ทำความรู้จักกับ Baby Sensory กันเถอะะะ
Baby Sensory เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ.2006 โดย ดร.ลิน เดย์ ผู้ค้นคว้าการกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก ผู้คิดค้นกิจกรรมหลากหลายมากกว่า 100 กิจกรรมและดนตรีสำหรับเด็กที่ผ่านการทดลองแล้วว่าสามารถกระตุ้นการพัฒนาการของเด็กได้ดี ทั้งด้านร่างกาย สมอง และอารมณ์ จากความสำเร็จของ Baby Sensory ในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเรามี franchise ทั่วประเทศอังกฤษกว่า 100 แห่ง และขยายเครือข่ายออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั้งในแถบยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหลายประเทศในเอเชีย
ทางสถาบันแบ่งการสอนออกเป็น 2 ช่วงอายุ
- ช่วงแรก Baby (0-12 เดือน)
ในช่วงขวบปีแรก เป็นช่วงนาทีทองของพ่อแม่มักพลาดโอกาสในการทำกิจกรรมกับลูกน้อย เด็กในวัยนี้ยีงตอบสนองอะไรได้ไม่มากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าสมองจะชะลอการเจริญเติบโตไปด้วย ตรงกันข้ามช่วงอายุ 0-1 ปีเป็นช่วงที่สมองมีการพัฒนาและเจริญเติบโตเร็วมากที่สุดในชีวิต หลักสูตรนี้จึงถูกศึกษาและวิจัยว่าสามารถกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของเด็กได้เป็นอย่างดี รวมทั้งพัฒนาการด้านภาษา สัมคม อารมณ์ และร่างกายอีกด้วย โดยผ่านกิจกรรมที่เน้นด้านประสาทสัมผัสในส่วนต่างๆ ทั้งการฟัง การดู การสัมผัส การดม และการชิมรส นอกจากนี้เรายังเป็นสถาบันเดียวที่มีการสอนแบบ Baby Signing Language เพื่อนให้ลูกน้อยใช้ภาษาการสื่อสารกับพ่อแม่แทนคำพูดได้
*** Baby Signing Language คืออะไร ?
1. เริ่มแรกเลย ให้ทำความเข้าใจกับ Baby Sign กันก่อนค่ะ ควรศึกษาเพื่อให้เข้าใจว่า Baby Sign คืออะไร ใช้เพื่ออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เรามีกำลังใจและแรงจูงใจในการสอนลูกๆ ค่ะ รวมถึงวิธีการที่จะใช้ในการสอน ที่สำคัญเตรียมกำลังใจให้พร้อม ที่จะอดทนค่ะ
2. จากนั้นก็มาเริ่มเรียนรู้ท่า sign พื้นฐาน ก่อนที่จะนำมาใช้สอนลูกๆ เริ่มต้นจาก sign ที่ใช้กันบ่อยๆ ประมาณ 3-5 sign ก่อนค่ะ เช่น mommy, daddy, milk, more, eat ประมาณนี้ แล้วนำ sign เหล่านั้นมาใช้สอนลูก ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ทำท่า sign พร้อมกับพูดคำๆ นั้น ทุกครั้ง เช่น ก่อนจะเอานมให้ลูกกิน ก็พูดกับลูกว่า กินนมนะลูก พร้อมกับ sign ท่า “milk” ใครจะใช้ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษก็แล้วแต่ตามถนัดค่ะ
3. ทำให้การเรียนรู้เรื่อง baby sign เป็นเรื่องสนุกค่ะ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญเลยนะคะ เพราะ เมื่อเด็กรู้สึกสนุก จะทำให้เกิดการเรียนรู้ และจดจำได้อย่างรวดเร็ว อาจจะร้องเพลงที่ลูกชอบ พร้อมกับใส่ท่า sign ประกอบลงไปในเพลงด้วย หรืออาจจะนำท่า sign มาเล่นเป็นเกมส์ถามตอบก็ได้
4. ทำซ้ำ ทำซ้ำ และทำซ้ำค่ะ เช่น sign คำว่า “eat” ทำ sign eat พร้อมๆ กับพูดคำว่า “eat หรือ กิน” ก่อนที่จะป้อนอาหารให้ลูก ขณะที่ลูกกำลังกิน ก็ทำแบบเดิมอีก เป็นการทำซ้ำค่ะ ทำแบบนี้ทุกครั้งและทุกวันที่ได้เจอกับเหตุการณ์ตาม sign ที่เราจะสอนลูกค่ะ …เหมือนเป็นการย้ำคิดย้ำทำน่ะค่ะ
5. ให้กำลังใจและชมเชย เมื่อลูกๆ เริ่ม sign โต้ตอบ เพื่อที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเค้าอยากที่จะเรียนรู้ และอยากที่จะ sign โต้ตอบมากขึ้นค่ะ ขอบอกนิดนึงค่ะว่า ครั้งแรกที่พวกเค้า sign โต้ตอบ อาจจะไม่เหมือนกับที่เรา sign ให้เค้าดูเป๊ะๆ นะคะ เพราะกล้ามเนื้อเค้ายังไม่แข็งแรง อาจจะทำได้คล้ายๆ เท่านั้นค่ะ
6. ค้นหา sign ท่าใหม่ๆ เพื่อนำมาสอนลูกอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ซึ่งสามารถหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับ baby sign dictionary หรือ ASL – American Sign Language ( ในส่วนนี้ แนนได้รวบรวมเว็บไซต์เอาไว้ ซึ่งสามารถติดตามได้ในเนื้อหาต่อไปค่ะ ) วิธีการเพิ่มคำศัพท์ และ sign ของแนน ให้กับน้องเจติน ก็จะใช้หนังสือภาพ เช่น ภาพสัตว์ หรือสิ่งของ เปิดให้น้องดู แล้วทำท่าให้ดูไปเรื่อยๆ ค่ะ ช่วงแรกๆ ขอบอกเลยว่า รู้สึกเขินมากค่ะ มาทำท่าอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียว ลูกก็นั่งนิ่ง ไม่ไหวติง จะเข้าใจรึเปล่าก็ไม่รู้ …แต่ก็อดทนทำต่อไปค่ะ
Cr.jaytinbabysign.wordpress.com
- ช่วงที่สอง Toddler (อายุ 1-4 ขวบ)
เด็กอายุ 1-4 ปี อยู่ในวัยเตรียมความพร้อม เป็นวัยที่อยากเรียนรู้ทุกอย่างในโลกกว้าง การสร้างประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ให้เด็กในวัยนี้ได้มีโอกาสลองทำ ลองเรียนรู้ ลองคิด ลองตัดสินใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสมองของเด็กจะได้รับการกระตุ้นให้รู้จักคิดสร้างสรรค์ คิดต่อยอด คิดแก้ปัญหา คิดหาเหตุผล และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านกิจกรรมและเหตุการณ์จำลองต่างๆ กว่า 100 เหตุการณ์ อีกทั้งยังส่งผลเชื่อมโยงไปถึงพัฒนาการทางด้านสังคม อารมณ์และร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบ
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
สาขาใหญ่ เกษตร-นวมินทร์
https://www.facebook.com/babysensorythailand
สาขาบางนา พาราไดซ์พาร์ค
https://www.facebook.com/babysensoryparadisepark
โทร : 02-7460396,062-6015544
Line ID : @bbs_paradisepark
สถาบันเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก Baby Sensory
Baby Sensory เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ.2006 โดย ดร.ลิน เดย์ ผู้ค้นคว้าการกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก ผู้คิดค้นกิจกรรมหลากหลายมากกว่า 100 กิจกรรมและดนตรีสำหรับเด็กที่ผ่านการทดลองแล้วว่าสามารถกระตุ้นการพัฒนาการของเด็กได้ดี ทั้งด้านร่างกาย สมอง และอารมณ์ จากความสำเร็จของ Baby Sensory ในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันเรามี franchise ทั่วประเทศอังกฤษกว่า 100 แห่ง และขยายเครือข่ายออกไปยังประเทศอื่นๆ ทั้งในแถบยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหลายประเทศในเอเชีย
ทางสถาบันแบ่งการสอนออกเป็น 2 ช่วงอายุ
- ช่วงแรก Baby (0-12 เดือน)
ในช่วงขวบปีแรก เป็นช่วงนาทีทองของพ่อแม่มักพลาดโอกาสในการทำกิจกรรมกับลูกน้อย เด็กในวัยนี้ยีงตอบสนองอะไรได้ไม่มากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าสมองจะชะลอการเจริญเติบโตไปด้วย ตรงกันข้ามช่วงอายุ 0-1 ปีเป็นช่วงที่สมองมีการพัฒนาและเจริญเติบโตเร็วมากที่สุดในชีวิต หลักสูตรนี้จึงถูกศึกษาและวิจัยว่าสามารถกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของเด็กได้เป็นอย่างดี รวมทั้งพัฒนาการด้านภาษา สัมคม อารมณ์ และร่างกายอีกด้วย โดยผ่านกิจกรรมที่เน้นด้านประสาทสัมผัสในส่วนต่างๆ ทั้งการฟัง การดู การสัมผัส การดม และการชิมรส นอกจากนี้เรายังเป็นสถาบันเดียวที่มีการสอนแบบ Baby Signing Language เพื่อนให้ลูกน้อยใช้ภาษาการสื่อสารกับพ่อแม่แทนคำพูดได้
*** Baby Signing Language คืออะไร ?
1. เริ่มแรกเลย ให้ทำความเข้าใจกับ Baby Sign กันก่อนค่ะ ควรศึกษาเพื่อให้เข้าใจว่า Baby Sign คืออะไร ใช้เพื่ออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เรามีกำลังใจและแรงจูงใจในการสอนลูกๆ ค่ะ รวมถึงวิธีการที่จะใช้ในการสอน ที่สำคัญเตรียมกำลังใจให้พร้อม ที่จะอดทนค่ะ
2. จากนั้นก็มาเริ่มเรียนรู้ท่า sign พื้นฐาน ก่อนที่จะนำมาใช้สอนลูกๆ เริ่มต้นจาก sign ที่ใช้กันบ่อยๆ ประมาณ 3-5 sign ก่อนค่ะ เช่น mommy, daddy, milk, more, eat ประมาณนี้ แล้วนำ sign เหล่านั้นมาใช้สอนลูก ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ทำท่า sign พร้อมกับพูดคำๆ นั้น ทุกครั้ง เช่น ก่อนจะเอานมให้ลูกกิน ก็พูดกับลูกว่า กินนมนะลูก พร้อมกับ sign ท่า “milk” ใครจะใช้ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษก็แล้วแต่ตามถนัดค่ะ
3. ทำให้การเรียนรู้เรื่อง baby sign เป็นเรื่องสนุกค่ะ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญเลยนะคะ เพราะ เมื่อเด็กรู้สึกสนุก จะทำให้เกิดการเรียนรู้ และจดจำได้อย่างรวดเร็ว อาจจะร้องเพลงที่ลูกชอบ พร้อมกับใส่ท่า sign ประกอบลงไปในเพลงด้วย หรืออาจจะนำท่า sign มาเล่นเป็นเกมส์ถามตอบก็ได้
4. ทำซ้ำ ทำซ้ำ และทำซ้ำค่ะ เช่น sign คำว่า “eat” ทำ sign eat พร้อมๆ กับพูดคำว่า “eat หรือ กิน” ก่อนที่จะป้อนอาหารให้ลูก ขณะที่ลูกกำลังกิน ก็ทำแบบเดิมอีก เป็นการทำซ้ำค่ะ ทำแบบนี้ทุกครั้งและทุกวันที่ได้เจอกับเหตุการณ์ตาม sign ที่เราจะสอนลูกค่ะ …เหมือนเป็นการย้ำคิดย้ำทำน่ะค่ะ
5. ให้กำลังใจและชมเชย เมื่อลูกๆ เริ่ม sign โต้ตอบ เพื่อที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเค้าอยากที่จะเรียนรู้ และอยากที่จะ sign โต้ตอบมากขึ้นค่ะ ขอบอกนิดนึงค่ะว่า ครั้งแรกที่พวกเค้า sign โต้ตอบ อาจจะไม่เหมือนกับที่เรา sign ให้เค้าดูเป๊ะๆ นะคะ เพราะกล้ามเนื้อเค้ายังไม่แข็งแรง อาจจะทำได้คล้ายๆ เท่านั้นค่ะ
6. ค้นหา sign ท่าใหม่ๆ เพื่อนำมาสอนลูกอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ซึ่งสามารถหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับ baby sign dictionary หรือ ASL – American Sign Language ( ในส่วนนี้ แนนได้รวบรวมเว็บไซต์เอาไว้ ซึ่งสามารถติดตามได้ในเนื้อหาต่อไปค่ะ ) วิธีการเพิ่มคำศัพท์ และ sign ของแนน ให้กับน้องเจติน ก็จะใช้หนังสือภาพ เช่น ภาพสัตว์ หรือสิ่งของ เปิดให้น้องดู แล้วทำท่าให้ดูไปเรื่อยๆ ค่ะ ช่วงแรกๆ ขอบอกเลยว่า รู้สึกเขินมากค่ะ มาทำท่าอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียว ลูกก็นั่งนิ่ง ไม่ไหวติง จะเข้าใจรึเปล่าก็ไม่รู้ …แต่ก็อดทนทำต่อไปค่ะ
Cr.jaytinbabysign.wordpress.com
- ช่วงที่สอง Toddler (อายุ 1-4 ขวบ)
เด็กอายุ 1-4 ปี อยู่ในวัยเตรียมความพร้อม เป็นวัยที่อยากเรียนรู้ทุกอย่างในโลกกว้าง การสร้างประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ให้เด็กในวัยนี้ได้มีโอกาสลองทำ ลองเรียนรู้ ลองคิด ลองตัดสินใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสมองของเด็กจะได้รับการกระตุ้นให้รู้จักคิดสร้างสรรค์ คิดต่อยอด คิดแก้ปัญหา คิดหาเหตุผล และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านกิจกรรมและเหตุการณ์จำลองต่างๆ กว่า 100 เหตุการณ์ อีกทั้งยังส่งผลเชื่อมโยงไปถึงพัฒนาการทางด้านสังคม อารมณ์และร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบ
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
สาขาใหญ่ เกษตร-นวมินทร์ https://www.facebook.com/babysensorythailand
สาขาบางนา พาราไดซ์พาร์ค https://www.facebook.com/babysensoryparadisepark
โทร : 02-7460396,062-6015544
Line ID : @bbs_paradisepark