Kantai Collection คืออะไร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แบบย่อคือเกมออนไลน์นึงของญี่ปุ่นที่ใช้เรือรบในประวัติศาสตร์มารีโมเดลใหม่ในร่างสาวๆครับ
รายละเอียดเต็มๆ
[AAA] Kantai Collection (Kancolle) คืออะไรหว่า?
[AAA x Kantai Collection x WW2] วันนี้เมื่อ 72 ปีก่อน ~27 ก.พ. 1942 "ยุทธนาวีแห่งทะเลชวา"
เขียนบันทึก by "เรือลาดตระเวณหนัก-นัตจิ"
มหาสงครามแปซิฟิคเริ่มขึ้นเมื่อปลายปีก่อนนับตั้งแต่การเปิดฉากโจมตีที่เพิลฮาเบอร์จนราบคาบของกองเรือบรรทุกเครื่องบิน การโจมตีของจักรพรรดินาวีเป็นไปรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด และเมื่อปราศจากขวากหนามอย่างกองเรือแปซิฟิคของสหรัฐอเมริกา ผนวกกับความร่วมมือของมิตรประเทศอย่างสยามที่ยอมเปิดเส้นทางภาคใต้ให้ นั่นหมายถึงฐานทัพสำคัญที่สุดของอังกฤษอย่างสิงคโปร์จะถูกปิดล้อมจนต้องยอมจำนนในเวลาอันสั้น
ทว่า...เป้าหมายของเรายังมิบรรลุผล เหล็ก โลหะ บอกไซต์ ยางพารา และเหนืออื่นใดนั่นคือบ่อน้ำมันอันอุดมสมบูรณ์ยิ่งบนพื้นที่เกาะสุมาตราและพื้นที่แถบนี้ยังอยู่ในครอบครองของกลุ่มพันธมิตร ABDA 4 ชาติอันได้แก่ America, Britain, Dutch และ Australia ที่ปิดล้อมเราอยู่อย่างเข้มแข็ง
"นามของข้าพเจ้าคือ "นัตจิ" เรือลาดตระเวณหนักแห่งจักรพรรดินาวี ลำดับที่สองของชั้นเมียวโกะ ขอขอบคุณ ppantip.com ที่กรุณาแบ่งปันพื้นที่สักเล็กน้อยให้ข้าพเจ้าได้เอ่ยถึงประวัติที่ครั้งนึงข้าพเจ้าเหล่าสหายและเหล่าคู่ต่อสู้อันทรงเกียรติได้หักหาญปะทะกัน ณ ที่นี้ด้วยความเต็มใจยิ่ง"
/me เรือลาดตระเวณหนักกางแผนที่ลงบนโต๊ะกว้างของผู้การฯ ที่ไม่รู้หายหัวไปหน่อย (ได้ยินเสียงคองโกแว้ดว้ายอยู่แถวๆเกาะพาเลาละมั้ง แต่ช่างมันเถอะ...ยัยไฮเปอร์นั้นไม่มาอะดีแล้ว)
ตำแหน่งดังที่ทุกท่านเห็น บริเวณตอนใต้ของประเทศอินโดนีเซียตามยุคสมัยของทุกท่าน ซึ่งในกาลนั้นพื้นที่นี้จัดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการ "สปริงบอร์ด" ไปยังหมู่เกาะต่างๆอาทิ โซโลมอน และกัวดัลคะแนลเพื่อเป้าหมายสูงสุดสองประการคือ
- ปกป้องพื้นที่แหล่งทรัพยากรสำคัญให้ปลอดภัย
- ตัดขาดทวีปออสเตรเลียออกจากโลกภายนอก
กาลทั้งสองอย่างนั้นจำเป็นต้องทำให้ได้ด้วยความรวดเร็วเพราะประเทศแม่ของข้าพเจ้าอยู่ในสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบอุตสาหกรรมอย่างหนักจากภาวะติดพันกับการรบของทัพบกในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่อุปสรรคสำคัญคือ กองเรือรบผสมสังกัดตะวันออกไกล ภายใต้บัญชาการของแม่ทัพ"คาเรล ดอร์แมน" โดยมีแกนนำคือ
- เรือลาดตระเวณหนักชั้นยอร์ค "Exeter"
- เรือลาดตระเวณหนักชั้นนอร์ธแธมตัน "ฮุสตัน"
- เรือลาดตระเวณเบา "De Ruyter" เป็นเรือธง มาพร้อมกับ "Java" และ "Perth"
- กองเรือพิฆาตอีก 9 ลำอันได้แก่ HMS Electra, HMS Encounter, HMS Jupiter, HNLMS Kortenaer, HNLMS Witte de With, USS Alden, USS John D. Edwards, USS John D. Ford และ USS Paul Jones
โดยรวมข้าศึกมีกองกำลังเรือผิวน้ำที่เข้มแข็งไม่น้อย แต่ความได้เปรียบยังอยู่ที่ฝั่งเราซึ่งรักษาน้ำหนักการบุกได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เพิลฮาเบอร์ ซึ่งบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องอยู่ในสภาวะตั้งรับ แต่การที่ต้องคอยปกป้องเหล่ากองเรือลำเลียงที่อุ้ยอ้ายทำให้ตำแหน่งกองเรือนั้นทำให้ยากต่อการเข้าตีแบบเฉียบพลันอันเป็นภารกิจถนัดของเราอยู่
(หนึ่งในหัวหอกของกองเรือพิฆาตสังกัดเดียวกันกับข้าพเจ้า.... เรือพิฆาตยูดาจิผู้ชาญศึก)
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1942
กองเรือยกพลขึ้นบกอันประกอบด้วยเรือขนส่ง 10 ลำพร้อมทหารราบจำนวนมาก โดยมีข้าพเจ้าเป็นกองเรือคุ้มกัน (Escort Group) โดยสนธิกำลังดังนี้
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะ "นัตจิ"
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะ "ฮากุโระ"
เรือลาดตระเวณเบา "นากะ" และ "จินซุ"
กองเรือพิฆาต 14 ลำ อันได้แก่ Yudachi, Samidare, Murasame, Harusame, Minegumo, Asagumo, Yukikaze, Tokitsukaze, Amatsukaze, Hatsukaze, Yamakaze, Kawakaze, Sazanami และ Ushio ภายใต้สังกัดกองเรือพิฆาตที่ 4
บางทีหากท่านจดจำอัตลักษณ์ของพวกเราไม่ได้ ข้าพเจ้าพอจะช่วยจำแนกให้ท่านนึกถึงได้ง่ายขึ้นเล็กน้อยหากใช้ตัวแทนรูปเยี่ยงนี้
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะลำดับที่ 2 "นัตจิ"
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะลำดับที่ 4 "ฮากุโระ"
กองเรือลาดตระเวณเบา
(กองเรือพิฆาต)
เวลา 12:00
หากเปรียบเทียบกันแล้วกองกำลังของเรามีปริมาณเรือพิฆาตที่มากกว่า และอำนาจการยิงสูงกว่ามากด้วยปืนหลักขนาด 203 มิลิเมตรของเรือชั้นลาดตระเวณชั้นเมียวโกะที่มีถึง 10 กระบอกต่อลำ แต่การรบไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนนักโดยเฉพาะยามที่เรายังต้องกังวลถึงการโจมตีทางอากาศจากฐานบินบนบกหลายแห่งที่ยังไม่อาจยืนยันแน่ชัดถึงกำลังรบได้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้แน่นอนคือกองเรือสัมพันธมิตรกำลังถือเข็มมาหาเราด้วยความเร็วสูงสุด และข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ข้าศึกบรรลุผลความตั้งใจ
(ฝูงบินโจมตีตรวจพบเป้าหมายกองเรือสัมพันธมิตร)
เวลา 16:00
กองเรือทั้งสองฝ่ายพบกันด้วยสายตา เรือลาดตระเวณหนักของทั้งสองฝ่ายที่มี 2 ลำเท่ากันทั้งคู่แยกขบวนออกเป็นสองแถวและพยายามเข้า Cross the T เข้าหากันตั้งแต่ก่อนเข้าระยะยิงไกลสุด เวลา 16:16 ราว 10 นาทีกว่าการจัดขบวนของทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น กระสุนปืนตับแรกของพวกเราลั่นใส่กันเริ่มจากเรือใหญ่ จนไปถึงเรือพิฆาตที่วนไล่เข้าใส่เป็นวงกลม โชคดีที่มีเพียงเรือลาดตระเวณหนักเอ็กเซ็ตเตอร์ของข้าศึกที่ควบคุมการยิงด้วยเรดาห์ แต่ภายใต้การกดดันอย่างต่อเนื่อง กลุ่มกระสุนของข้าศึกนั้นตกสะเปะสะปะไปไกลอยู่พักใหญ่ แม้ข้าศึกจะระดมยิงตอร์ปิโดเป็นชุดๆ แต่ก็ไม่ยากเย็นเกินความสามารถของกองเรือเราที่จะหลบหลีกเท่าใดนักจากระยะที่ไกลมากเช่นนี้
(การ Cross The T ของเรือรบ ฝ่ายที่หันข้างให้จะใช้ปืนเรือตนเองได้ "เต็มกราบ")
ในสายตาแล้ว การต่อสู้จังหวะแรกนั้นดูจะเกรงๆกันทั้งสองฝ่าย ที่ไม่มีเรือพิฆาตฝ่ายใครเข้ารบประชิดติดพันตูแต่อาศัยอำนาจการยิงระยะไกลมากของเรือลาดตระเวณหนักในการยิงสกัดกั้นแต่ละฝ่ายกันเหมือนเป็นร่มกระสุนประการฉะนั้นทีเดียว ซึ่งนับว่าน่าอับอายยิ่งสำหรับผู้ใช้ชื่อจักรพรรดินาวีอันเกรียงไกร และอวดอ้างว่าฝึกฝนมาดีที่สุดในโลก เพราะแม้ว่าเราจะหลบหลีกกระสุนและตอร์ปิโดต่างฝ่ายต่างได้อย่างหมดจด แต่กลุ่มกระสุนหลายสิบชุดแรกของฝ่ายเราก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย
เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มทีเดียวกว่าการรบจะเริ่มเข้าขั้นพลิกผัน จากที่ยิงโต้กันไปมา เรือลาดตระเวณหนักฮุสตันสามารถยิงผ่าห้วงควบใส่ข้าพเจ้าและฮากุโระได้สำเร็จ อันหมายถึงข้าศึกจับพวกเราทั้งคู่เข้าศูนย์ปืนสังหารทันทีแล้ว และนั่นเริ่มทำให้รูปขบวนการต่อสู้เปลี่ยนไปทันที
ปืนใหญ่ขนาด 8 นิ้วหรือ 203 มม. ของเรือชั้นเมียวโกะและฮุสตันที่เป็นอาวุธหลักเรือชั้นลาดตระเวณหนักอย่างพวกเรานั้น ข้าพเจ้ารู้พิษสงของมันดี กระสุนเจาะเกราะของพวกมันสามารถทะลวงผ่านเกราะเหล็กกล้าหนาเป็นนิ้วๆได้ง่ายเหมือนฉีกกระดาษ เรือพิฆาตขนาด 2 พันตันสามารถเป็นเศษเหล็กได้ด้วยกระสุนแค่นัดเดียว แม้แต่จะเป็นเรือลาดตระเวณหุ้มเกราะหนักเบาขนาดหมื่นตันขึ้นไปก็ต้องคิดให้จงหนัก ต่อให้ระดับเรือประจัญบานก็เถอะคงไม่มีใครคิดจะยืนทนทานรับกระสุนนี่ได้นานนัก
เมื่อถูกระดมยิงผ่าห้วงควบ (ตกหน้า 1ชุด-ตกหลัง 1 ชุด- ชุดถัดไปลงกลางเป้า) จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะลังเลรับกระสุนอีกต่อไป แทนที่จะโดนโจมตีฝ่ายเดียวสู้ข้าพเจ้าเสี่ยงลากฝ่ายตรงข้ามเข้าเจ็บตัวด้วยจะเป็นการดีกว่านักหนา ซึ่ด้วยความเร็วสูงสุดเกือบ 36 น็อตที่จักรพรรดินาวีภาคภูมิใจ แม้แต่เรือพิฆาตหลายลำยังต้องอาย ทั้งข้าพเจ้าและฮากุโระฝ่าเข้าไปยังกองเรือฝ่ายตรงข้ามและเริ่มใช้ปืนกราบรอบตัวยิงโจมตีทุกเป้าหมายเป็นการเบิกทาง พร้อมทั้งให้สัญญาณไฟแก่กองเรือพิฆาตทั้ง 14 ลำไล่ติดตามเข้าโจมตี
การบุกโจมตีซึ่งหน้านั้นมีหลายจังหวะที่ข้าพเจ้าต้องยอมโดนฝ่ายตรงข้ามทำตัว T ใส่ ซึ่งเสียเปรียบในอำนาจการยิงจำนวนไม่น้อยด้านท้ายเรือ แต่ด้วยความเร็วและการหนุนเนื่องดั่งน้ำป่าของกองเรือพิฆาตที่ 4 ที่นำปืนใหญ่ประจำเรือของตนรวมกว่า 70 กระบอกสาดกระสุนเข้าผลักดันช่วยป้องกันเราทั้งสองคนจากการถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโดในระยะประชิดได้
และไม่นานความพยายามของเราก็สมประสงค์ เรือลาดตระเวณหนักเอ็กเซตเตอร์ถูกกระสุนปืนหลักขนาด 203 มม. เข้าอย่างจังจนได้บริเวณกลางลำเรือ ห้องหม้อน้ำหลักอันเป็นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์ จนบังคับให้เรือลาดตระเวณหนักดังกล่าวต้องฉีกขบวนออกลงใต้ถอยกลับไปถึงสุราบายาทีเดียว โดยมีเรือพิฆาต Witte de With คุ้มกัน
แต่เมื่อเรือลาดตระเวณหนักดังกล่าวถอนตัวไป อำนาจการยิงฝ่ายตรงข้ามที่เป็นรองเราอยู่แล้วยิ่งมีช่องว่างหนักขึ้นอีก กองเรือพิฆาตที่ 4 ดาหน้าสาดตอร์ปิโดเข้าใส่ 2 ระลอกรวมกันถึง 92 ลูกจากระยะไกลมากน่าเสียดายที่เข้าเป้าเพียง 1 นัดเท่านั้นที่เรือพิฆาต Kortenaer แต่ด้วยอำนาจการยิงของตอร์ปิโดออกซิเจนที่จัดว่าร้ายแรงที่สุดอันนึงในมหาสงครามครั้งนี้ เรือโชคร้ายดังกล่าวขาดเป็นสองท่อนและจมลงทันที
(เรือพิฆาต Kortenaer)
End of Part1:
[AAA x Kantai Collection x WW2] วันนี้เมื่อ 72 ปีก่อน ~27 ก.พ. 1942 "ยุทธนาวีแห่งทะเลชวา"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มหาสงครามแปซิฟิคเริ่มขึ้นเมื่อปลายปีก่อนนับตั้งแต่การเปิดฉากโจมตีที่เพิลฮาเบอร์จนราบคาบของกองเรือบรรทุกเครื่องบิน การโจมตีของจักรพรรดินาวีเป็นไปรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด และเมื่อปราศจากขวากหนามอย่างกองเรือแปซิฟิคของสหรัฐอเมริกา ผนวกกับความร่วมมือของมิตรประเทศอย่างสยามที่ยอมเปิดเส้นทางภาคใต้ให้ นั่นหมายถึงฐานทัพสำคัญที่สุดของอังกฤษอย่างสิงคโปร์จะถูกปิดล้อมจนต้องยอมจำนนในเวลาอันสั้น
ทว่า...เป้าหมายของเรายังมิบรรลุผล เหล็ก โลหะ บอกไซต์ ยางพารา และเหนืออื่นใดนั่นคือบ่อน้ำมันอันอุดมสมบูรณ์ยิ่งบนพื้นที่เกาะสุมาตราและพื้นที่แถบนี้ยังอยู่ในครอบครองของกลุ่มพันธมิตร ABDA 4 ชาติอันได้แก่ America, Britain, Dutch และ Australia ที่ปิดล้อมเราอยู่อย่างเข้มแข็ง
/me เรือลาดตระเวณหนักกางแผนที่ลงบนโต๊ะกว้างของผู้การฯ ที่ไม่รู้หายหัวไปหน่อย (ได้ยินเสียงคองโกแว้ดว้ายอยู่แถวๆเกาะพาเลาละมั้ง แต่ช่างมันเถอะ...ยัยไฮเปอร์นั้นไม่มาอะดีแล้ว)
ตำแหน่งดังที่ทุกท่านเห็น บริเวณตอนใต้ของประเทศอินโดนีเซียตามยุคสมัยของทุกท่าน ซึ่งในกาลนั้นพื้นที่นี้จัดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการ "สปริงบอร์ด" ไปยังหมู่เกาะต่างๆอาทิ โซโลมอน และกัวดัลคะแนลเพื่อเป้าหมายสูงสุดสองประการคือ
- ปกป้องพื้นที่แหล่งทรัพยากรสำคัญให้ปลอดภัย
- ตัดขาดทวีปออสเตรเลียออกจากโลกภายนอก
กาลทั้งสองอย่างนั้นจำเป็นต้องทำให้ได้ด้วยความรวดเร็วเพราะประเทศแม่ของข้าพเจ้าอยู่ในสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบอุตสาหกรรมอย่างหนักจากภาวะติดพันกับการรบของทัพบกในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่อุปสรรคสำคัญคือ กองเรือรบผสมสังกัดตะวันออกไกล ภายใต้บัญชาการของแม่ทัพ"คาเรล ดอร์แมน" โดยมีแกนนำคือ
- เรือลาดตระเวณหนักชั้นยอร์ค "Exeter"
- เรือลาดตระเวณหนักชั้นนอร์ธแธมตัน "ฮุสตัน"
- เรือลาดตระเวณเบา "De Ruyter" เป็นเรือธง มาพร้อมกับ "Java" และ "Perth"
- กองเรือพิฆาตอีก 9 ลำอันได้แก่ HMS Electra, HMS Encounter, HMS Jupiter, HNLMS Kortenaer, HNLMS Witte de With, USS Alden, USS John D. Edwards, USS John D. Ford และ USS Paul Jones
โดยรวมข้าศึกมีกองกำลังเรือผิวน้ำที่เข้มแข็งไม่น้อย แต่ความได้เปรียบยังอยู่ที่ฝั่งเราซึ่งรักษาน้ำหนักการบุกได้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เพิลฮาเบอร์ ซึ่งบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องอยู่ในสภาวะตั้งรับ แต่การที่ต้องคอยปกป้องเหล่ากองเรือลำเลียงที่อุ้ยอ้ายทำให้ตำแหน่งกองเรือนั้นทำให้ยากต่อการเข้าตีแบบเฉียบพลันอันเป็นภารกิจถนัดของเราอยู่
กองเรือยกพลขึ้นบกอันประกอบด้วยเรือขนส่ง 10 ลำพร้อมทหารราบจำนวนมาก โดยมีข้าพเจ้าเป็นกองเรือคุ้มกัน (Escort Group) โดยสนธิกำลังดังนี้
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะ "นัตจิ"
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะ "ฮากุโระ"
เรือลาดตระเวณเบา "นากะ" และ "จินซุ"
กองเรือพิฆาต 14 ลำ อันได้แก่ Yudachi, Samidare, Murasame, Harusame, Minegumo, Asagumo, Yukikaze, Tokitsukaze, Amatsukaze, Hatsukaze, Yamakaze, Kawakaze, Sazanami และ Ushio ภายใต้สังกัดกองเรือพิฆาตที่ 4
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะลำดับที่ 2 "นัตจิ"
เรือลาดตระเวณหนักชั้นเมียวโกะลำดับที่ 4 "ฮากุโระ"
กองเรือลาดตระเวณเบา
(กองเรือพิฆาต)
เวลา 12:00
หากเปรียบเทียบกันแล้วกองกำลังของเรามีปริมาณเรือพิฆาตที่มากกว่า และอำนาจการยิงสูงกว่ามากด้วยปืนหลักขนาด 203 มิลิเมตรของเรือชั้นลาดตระเวณชั้นเมียวโกะที่มีถึง 10 กระบอกต่อลำ แต่การรบไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนนักโดยเฉพาะยามที่เรายังต้องกังวลถึงการโจมตีทางอากาศจากฐานบินบนบกหลายแห่งที่ยังไม่อาจยืนยันแน่ชัดถึงกำลังรบได้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้แน่นอนคือกองเรือสัมพันธมิตรกำลังถือเข็มมาหาเราด้วยความเร็วสูงสุด และข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ข้าศึกบรรลุผลความตั้งใจ
(ฝูงบินโจมตีตรวจพบเป้าหมายกองเรือสัมพันธมิตร)
เวลา 16:00
กองเรือทั้งสองฝ่ายพบกันด้วยสายตา เรือลาดตระเวณหนักของทั้งสองฝ่ายที่มี 2 ลำเท่ากันทั้งคู่แยกขบวนออกเป็นสองแถวและพยายามเข้า Cross the T เข้าหากันตั้งแต่ก่อนเข้าระยะยิงไกลสุด เวลา 16:16 ราว 10 นาทีกว่าการจัดขบวนของทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น กระสุนปืนตับแรกของพวกเราลั่นใส่กันเริ่มจากเรือใหญ่ จนไปถึงเรือพิฆาตที่วนไล่เข้าใส่เป็นวงกลม โชคดีที่มีเพียงเรือลาดตระเวณหนักเอ็กเซ็ตเตอร์ของข้าศึกที่ควบคุมการยิงด้วยเรดาห์ แต่ภายใต้การกดดันอย่างต่อเนื่อง กลุ่มกระสุนของข้าศึกนั้นตกสะเปะสะปะไปไกลอยู่พักใหญ่ แม้ข้าศึกจะระดมยิงตอร์ปิโดเป็นชุดๆ แต่ก็ไม่ยากเย็นเกินความสามารถของกองเรือเราที่จะหลบหลีกเท่าใดนักจากระยะที่ไกลมากเช่นนี้
(การ Cross The T ของเรือรบ ฝ่ายที่หันข้างให้จะใช้ปืนเรือตนเองได้ "เต็มกราบ")
ในสายตาแล้ว การต่อสู้จังหวะแรกนั้นดูจะเกรงๆกันทั้งสองฝ่าย ที่ไม่มีเรือพิฆาตฝ่ายใครเข้ารบประชิดติดพันตูแต่อาศัยอำนาจการยิงระยะไกลมากของเรือลาดตระเวณหนักในการยิงสกัดกั้นแต่ละฝ่ายกันเหมือนเป็นร่มกระสุนประการฉะนั้นทีเดียว ซึ่งนับว่าน่าอับอายยิ่งสำหรับผู้ใช้ชื่อจักรพรรดินาวีอันเกรียงไกร และอวดอ้างว่าฝึกฝนมาดีที่สุดในโลก เพราะแม้ว่าเราจะหลบหลีกกระสุนและตอร์ปิโดต่างฝ่ายต่างได้อย่างหมดจด แต่กลุ่มกระสุนหลายสิบชุดแรกของฝ่ายเราก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย
เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มทีเดียวกว่าการรบจะเริ่มเข้าขั้นพลิกผัน จากที่ยิงโต้กันไปมา เรือลาดตระเวณหนักฮุสตันสามารถยิงผ่าห้วงควบใส่ข้าพเจ้าและฮากุโระได้สำเร็จ อันหมายถึงข้าศึกจับพวกเราทั้งคู่เข้าศูนย์ปืนสังหารทันทีแล้ว และนั่นเริ่มทำให้รูปขบวนการต่อสู้เปลี่ยนไปทันที
ปืนใหญ่ขนาด 8 นิ้วหรือ 203 มม. ของเรือชั้นเมียวโกะและฮุสตันที่เป็นอาวุธหลักเรือชั้นลาดตระเวณหนักอย่างพวกเรานั้น ข้าพเจ้ารู้พิษสงของมันดี กระสุนเจาะเกราะของพวกมันสามารถทะลวงผ่านเกราะเหล็กกล้าหนาเป็นนิ้วๆได้ง่ายเหมือนฉีกกระดาษ เรือพิฆาตขนาด 2 พันตันสามารถเป็นเศษเหล็กได้ด้วยกระสุนแค่นัดเดียว แม้แต่จะเป็นเรือลาดตระเวณหุ้มเกราะหนักเบาขนาดหมื่นตันขึ้นไปก็ต้องคิดให้จงหนัก ต่อให้ระดับเรือประจัญบานก็เถอะคงไม่มีใครคิดจะยืนทนทานรับกระสุนนี่ได้นานนัก
เมื่อถูกระดมยิงผ่าห้วงควบ (ตกหน้า 1ชุด-ตกหลัง 1 ชุด- ชุดถัดไปลงกลางเป้า) จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะลังเลรับกระสุนอีกต่อไป แทนที่จะโดนโจมตีฝ่ายเดียวสู้ข้าพเจ้าเสี่ยงลากฝ่ายตรงข้ามเข้าเจ็บตัวด้วยจะเป็นการดีกว่านักหนา ซึ่ด้วยความเร็วสูงสุดเกือบ 36 น็อตที่จักรพรรดินาวีภาคภูมิใจ แม้แต่เรือพิฆาตหลายลำยังต้องอาย ทั้งข้าพเจ้าและฮากุโระฝ่าเข้าไปยังกองเรือฝ่ายตรงข้ามและเริ่มใช้ปืนกราบรอบตัวยิงโจมตีทุกเป้าหมายเป็นการเบิกทาง พร้อมทั้งให้สัญญาณไฟแก่กองเรือพิฆาตทั้ง 14 ลำไล่ติดตามเข้าโจมตี
การบุกโจมตีซึ่งหน้านั้นมีหลายจังหวะที่ข้าพเจ้าต้องยอมโดนฝ่ายตรงข้ามทำตัว T ใส่ ซึ่งเสียเปรียบในอำนาจการยิงจำนวนไม่น้อยด้านท้ายเรือ แต่ด้วยความเร็วและการหนุนเนื่องดั่งน้ำป่าของกองเรือพิฆาตที่ 4 ที่นำปืนใหญ่ประจำเรือของตนรวมกว่า 70 กระบอกสาดกระสุนเข้าผลักดันช่วยป้องกันเราทั้งสองคนจากการถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโดในระยะประชิดได้
และไม่นานความพยายามของเราก็สมประสงค์ เรือลาดตระเวณหนักเอ็กเซตเตอร์ถูกกระสุนปืนหลักขนาด 203 มม. เข้าอย่างจังจนได้บริเวณกลางลำเรือ ห้องหม้อน้ำหลักอันเป็นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์ จนบังคับให้เรือลาดตระเวณหนักดังกล่าวต้องฉีกขบวนออกลงใต้ถอยกลับไปถึงสุราบายาทีเดียว โดยมีเรือพิฆาต Witte de With คุ้มกัน
แต่เมื่อเรือลาดตระเวณหนักดังกล่าวถอนตัวไป อำนาจการยิงฝ่ายตรงข้ามที่เป็นรองเราอยู่แล้วยิ่งมีช่องว่างหนักขึ้นอีก กองเรือพิฆาตที่ 4 ดาหน้าสาดตอร์ปิโดเข้าใส่ 2 ระลอกรวมกันถึง 92 ลูกจากระยะไกลมากน่าเสียดายที่เข้าเป้าเพียง 1 นัดเท่านั้นที่เรือพิฆาต Kortenaer แต่ด้วยอำนาจการยิงของตอร์ปิโดออกซิเจนที่จัดว่าร้ายแรงที่สุดอันนึงในมหาสงครามครั้งนี้ เรือโชคร้ายดังกล่าวขาดเป็นสองท่อนและจมลงทันที
(เรือพิฆาต Kortenaer)
End of Part1: