรือบรรทุกเครื่องบิน และการออกแบบของเรือชั้นนี้เพื่อให้เรือชั้นนี้มีความเหนือและทันสมัยกว่าเรือพิฆาตของกองทัพเรืออิตาลีทุกๆลำในตอนนั้น ไม่ว่าจะอำนาจในการทำลายล้างที่สูง ความเร็วสูงสุด เกราะที่แข็งแกร่ง ด้วยความเร็วที่สูงสุดถึง 45 น็อต ทำให้เรือในชั้นนี้ทุกลำกลายเป็นเรือพิฆาตที่ครองแชมป์เร็วที่สุดตลอดกาลของกองทัพเรือฝรั่งเศสและในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ที่เคยสร้างเรือมาเป็นต้นมา และมีความเหนือกว่าเรือพิฆาตในกองเรือของยุโรปและของกองทัพเรืออิตาลีในเวลานั้น จนกองทัพเรืออิตาลีต้องต่อเรือลาดตระเวณเบาชั้น Capitani Romani class ออกมาตอบโต้เรือในชั้นนี้ทั้งหมด
ทางด้านเรือ Le Fantasque นั้น เรือถูกวางกระดูกงูในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1931 ถูกปล่อยลงน้ำในวันที่ 15 มีนาคม 1934 และได้เข้าระวางประจำการอย่างเป็นทางการในกองทัพฝรั่งเศสในวันที่ 1 พฤษภาคม 1936 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มขึ้นเรือได้รับหน้าที่ให้ทำการบาดตระเวณพร้อมกับกองเรือรบอื่นๆฝรั่งเศสในน่านน้ำของมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อค้นหาและทำลายขบวนกองเรือสินค้าของเยอรมัน ในมหาสมุทรแอตแลนติก ในวันที่ 16 ตุลาคม 1939 เรือสามารถจมเรือและทำการจับกุมลูกเรือของเรือสินค้าลำหนึ่งของเยอรมันชื่อ Halle ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1939 เรือ พร้อมกับเรือพิฆาตชั้นเดียวกันอย่าง Le Terrible และเรือลาดตระเวณหนัก Dupleix ได้รับภารกิจให้ตามล่าเรือลาดตระเวณหนักของกองทัพเรือเยอรมัน Admiral Graf spee ที่กำลังก่อเกรียนทำลายขบวนกองเรือสินค้าของสัมพันธมิตรไปทั่วในเขตมหาสมุทรแอตแลนติก ในระหว่างภารกิจกองเรือของฝรั่งเศสสามารถทำการจับกุมเรือสินค้าของเยอรมันได้ลำหนึ่งชื่อ Santa fe
-เปลี่ยนฝ่าย-
หลังจากที่กองทัพของประเทศฝรั่งเศสได้ยอมแพ้แก่กองทัพของประเทศเยอรมันในวันที่ 25 มิถุนายน 1940 ทำให้เรือพร้อมกับเรือรบลำอื่นๆในกองทัพเรือของฝรั่งเศสได้ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือของรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี่(เป็นรัฐบาลฝรั่งเศสที่ทางประเทศเยอรมันตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นหุ่นเชิดของตน) ในวันที่ 23 กันยายน 1940 เรือพร้อมเรือพิฆาตชั้นเดียวกัน Le Audacieux และเรือพิฆาต Le Malin พร้อมกับกองเรือรบของฝรั่งเศสขนาดที่กำลังจอดอยู่ที่ท่าเรือในเมือง Dakar ประเทศเซเนกัล ก็ได้โดนเครื่องบินและกองทัพเรือของสัมพันธมิตรเข้าทำการโจมตีเพื่อหวังขับไล่กองทัพฝรั่งเศสของรัฐบาลวิชี่ออกไป พร้อมสถาปนารัฐบาลของฝรั่งเศสเสรี(กองทัพฝรั่งเศสที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ประเทศฝรั่งเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับประเทศเยอรมัน) ซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับฝั่งสัมพันธมิตรเข้ามาแทนที่
การโจมตีในครั้งนี้ของกองเรือและเครื่องบินของฝ่ายของสัมพันธมิตรล้มเหลว เรือ Le Fantasque ที่ทำการเปิดม่านควันเพื่ออำพรางตัวให้แก่ตัวเรือเองและกองเรือลำอื่นๆของฝรั่งเศสจากเครื่องบินและกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น แทบไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยจากความพยายามของฝ่ายสัมพันธมิตรครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเรือจะถูกระดมยิงจากกองเรือ และเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างหนักก็ตาม หลังจากยุทธการ Operation Torch ไม่นานซึ่งเป็นความพยายามของฝ่ายสัมพันมิตรที่จะทำการขับไล่กองทัพของรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี่อออกไปจากแอฟริกาเหนือ ในเดือน มีนาคม 1943 เรือ พร้อมกับเรือพิฆาตชั้นเดียวกันอย่าง Le Terrible และกองเรือของรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี่ลำอื่นๆ ได้เข้าทำการมอบตัวและเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอีกครั้ง และเรือได้แล่นเดินทางไปทำการซ่อมแซมความเสียหายและติดอาวุธใหม่ที่ท่าเรือในเมือง Boston รัฐแมตซาซูเซต ประเทศสหรัฐ โดยในการติดอาวุธครั้งนี้เรือได้ของเล่นใหม่เป็นไม่ว่าจะเป็นเรดาร์ โซน่าสำหรับค้นหาเรือดำน้ำ พร้อมกับติดตั้งอาวุธต่อต้านอากาศยานขนาด 40 มิลลิเมตรแท่นคู่
แบบ Bofors ปืนต่อต้านอากาศยานแท่นเดียวขนาด 20 มิลลิเมตรแบบ Oreikon และได้รีคลาสใหม่เป็นเรือลาดตระเวณเบา พร้อมกับเรือชั้น Le Fantasque Class ลำอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามการปรับปรุงครั้งนี้ทำให้เรือมีความเร็วสูงสุดลดลงเหลือเพียง 37 น็อต ทำให้เรือได้เสียแชมป์เรือพิฆาต(ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเรือลาดตระเวณเบา)ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากนั้นเรือก็ได้มีส่วนร่วมกับกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรมากมายไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่เมือง Salerno ประเทศอิตาลี การปฏิบัติภารกิจในการสนับสนุนขนส่งหน่วยคอมมานโด 250 นายเข้าไปก่อวินาศกรรมในเขต Ajaccio บนเกาะ Corsia และได้ทำการแอบลักลอบสนับสนุนอาวุธและกระสุนให้แก่กองโจรใต้ดินของฝรั่งเศสบนเกาะ ในตอนกลางคืนของวันที่ 13 กันยายน 1943 ในวันที่ 24 ธันวาคม 1943 เรือได้ทำการสกัดเรือสินค้าของเยอรมันลำหนึ่งชื่อ Nicoline Maersk และบังคับให้เรือสินค้าลำนี้แล่นไปจอดเกยตื้นที่เมือง Tortosa ประเทศสเปน ในเดือน กุมภาพันธ์ 1944 เรือพร้อมกับเรือลาดตระเวณเบาชั้นเดียวกันอย่าง Le Terrible และ Le Malin ได้แล่นเดินทางออกจากเกาะ Ist เพื่อทำภารกิจในการดักรอโจมตีขบวนกองเรือสินค้าของเยอรมันที่กำลังแล่นเดินทางผ่านทะเลแอดเรติก ในคืนวันที่ 18 มีนาคม 1944 เรือและเรือลาดตระเวณเบา Le Terrible ได้ตรวจพบและทำเข้าการเข้าปะทะกับกองขบวนเรือสินค้าของเยอรมันประกอบไปด้วย เรือ Ferrary f124 เรือลากจูง Titanic และเรือยกพลขึ้น Siebel ferrie ของเยอรมันจำนวน 3 ลำ เรือทุกลำในกองขบวนเรือสินค้าของเยอรมันจมหมดจากการโจมตีครั้งนี้ ยกเว้นแต่เรือลากจูง Titanic ที่ได้ทำการหนีเล็ดรอดไปได้
แบบแปลนตัวเรือหลังจากปรับปรุงเสร็จ ในภาพเป็นเรือ Le Terrible เรือรบชั้นเดียวกันที่ได้รับการปรับปรุงและรีคลาสเป็นเรือลาดตระเวณเบาเช่นเดียวกับเรือ Le Fantasque
ในวันที่ 17 มิถุนายน 1944 เรือพร้อมกับเรือลาดตระเวณเบา Le Terrible ได้สามารถทำการจมเรือน้ำมันของอิตาลี(ที่ควบคุมโดยเยอรมัน) MV Giuliana ลงสู่ก้นทะเล และยังได้สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่เรือ R5 และ R14 ที่ได้แล่นเดินทางมาทำหน้าที่คุ้มกันตัวเรือ MV Giuliana ด้วย ในวันที่ 15 สิงหาคม 1944 เรือได้เข้าร่วมกับกองเรือที่ 10 ในการสนับสนุนการยกพลขึ้นบกของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่มณฑล Provence ประเทศฝรั่งเศส
-สุดท้าย-
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลง เรือได้แล่นเดินทางไปปฏิบัติภารกิจยังเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ทำการลาเตระเวณอยู่แถบนั้นจนกระทั่งถึงช่วงทศวรรศที่ 1950 ตัวเรือได้รับหน้าที่ให้เป็นเรือคุ้มกันเร็ว พร้อมกับเปลี่ยนรหัสใหม่เป็น D610 ในปี 1953 เรือได้แล่นเดินทางไปเทียบท่ายังเมือง Toulou ประเทศฝรั่งเศส เพื่อใช้เป็นค่ายทหารลอยน้ำแบบชั่วคราวพร้อมกับได้ทำการเปลี่ยนรหัสเรือเป็น X98 และในที่สุดในวันที่ 2 พฤษภาคม 1957 เรือก็ได้ถูกปลดประจำการจากกองทัพเรือฝรั่งเศส ก่อนที่จะถูกขายให้แก่เอกชนเอาไปทำการแยกชิ้นส่วนในที่สุด
ข้อมูลโดยรวมของเรือ
อาวุธ : ปืนใหญ่หลักขนาด 5.4 นิ้ว ป้อมเดี่ยว จำนวน 5 ป้อม
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 13 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 21.7 นิ้ว 3 ชุด ชุดละ 3 ท่อยิง
: ทุ่นระเบิด 40 ลูก
ความเร็วสูงสุด 45 น็อต
ระวางขับน้ำ 2570 ตัน
ลูกเรือ 220 คน
หลังติดอาวุธ
อาวุธ : ปืนใหญ่หลักขนาด 5.4 นิ้ว ป้อมเดี่ยว จำนวน 5 ป้อม
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 13 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 21.7 นิ้ว 3 ชุด ชุดละ 3 ท่อยิง
: ทุ่นระเบิด 40 ลูก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 40 มิลลิเมตร 4 แท่น แท่นละ 2 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 20 มิลลิเมตร 10 กระบอก
: เรดาร์
: โซน่าร์ปราบเรือดำน้ำ
ความเร็วสูงสุด 37 น็อต
ระวางขับน้ำ 2570 ตัน
ลูกเรือ 220 คน
อ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Le_Fantasque-class_destroyer
https://en.m.wikipedia.org/wiki/French_destroyer_Le_Fantasque
โหวตและถูกใจกระทู้ จขกท. จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท. อย่างดีครับ
กระทู้เก่าๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/34634740
http://ppantip.com/topic/34611236
http://ppantip.com/topic/34593086
http://ppantip.com/topic/34581704
http://ppantip.com/topic/34566259
http://ppantip.com/topic/34560476
http://ppantip.com/topic/34540656
http://ppantip.com/topic/34529115
Le Fantasque เรือพิฆาตที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
Le Fantasque เป็นเรือพิฆาตลำดับที่ 2 ในเรือชั้น Le Fantasque Class โดยเรือชั้นนี้นั้นกองทัพเรือฝรั่งเศสมีแผนที่จะสร้างด้วยกันถึง 6 ลำ ในทศวรรศที่ 1930 คือ Le Malin, Le Fantasque, Le Terrible, Le Audacieux, Le Triomphant, Le Indomptable และหน้าที่ของเรือชั้นนี้ทั้งหมดก็แทบไม่ต่างจากเรือพิฆาตชั้นอื่นๆในกองทัพเรือฝรั่งเศส คือ ปฏิบัติภารกิจคุ้มกัน ปราบเรือดำน้ำ สารพัดภารกิจควบคู่ไปกับเรือประจัญบาน เรือลาดตระเวณและเรือบรรทุกเครื่องบิน และการออกแบบของเรือชั้นนี้เพื่อให้เรือชั้นนี้มีความเหนือและทันสมัยกว่าเรือพิฆาตของกองทัพเรืออิตาลีทุกๆลำในตอนนั้น ไม่ว่าจะอำนาจในการทำลายล้างที่สูง ความเร็วสูงสุด เกราะที่แข็งแกร่ง ด้วยความเร็วที่สูงสุดถึง 45 น็อต ทำให้เรือในชั้นนี้ทุกลำกลายเป็นเรือพิฆาตที่ครองแชมป์เร็วที่สุดตลอดกาลของกองทัพเรือฝรั่งเศสและในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ที่เคยสร้างเรือมาเป็นต้นมา และมีความเหนือกว่าเรือพิฆาตในกองเรือของยุโรปและของกองทัพเรืออิตาลีในเวลานั้น จนกองทัพเรืออิตาลีต้องต่อเรือลาดตระเวณเบาชั้น Capitani Romani class ออกมาตอบโต้เรือในชั้นนี้ทั้งหมด
ทางด้านเรือ Le Fantasque นั้น เรือถูกวางกระดูกงูในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1931 ถูกปล่อยลงน้ำในวันที่ 15 มีนาคม 1934 และได้เข้าระวางประจำการอย่างเป็นทางการในกองทัพฝรั่งเศสในวันที่ 1 พฤษภาคม 1936 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มขึ้นเรือได้รับหน้าที่ให้ทำการบาดตระเวณพร้อมกับกองเรือรบอื่นๆฝรั่งเศสในน่านน้ำของมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อค้นหาและทำลายขบวนกองเรือสินค้าของเยอรมัน ในมหาสมุทรแอตแลนติก ในวันที่ 16 ตุลาคม 1939 เรือสามารถจมเรือและทำการจับกุมลูกเรือของเรือสินค้าลำหนึ่งของเยอรมันชื่อ Halle ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1939 เรือ พร้อมกับเรือพิฆาตชั้นเดียวกันอย่าง Le Terrible และเรือลาดตระเวณหนัก Dupleix ได้รับภารกิจให้ตามล่าเรือลาดตระเวณหนักของกองทัพเรือเยอรมัน Admiral Graf spee ที่กำลังก่อเกรียนทำลายขบวนกองเรือสินค้าของสัมพันธมิตรไปทั่วในเขตมหาสมุทรแอตแลนติก ในระหว่างภารกิจกองเรือของฝรั่งเศสสามารถทำการจับกุมเรือสินค้าของเยอรมันได้ลำหนึ่งชื่อ Santa fe
-เปลี่ยนฝ่าย-
หลังจากที่กองทัพของประเทศฝรั่งเศสได้ยอมแพ้แก่กองทัพของประเทศเยอรมันในวันที่ 25 มิถุนายน 1940 ทำให้เรือพร้อมกับเรือรบลำอื่นๆในกองทัพเรือของฝรั่งเศสได้ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือของรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี่(เป็นรัฐบาลฝรั่งเศสที่ทางประเทศเยอรมันตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นหุ่นเชิดของตน) ในวันที่ 23 กันยายน 1940 เรือพร้อมเรือพิฆาตชั้นเดียวกัน Le Audacieux และเรือพิฆาต Le Malin พร้อมกับกองเรือรบของฝรั่งเศสขนาดที่กำลังจอดอยู่ที่ท่าเรือในเมือง Dakar ประเทศเซเนกัล ก็ได้โดนเครื่องบินและกองทัพเรือของสัมพันธมิตรเข้าทำการโจมตีเพื่อหวังขับไล่กองทัพฝรั่งเศสของรัฐบาลวิชี่ออกไป พร้อมสถาปนารัฐบาลของฝรั่งเศสเสรี(กองทัพฝรั่งเศสที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ประเทศฝรั่งเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับประเทศเยอรมัน) ซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับฝั่งสัมพันธมิตรเข้ามาแทนที่
การโจมตีในครั้งนี้ของกองเรือและเครื่องบินของฝ่ายของสัมพันธมิตรล้มเหลว เรือ Le Fantasque ที่ทำการเปิดม่านควันเพื่ออำพรางตัวให้แก่ตัวเรือเองและกองเรือลำอื่นๆของฝรั่งเศสจากเครื่องบินและกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น แทบไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยจากความพยายามของฝ่ายสัมพันธมิตรครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเรือจะถูกระดมยิงจากกองเรือ และเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างหนักก็ตาม หลังจากยุทธการ Operation Torch ไม่นานซึ่งเป็นความพยายามของฝ่ายสัมพันมิตรที่จะทำการขับไล่กองทัพของรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี่อออกไปจากแอฟริกาเหนือ ในเดือน มีนาคม 1943 เรือ พร้อมกับเรือพิฆาตชั้นเดียวกันอย่าง Le Terrible และกองเรือของรัฐบาลฝรั่งเศสวิชี่ลำอื่นๆ ได้เข้าทำการมอบตัวและเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอีกครั้ง และเรือได้แล่นเดินทางไปทำการซ่อมแซมความเสียหายและติดอาวุธใหม่ที่ท่าเรือในเมือง Boston รัฐแมตซาซูเซต ประเทศสหรัฐ โดยในการติดอาวุธครั้งนี้เรือได้ของเล่นใหม่เป็นไม่ว่าจะเป็นเรดาร์ โซน่าสำหรับค้นหาเรือดำน้ำ พร้อมกับติดตั้งอาวุธต่อต้านอากาศยานขนาด 40 มิลลิเมตรแท่นคู่
แบบ Bofors ปืนต่อต้านอากาศยานแท่นเดียวขนาด 20 มิลลิเมตรแบบ Oreikon และได้รีคลาสใหม่เป็นเรือลาดตระเวณเบา พร้อมกับเรือชั้น Le Fantasque Class ลำอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามการปรับปรุงครั้งนี้ทำให้เรือมีความเร็วสูงสุดลดลงเหลือเพียง 37 น็อต ทำให้เรือได้เสียแชมป์เรือพิฆาต(ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเรือลาดตระเวณเบา)ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากนั้นเรือก็ได้มีส่วนร่วมกับกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรมากมายไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่เมือง Salerno ประเทศอิตาลี การปฏิบัติภารกิจในการสนับสนุนขนส่งหน่วยคอมมานโด 250 นายเข้าไปก่อวินาศกรรมในเขต Ajaccio บนเกาะ Corsia และได้ทำการแอบลักลอบสนับสนุนอาวุธและกระสุนให้แก่กองโจรใต้ดินของฝรั่งเศสบนเกาะ ในตอนกลางคืนของวันที่ 13 กันยายน 1943 ในวันที่ 24 ธันวาคม 1943 เรือได้ทำการสกัดเรือสินค้าของเยอรมันลำหนึ่งชื่อ Nicoline Maersk และบังคับให้เรือสินค้าลำนี้แล่นไปจอดเกยตื้นที่เมือง Tortosa ประเทศสเปน ในเดือน กุมภาพันธ์ 1944 เรือพร้อมกับเรือลาดตระเวณเบาชั้นเดียวกันอย่าง Le Terrible และ Le Malin ได้แล่นเดินทางออกจากเกาะ Ist เพื่อทำภารกิจในการดักรอโจมตีขบวนกองเรือสินค้าของเยอรมันที่กำลังแล่นเดินทางผ่านทะเลแอดเรติก ในคืนวันที่ 18 มีนาคม 1944 เรือและเรือลาดตระเวณเบา Le Terrible ได้ตรวจพบและทำเข้าการเข้าปะทะกับกองขบวนเรือสินค้าของเยอรมันประกอบไปด้วย เรือ Ferrary f124 เรือลากจูง Titanic และเรือยกพลขึ้น Siebel ferrie ของเยอรมันจำนวน 3 ลำ เรือทุกลำในกองขบวนเรือสินค้าของเยอรมันจมหมดจากการโจมตีครั้งนี้ ยกเว้นแต่เรือลากจูง Titanic ที่ได้ทำการหนีเล็ดรอดไปได้
แบบแปลนตัวเรือหลังจากปรับปรุงเสร็จ ในภาพเป็นเรือ Le Terrible เรือรบชั้นเดียวกันที่ได้รับการปรับปรุงและรีคลาสเป็นเรือลาดตระเวณเบาเช่นเดียวกับเรือ Le Fantasque
ในวันที่ 17 มิถุนายน 1944 เรือพร้อมกับเรือลาดตระเวณเบา Le Terrible ได้สามารถทำการจมเรือน้ำมันของอิตาลี(ที่ควบคุมโดยเยอรมัน) MV Giuliana ลงสู่ก้นทะเล และยังได้สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่เรือ R5 และ R14 ที่ได้แล่นเดินทางมาทำหน้าที่คุ้มกันตัวเรือ MV Giuliana ด้วย ในวันที่ 15 สิงหาคม 1944 เรือได้เข้าร่วมกับกองเรือที่ 10 ในการสนับสนุนการยกพลขึ้นบกของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่มณฑล Provence ประเทศฝรั่งเศส
-สุดท้าย-
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลง เรือได้แล่นเดินทางไปปฏิบัติภารกิจยังเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ทำการลาเตระเวณอยู่แถบนั้นจนกระทั่งถึงช่วงทศวรรศที่ 1950 ตัวเรือได้รับหน้าที่ให้เป็นเรือคุ้มกันเร็ว พร้อมกับเปลี่ยนรหัสใหม่เป็น D610 ในปี 1953 เรือได้แล่นเดินทางไปเทียบท่ายังเมือง Toulou ประเทศฝรั่งเศส เพื่อใช้เป็นค่ายทหารลอยน้ำแบบชั่วคราวพร้อมกับได้ทำการเปลี่ยนรหัสเรือเป็น X98 และในที่สุดในวันที่ 2 พฤษภาคม 1957 เรือก็ได้ถูกปลดประจำการจากกองทัพเรือฝรั่งเศส ก่อนที่จะถูกขายให้แก่เอกชนเอาไปทำการแยกชิ้นส่วนในที่สุด
ข้อมูลโดยรวมของเรือ
อาวุธ : ปืนใหญ่หลักขนาด 5.4 นิ้ว ป้อมเดี่ยว จำนวน 5 ป้อม
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 13 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 21.7 นิ้ว 3 ชุด ชุดละ 3 ท่อยิง
: ทุ่นระเบิด 40 ลูก
ความเร็วสูงสุด 45 น็อต
ระวางขับน้ำ 2570 ตัน
ลูกเรือ 220 คน
หลังติดอาวุธ
อาวุธ : ปืนใหญ่หลักขนาด 5.4 นิ้ว ป้อมเดี่ยว จำนวน 5 ป้อม
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 13 มิลลิเมตร 4 กระบอก
: ท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 21.7 นิ้ว 3 ชุด ชุดละ 3 ท่อยิง
: ทุ่นระเบิด 40 ลูก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 40 มิลลิเมตร 4 แท่น แท่นละ 2 กระบอก
: ปืนต่อต้านอากาศยานขนาด 20 มิลลิเมตร 10 กระบอก
: เรดาร์
: โซน่าร์ปราบเรือดำน้ำ
ความเร็วสูงสุด 37 น็อต
ระวางขับน้ำ 2570 ตัน
ลูกเรือ 220 คน
อ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Le_Fantasque-class_destroyer
https://en.m.wikipedia.org/wiki/French_destroyer_Le_Fantasque
โหวตและถูกใจกระทู้ จขกท. จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท. อย่างดีครับ
กระทู้เก่าๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้