ชีวิต คนบ้า ณ บ้านนอก แล้วมุมมองคุณจะเปลี่ยนไป

เรื่องที่เขียนขึ้นต่อไปนี้ ไม่อยากให้มองว่าประจานตนเองและครอบครัว แต่มีเจตนาอยากให้มองว่า ยังมีอีกมุมของชีวิตที่หลายคนไม่เคยรู้ ไม่เคยได้สัมผัส และไม่เคยเข้าใจ และไม่อยากให้มองว่าเป็นคำสอน แต่อยากให้มองว่าเป็นเครื่องเตือนสติตอนที่เราลืมนึกคิดไป

ครอบครัวใหญ่
          ปี 2535 ฉันอายุ4ขวบ ยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ติดต่อกันทางจดหมาย ส่งเงินทางไปรษณีย์ เนื่องจากพ่อแม่ต้องเดินสายขายของตามจังหวัดต่างๆ จึงไม่สะดวกให้ลูกๆติดตามไปด้วย ฉันและน้องชายจึงถูกส่งมาให้ย่าเลี้ยงที่บ้านนอก โดยส่งค่าใช้จ่ายให้เดือนละ 3000 บาท  
          บ้านย่าเป็นบ้านไม้เก่าๆมีใต้ถุนบ้านไว้นั่งเล่น มีแค่3ห้องนอน แต่คนอยู่ตั้ง 13 คน(มีทั้งลูกเขย ลูกสะไภ้ ลูกตัวเอง) พวกเราจะนั่งล้อมวงปูเสื่อกินข้าว อาหารหลักคือมือเปิบข้าวเหนียว(วันไหนมีข้าวสวยเหมือนได้กินแบบในละครในทีวี) บ้านนี้มี ลูกชายป้า กับ ลูกสาวอา ที่เป็นรุ่นเดียวกัน เรา4คนจึงเป็นเพื่อนเล่นกัน ครอบครัวใหญ่ดูอบอุ่นมีเรื่องคุยกันหัวเราะเฮฮา แต่ยกเว้นฉัน

อิจฉา
          เงินที่แม่ส่งมาให้เฉลี่ยวันละ100บาท ค่าครองชีพสมัยนั้นถูกมาก ไปโรงเรียนคนละ5บาท(ได้น้ำโค้ก1แก้ว+ลูกชิ้น3ไม้)กับข้าวเด็กย่าจะซื้อที่ตลาดมาให้ เช้า2 เย็น2 (ตกถุงละ5บาท)รวม2พี่น้องใช้เงินวันละ 30 บาทเท่านั้น แล้วอีก70ไปไหนนะหรอ ก็เป็นค่าใช้จ่ายลูกป้าอาและคนอื่นๆในบ้านไง
          ลูกสาวอาเธอสวยมากหน้าตาลูกครึ่ง ต่างกับฉันที่หน้าเด็กดอย ชิวิตเธอสวยจึงมีแต่ญาติๆมาห้อมล้อม มาเล่นกอดจูบด้วย ส่วนฉันน่ะหรอไม่มีใครแตะเลย ข้างบ้านเขารวยมาก เขาชอบพาเธอสวยไปเที่ยวกรุงเทพบ่อยๆ ฉันอยากเห็นกรุงเทพจริงๆ จึงมีความฝันว่าสักวันต้องไปเห็นกรุงเทพให้ได้ เวลาเธอสวยขอตังย่าไปซื้อโจ๊กซองมาต้มเธอก็จะได้เสมอ ตาฉันขอมั่งย่าก็บอกเงินหมดแล้ว ฉันจึงมานั่งน้ำลายไหลมองเธอสวยกิน (คิดในใจโจ๊กนี่เหมือนในโฆษณาทีวีเลยน่ากินมาก) ตอนนั้นฉันไม่คิดว่าย่าลำเอียงเลย แต่คิดตามภาษาเด็กๆ"พรุ่งนี้ต้องชิงตัดหน้าขอเงินย่าก่อนให้ได้"

ฉันชื่ออีบ่ม
          เมื่ออิจฉาที่เห็นเธอสวยมีแต่คนมารุมรัก ฉันอยากเป็นแบบนั้นบ้าง จึงพยามทำตามเลียนแบบเธอ ทั้งแต่งตัว ทำผม เลียนแบบกิริยาเธอ (ครั้งแรกที่ไม่เป็นตัวเอง) ยิ่งฉันเลียนแบบ มันก็ยิ่งล้นบ้าง ไม่เต็มบ้าง เค้าหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดี แต่พอฉันทำมันกลับตรงข้าม(คือหน้าเราไม่ให้) มันจึงเป็นจุดเริ่มต้น ฉันสร้างแบรนด์ตัวเองให้คนจดจำภาพลักษณ์ผีบ้าไปแล้ว (แปลว่าต่อให้เปลี่ยนตัวเองยังไงคนก็คิดว่าเราเป็นแบบเดิมอยู่ดี)  
          ตอน 10 ขวบ ฉันชอบอาบน้ำนาน แต่คนที่บ้านนี้เขาไม่ชอบ มันเปลืองน้ำเปลืองไฟ น้า(ลูกชายคนสุดท้องของย่า)จึงแกล้งปิดไฟ ฉันตกใจและกลัวความมืด จึงวิ่งเปลือยร่อนจ้อนออกมา น้าก็เอาฉันไปเม้าในวงกินข้าวกันอย่างสนุกปาก "อีผีบ้านมพึ่งตั้งเต้านะ มีแต่หัวนม 5555..หม-ย มันมี3เส้นเองมั้ง...-ีมันเท่า -ีหนูเอง5555" ทุกคนหัวเราะเฮฮามีความสุขในวงกินข้าว ฉันได้ยินอยู่ห่างๆ สะเทือนใจมาก ยังไม่อยากไปร่วมวงกินข้าวตอนนี้...
         ฉันเริ่มอยากอยู่คนเดียว มีมุมเป็นของตัวเอง บางที่แอบไปเล่นตู้กับข้าวคนเดียว บางทีก็ไปเล่นในตู้เสื้อผ้า บางทีก็ไปเล่นก่อก้อนหินที่ลำธารหน้าบ้านคนเดียว ในขณะที่เขาอยู่ใต้ถุนบ้านกัน ฉันก็แอบอยู่บนบ้านคนเดียว ได้ยินทุกคำนินทาจากใต้ถุนบ้าน เรียกอีผีบ้าบ้าง อีบ่มบ้าง(บ่มแปลว่าแอบ) ฉันคิดน้อยใจ ทำไมต้องเป็นฉันคนเดียว ไม่เคยมีใครกอดแม้แต่พ่อแม่ แต่ฉันไม่คิดฆ่าตัวเลย กลับมีความฝันที่จะอยู่ต่อ ฉันมีสมุดระบายสีเรื่องบ้านขนมปัง ฉันมักจินตนาการว่าสักวันฉันจะสร้างบ้านแบบนี้ มีคนอยู่แค่พ่อแม่ฉันและน้อง พอมีกำลังใจว่าโตขึ้นจะสร้างบ้านขนมปัง ฉันจึงลืมความเจ็บปวดเป็นปริดทิ้ง(เป็นเด็กนี่ดีจริงนึกจะลืมก็ลืมได้) จากนั้นมาฉันก็ชอบวาดรูปบ้านมาตลอด แต่ก็ยังมีมุมเป็นของตัวเองเหมือนเดิม โดยเฉพาะมุมเย็นๆใต้ต้นไม้หลังบ้านที่ไม่มีใครเห็น
          ฉันเป็นขโมย ย่ามักจะพาพวกเราไปเก็บขยะดีข้างบ้าน และเข้าไปเอาผลไม้ในสวนคนอื่น ตอนนั้นรู้ว่าขโมยคือไม่ดี แต่สนุกมากกว่า และเราเห็นเขามีเยอะ เขาคงไม่เสียหายหรอก เอานิดเดียวเอง เพราะคิดง่ายๆแบบนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของขโมย ฉันเห็นสีวางอยู่ในห้องเรียน ไม่มีใครเห็นฉันก็หยิบกลับบ้าน ข้างบ้านทำอาหารชั้นบน แล้วทัพพีหล่นฉันก็วิ่งไปเอามาเล่นขายของสนุกดี จนกระทั่งแม่บังคับฉันไปเรียนพิเศษตัวต่อตัวกับอาจารย์ โทรศัพท์อาจารย์หายตอนไหนฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้เอาไปจริงๆฉันก็บอกไม่ได้เอาไป อาจารย์ก็บอกเมื่อกี้ยังมีอยู่เลย และในห้องนั้นก็มีแค่เรา2คน อาจารย์ไม่ว่าอะไรและไม่ค้นตัว แต่หลังจากนั้นฉันรู้สึกได้ถึงสายตาที่อาจารย์มองฉัน ฉันไม่ผิด แต่มันอึดอัดมาก หลังๆฉันก็ไม่ไปเรียนอีกเลย และฉันก็ไม่คิดจะเป็นขโมยของใครอีกเลย และต่อไปนี้ถ้าเป็นไปได้ฉันจะไม่อยู่2ต่อ2กับใครอีกเลย
          น้าชายกำลังเรียน ปวส. และเริ่มติดยา ตอนที่ฉันเล่นน้ำฝน ด้วยห่วงกลัวว่าฉันจะเป็นไข้แต่เขาหงุดหงิดอะไรไม่รู้ เอาไม้เรียวฟาดขาฉันหลายทีเจ็บมากขาลาย แล้วไล่ฉันไปเช็ดตัว ขาลายไปโรงเรียนเป็นอาทิตย์ และฉันเป็นคนพูดมากแบบแรมโบ้อ่ะ ตอนฉันนั่งดูทีกันทั้งบ้าน ฉันก็นั่งภาคเนี่ยๆมันเป็นยังงี้ต่อนะ ก็โดนด่าให้เงียบ พอฉันบอกว่าชีวิตฉันเหมือนในละครเลย เขาก็ว่า ผีบ้าเอาตัวเองไปเปรียบละคร (แต่การที่เขาว่ามันคือข้อดี เวลาเราไปดูละครบ้านไหนเราจะได้ทำตัวถูกและดูมีกาลเทศะมากขึ้น) ตอนที่แม่ซื้อชุดกระโปรงส่งมาให้ฉัน ย่าก็ว่าฉันใส่แล้วเหมือนผีบ้า หลังจากนั้นฉันก็ไม่ใส่อีกเลย
          งานศพป้า... ที่บ้านนี้ไม่มีที่ส่วนตัวเลย ก่อนที่ป้าจะตาย ฉันเก็บเงินในออมสินไว้50บาท สำหรับฉันมันเยอะมาก ย่าขโมยเงินฉันไปให้ป้า พอฉันทวงพวกเขาก็รุมว่าฉันขี้เหนียว งก เหมือนแม่ สุดท้ายฉันกลัวพวกเขาไม่รักจึงให้เขาไป ต่อมาป้าเป็นอัมพาต แรกๆลูกชายเขาก็คอยอาบน้ำให้ แต่ย่าเห็นว่าป้าเป็นผู้หญิงอยากให้ผู้หญิงอาบให้ ฉันไม่เต็มใจหรอกแต่ก็ตกลงทำให้ละกัน เพราะมันไม่มีใครทำจริงๆ ต่อมาป้าก็ไปอยู่โรงพยาบาลหลายเดือนและเสียชีวิตลง ใต้ถุนบ้านจัดงานศพ ฉันอยู่บนบ้านเรือนไทยที่แม่สร้างไว้เปิดเพลงฟัง ไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้.. เสียงเพลงเล็ดรอดลงมา น้าชายได้ยิน วิ่งขึ้นมาบนบ้านฉัน กระทืบชั้นทีนึง แล้วคนอื่นก็วิ่งมาห้ามปลามแกยังเด็กอย่าถือสา น้าตะคอกใส่ฉัน"งานศพพี่กูทั้งคน ถ้าไม่เคารพ ออกไปเลย แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก" ฉันหวาดกลัวนั่งกอดเข่าตัวสั่น และพึ่งสำนึกตัวเองว่าไร้มารยาทแค่ไหน แต่ยังแปลกใจอยู่ดีว่าทำไมฉันถึงไม่ร้องไห้งานศพป้าตัวเอง (มาเข้าใจตอนโตนี่แหละว่าเป็นเพราะไม่ผูกพันธ์ลึกซึ้ง) หลังป้าตายได้ไม่นาน ผัวป้าก็กลับบ้านต่างจังหวัด อาเลิกกับผัวไปอยู่กับผัวใหม่มี่มาเล เธอสวยท้องตอนเรียนและไปอยู่บ้านผัวที่ต่างจังหวัด ฉันและน้องไปอยู่บ้านใหม่ที่แม่สร้าง จากคน13คน บ้านนี้จึงเหลือแค่ 5 คนเท่านั้นคือ ย่า น้าชายกับเมีย และลูกชาย2คนวัยกำลังโต วัย3เดือน และวัย 4ขวบ
          
การกลับมา  
          ตอนปี 2542 ฉันอายุ 11ปี กำลังจบ ป.6(เอกชน) แม่เข้าไปทำเรื่องจบที่โรงเรียนพอดี จึงทราบว่า พวกเราทั้ง4คน ค้างจ่ายค่าเทอมตั้งแต่ ป.1-ป6 เทอมละ4000 บาท ครูได้ส่งจดหมายทวงค่าเทอมไปที่บ้านหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครมาจ่ายเลย แม่อึ้งและตกใจมาก เพราะส่งค่าเทอมให้ฉันกับน้องทุกเทอม(แม่เป็นคนตรงเวลาไม่ชอบเป็นหนี้) จึงทราบเรื่องว่าที่แท้ คนในบ้านเอาค่าเทอมเราไปใช้หมดเลย ป้าก็เป็นอัมพาตหาเงินไม่ได้ผัวป้าก็ไม่ได้ทำงาน แม่เธอสวยก็อยู่เมืองนอก ไม่มีใครช่วยอะไรได้เลย แม่จึงออกค่าเทอมให้2คนนั้นไปก่อนแล้วค่อยไปทวงทีหลัง ไม่งั้นเค้าไม่ให้เด็กจบ แล้วใช้เส้นให้ฉันได้เรียนโรงเรียนประจำจังหวัด หวังให้ฉันได้เรียนโรงเรียนดีๆ
          ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ ภาพที่ฉันคิดไว้ ต้องมีแต่เด็กเนิร์ด เปล่าเลย เด็กที่นี่ไม่ใช่แค่เก่ง แต่เพรียบพร้อม สวย รวย แบรนด์ซานริโอ้ รองเท้านักเรียนลูซอง สังคมรสนิยมชัดๆ ทั้งๆที่เป็นโรงเรียนรัฐบาล ค่าเทอมแค่พันกว่าบาท และมีทั้งพวกรีดไถเงิน ขาโจ๋ประจำห้อง ดาวเด่นที่ใครๆก็อยากเข้ากลุ่ม ใครมีตัง 5000 ได้ใส่ชุดแฟนซีเดินกีฬาสี(หน้าตายังไงก็ช่าง) ใครหน้าตาดีอยู่แล้วเพื่อนในธีมสีจะช่วยออกค่าชุดให้ ลูกอาจารย์เป็นขโมย กระเป๋าวางทิ้งไว้จะหายไปทั้งใบเจอแต่หนังสือในถังขยะ แต่โรงเรียนนี้ก็ทำให้เด็กเอ็นติดเยอะ เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้ปกครองหลายคน(เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่คิด อาจจะไม่ใช่เสมอไป)

บ้าน2หลังติดกัน        
           ปี 2546 ฉันอายุ15 แม่ไม่ถูกกับย่าจึงอยากสร้างบ้านที่อื่น แต่พ่อไม่ยอม อยากสร้างบ้านติดกับย่าโดยไม่กั้นรั้ว ย่าจึงถามขายที่ดินให้แม่เป็นเงิน3แสนบาท ตอนนี้ย่ามีแต่บ้าน ที่ดินเป็นชื่อแม่แล้ว หลังจากที่สร้างบ้านได้ไม่นาน แม่ก็สร้างร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และปล่อยเงินกู้ ทำให้มีรายได้ เยอะมาก มีแต่ญาติๆเข้ามาห้อมล้อม
           ที่บ้านนู้นไม่มีใครทำงานเลย แม่จึงให้น้ายืมเงิน2000 บาทเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ทั้งคู่บริหารเงินไม่เป็น ทำได้ไม่กี่เดือนเงินทุนหมด มาขอยืมเพื่ม และก็เป็นแบบเดิมหลายครั้ง และแม่ไม่เคยได้คืนเลยสักบาท พอรู้นิสัย มาขออีกก็ไม่มีวันให้แล้ว ตอนแม่ฉันเปิดร้านใหม่ๆ ก็เอาพวก ทีวี ตู้เย็น มอเตอร์ไซค์ เอาไปไม่เคยจ่ายสักบาท แม่ก็มาทะเลาะกับพ่อให้พ่อไปทวง วันที่พ่อไม่อยู่หน้าร้านมันฝืดปิดยากมาก แม่วานให้น้ามาช่วยปิด เขาก็เฉยไม่สนใจ เขาไม่ชอบให้ใครมาใช้ ฉันกับแม่ช่วยกันปิดแทบตาย วานลูกเขาไปซื้ออะไรก็ไม่ได้ เขาสอนลูกเค้าให้รักศักดิ์ศรี อย่าให้ใครมาใช้ฟรีๆ ฉันเลยอาสาไปซื้อเอง รถมอไซต์พ่อก็เอาไปที่อื่น จึงขอยืมรถน้า(ที่ยังไม่จ่ายแม่เราสักบาท) ไม่ให้ยืมเขาก็ไม่พูด ถามกุญแจอยู่ไหนก็ไม่ตอบอะไรสักคำ หลังจากนั้นมาฉันก็ไม่อะไรกะเขาอีกเลย นึกถึงคำพูดเขาเมื่อก่อน เขาบอกให้ฉันยกบ้านเรือนไทยให้ยายเพื่อตอบแทนบุญคุณ ฉันก็ตอบตามภาษาเด็กว่าได้สิ ไม่ชอบมันหลังใหญ่ไปกลัวผีไทย จนแม่ได้ยินจึงสอนฉันห้ามเซ็นต์อะไรให้ใครเด็ดขาด และเขาเคยบอกถ้าฉันทำงานให้ส่งลูกเขาเรียนหนังสือเป็นพี่ต้องดูแลน้อง ฉันก็รับปากเพราะคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่พอฉันโตขึ้นจบมหาลัย ฉันจึงเข้าใจว่า เป็นพี่ต้องส่งน้องเรียน ที่ถูกต้อง คือสำหรับน้องที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ หรือน้องไม่ครบ32 พ่อแม่ไม่ครบ32 พ่อแม่ตกงานเป็นต้น

          บ้าน2หลังติดกัน ถ้าฐานะเท่ากัน มันจะไม่มีปัญหาเลย แต่บ้านฉันดันมีฐานะกว่าบ้านนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้น ย่าเอาที่นามาขายให้แม่ ไม่มีที่ทำกินแล้ว แม่จึงใช้วิธีให้ญาติๆบ้านย่ามาทำนาได้ แต่แบ่งข้าวคนละครึ่งนะ แต่พอถึงเวลา เอาข้าวส่วนของตนไปขายซะงั้น แล้วมาขโมยข้าวตอนที่แม่ไม่อยู่ จนเวลาผ่านไป ข้าวหมดก่อนกำหนด แม่จึงสงสัยและจับได้ ก็ไปทะเลาะกับพ่ออีก แต่แกก็ยังไม่เลิกทำ เพราะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้คนในบ้านอิ่มท้องได้ สุดท้ายแม่ต้องมาซื้อข้าวกินถังละ500อยู่ได้อาทิตย์เดียว บ้านนู้นยังไม่มีใครทำงานอยู่กันไปวันๆ ก็มาจิ๊กเอาเครื่องปรุงมั่ง ไข่ไก่มั้ง ค้นตู้เย็นมั่ง เอาผงซักฟอกมั่ง เอาผ้ามาซักที่เครื่องบ้านเรามั่ง ค่าใช้จ่ายทุกอย่างแม่เราต้องจ่ายคูณ2 ไม่ได้หวง แต่มันเป็นเรื่องความรู้สึกล้วนๆ พ่อก็ทะเลาะกับแม่เรื่องบ้านนู้นแทบทุกวัน "นั่นแม่กูนะน้องกูนะ" แม่ก็"กูไม่ชอบกูไม่อยากอยู่ร่วมด้วย" ย่าก็ชอบเอาแม่ไปนินทาตลาดเสียๆหาย มันขี้งกอย่างงั้นอย่างงี้ คนที่ตลาดได้ยินยังไงก็มองแม่แบบนั้น ใครว่ายังไงก็ต้องอยู่ให้ได้เพราะที่นี่คือบ้านและที่ทำมาหากิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่