การเข้าคุกอย่างไรให้ถูกวิธีและอยู่รอดปลอดภัย ตอนที่ 5 หน้าอ่อน (เมียที่ไม่เต็มใจ)

การเข้าคุกอย่างไรให้ถูกวิธีและอยู่รอดปลอดภัย ตอนที่ 5/1
หน้าอ่อน  (เมียที่ไม่เต็มใจ)
               หลังจากการสอบสวนคดีจ่าศักดิ์เสร็จสิ้นลง ก็ได้เวลาย้ายแดนของกลุ่มคนที่เข้ามาพร้อมกับชายเสียสติสักที เพราะต้องดึงตัวไว้สอบสวนก่อน ชุดที่มาทีหลังก็ไปก่อนแล้วหลายชุดเลย ตอนแรกมี 18 ตายไป 1 เหลือ 17 ระหว่างรอ มีประกันตัวออกไปอีก 2 เท่ากับกลุ่มที่เข้าวันเดียวกันนี้ เหลือ 15 คน  ทั้ง 15 คนนี้ถูกแยกไปแดนโทษสูงอีก 2 คน  13 คนที่เหลือไปแดนเดียวกัน  “แดนคดีทั่วไป”  ถึงตอนนี้ก็นั่งรอเสมียนแดนใหม่มารับ
        “ไม่น่าย้ายเลยนะน้าหรั่ง  อยู่แดนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมเริ่มชินกับแดนนี้แล้ว”   เสียงบ่นจากชายหนุ่มร่างเล็ก หนึ่งในกลุ่มคนที่รอย้าย
        “แดนนี้ น่าเบื่อจะตาย ย้ายได้สักทีหน่ะดีแล้ว  แดนโน้น มีอะไรสนุกๆอีกเยอะเลย เชื่อน้า”  เสียงต่ำๆ จากชายสูงโปร่งลายสักเต็มตัวจนล้นมาถึงคอ
         “หรั่งคอลาย”  เป็นชื่อที่รู้จักกันดี เพราะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน ชายขาว สูงโปร่ง หน้าตาดีออกไปทางลูกครึ่ง มีลายสักทั้งตัวจนถึงคอ  อายุ 30 ปลายๆ  เข้าออกคุกที่นี่และอีกหลายๆที่  และหลายๆรอบ  คุกเป็นเหมือนอีกบ้านนึง ของมันไปแล้ว
        “ไอ้หมู” ชายหนุ่มผู้เริ่มบทสนทนา  เป็นคนอีสาน ร่างเล็ก ผิวคล้ำ อายุ 20 ต้นๆ  หลังจากที่พ่อและแม่ มาเปิดร้านส้มตำ จนพอมีฐานะแล้ว จึงนำลูกชายคนเดียวเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ  ตอน ม.ปลาย  ไอ้หมูอยู่บ้านนอกไม่ค่อยได้เจอแสงสีมากนัก โรงเรียนในอำเภอ ไม่ไกลจากบ้าน  เรียนเสร็จก็จะกลับบ้านเลย  
         แต่พอมาเรียนที่กรุงเทพ  แรกๆก็อยากกลับไปเรียนที่บ้านนอกอยู่ทุกวี่วัน รบเร้า พ่อและแม่ตลอด  แต่ด้วยความเป็นพ่อแม่ ก็อยากให้ลูกชายคนเดียวได้อยู่ใกล้ตัว ก็ปฎิเสธไอ้หมูมาตลอด จนมันเริ่มชินและปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้แล้ว  
          มันเริ่มกลับบ้านดึก  ไม่ค่อยมาช่วยพ่อแม่ที่ร้านเหมือนเคย ยิ่งร้านส้มตำขายดีมากขึ้นเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของไอ้หมูและพ่อแม่ยิ่งห่างกัน   ไอ้หมูเริ่มหันเข้าหายาเสพติดจากกลุ่มเพื่อนที่มันคบ  เริ่มเที่ยวกลางคืน  เพื่อนชวนไปไหนไอ้หมูไม่เคยพลาด จะเข้าบ้านก็แค่ขอเงิน พ่อแม่เท่านั้น
        “ไปไหน กลับบ้านไหม คืนนี้หน่ะลูก” เสียงสำเนียงอีสานของแม่ไอ้หมูถาม  ขณะกำลังนั่งสับมะละกอ
        “ไม่ครับ ๆ ไปทำรายงานบ้านเพื่อน พรุ่งนี้ผมไปโรงเรียนเลย เอาชุดนักเรียนมาแล้ว แม่ขอพันนึงนะ” ไอ้หมูพูดพร้อมวิ่งขึ้นกระได เข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
           จนวันนึงทางโรงเรียนส่งจดหมายแจ้ง ว่าไอ้หมูไม่มาโรงเรียนเป็นเดือนแล้ว  หมดสิทธิ์สอบแล้ว  พ่อและแม่จึงให้ไอ้หมูเลิกเรียน มาช่วยงานที่ร้านแทน  แต่ไม่ทันการแล้ว เพราะไอ้หมูติดยาแล้ว  ช่วยพ่อช่วยแม่ได้ แป๊ปๆ พอขโมยเงินได้  ก็แวบออกไปหายาเสพ  เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3ปี จริงๆพ่อแม่ของมันก็รู้ว่ามันขโมยเงิน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ด่ามันก็กลัวมันเตลิด หนีไปซะอีก ได้แต่คิดๆว่าจะส่งมันกลับไปบ้านนอก แต่ก็ไม่ว่างจัดการเรื่องมันสักที
           จนมันถลำลึก เงินที่ขโมยมาเริ่มไม่พอเสพแล้ว  เพราะพ่อแม่จะทิ้งเงินไว้ในกล่องเก็บเงินเฉพาะแบงค์ย่อย วันนึงเพื่อนมันชวนหารายได้ด้วยการวิ่งราว  ในใจมันไม่กล้า แต่เพราะคำสบประมาท “ปอดแหกดิ”  แรกๆ มันก็เป็นแค่คนขับมอเตอร์ไซค์  รอเพื่อนมันวิ่งราว กระเป๋า หรือ สร้อย  มันก็มีหน้าที่ขี่หนีตามเส้นทางที่ดูๆกันไว้ก่อน  จนวันนึงเริ่มย่ามใจ อยากลองวิ่งราวเองบ้าง  มันทำสำเร็จ ไม่โดนจับได้ถึง 3 ครั้ง
แต่ครั้งที่ 4 ไม่รอด เจอพลเมืองดี ช่วยกันจับได้  แล้วคดีเก่าๆที่เคยทำ เจ้าทุกข์ก็มาชี้ตัวไอ้หมูได้อย่างถูกต้อง
         “แล้วแดนโน้น คนเยอะไหมน้า” ไอ้หมูถาม
          “เยอะดิ เป็นพันแล้วมั้ง ตอนนี้” ไอ้หรั่งตอบ
          “แล้วผมอยู่กับน้าหรั่งด้วยได้ไหมครับ” ไอ้หมูถาม เชิงขอร้อง
          “น้ายังไม่รับปากนะ ไม่รู้บ้านเก่าน้าตอนนี้มีกี่คนแล้ว ต้องไปดูก่อน” ไอ้หรั่งตอบแบบรักษาน้ำใจ
           ไอ้หรั่งเก๋าคุกรู้ดีว่าไอ้หมูตั้งแต่เข้ามา ยังไม่มีญาติมาเยี่ยมเลย เงินติดตัวไอ้หมูตั้งแต่เข้ามาก็โดนมันดูด  กิน  ใช้  ไปหมดแล้ว หากไปแดนโน้นก็รังจะเป็นภาระมันซะเปล่า ในคุกนี้ไม่มีผลประโยชน์ เท่ากับไม่มีค่า  หากไอ้หมูมีญาติมาเยี่ยมบ่อยๆ ไอ้หรั่งคงยินดีรับมันเข้าบ้านแน่นอน
            ช่วงนี้เศรษฐกิจค่อนข้างแย่ บวกกับสถานการณ์บ้านเมืองก็วุ่นวาย ทำให้ร้านส้มตำของพ่อแม่ไอ้หมูย่ำแย่  ไหนจะหนี้แบงค์จากการขยายร้าน  บางวันเปิดร้านมามีเงินเข้าไม่พอจ่ายค่าแรงลูกน้องด้วยซ้ำ  จึงต้องทยอยจ่ายค่าชดเชย จ้างลูกน้องออก และสุดท้ายก็ต้องยอมปิดตัวลง กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนอกก่อน เพื่อลดค่าใช้จ่าย ในวันที่ไอ้หมูถูกจับ พ่อแม่ของไอ้หมูก็ไปหาที่โรงพัก ฝากเงินไว้ให้ 2,000 บาท พร้อมสั่งเสียให้ดูแลตัวเองดีๆ
           “พ่อครับ แม่ครับ ช่วยผมด้วย ช่วยประกันผมด้วย ผมไม่ทำอีกแล้ว กลับไปอยู่บ้านนอกก็ยอม นะครับๆ  ผมไม่อยากติดคุกครับ ” ไอ้หมูอ้อนวอนพ่อแม่ ในวันที่เค้ามาเยี่ยมที่โรงพัก
          “จะเอาเงินที่ไหนมาประกันหล่ะลูก ที่นาก็เอาเข้าแบงค์ไปหมดแล้ว คุณตำรวจเค้าบอกว่า หนูมีหลายคดี ประกันตัวไม่ได้” แม่ไอ้หมูพูดไปร้องไห้ไป เพราะสงสารลูกจับใจ
           “ทนเอาลูก กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ลูกผู้ชาย กลัวอะไร ยังไงก็ต้องอดทนนะลูก เข้าไปแล้วก็ทำตัวดีๆ อย่าดื้ออีก จะได้ออกมาเร็วๆ” พ่อไอ้หมูสั่งเสีย ก่อนควักเงินส่งให้
             เสมียนแดนใหม่เป็นชายสูงโปร่งผิวสีดำแดง  ลักษณะมีอายุเลยวัยกลางคน   เดินเข้ามารับคนใหม่ย้ายแดน ถึงเวลาเดินทางแล้ว ใจของไอ้หมูตอนนี้ตุ่มๆต่อมๆอีกครั้งนึง แต่ยังน้อยกว่าตอนแรกที่เข้ามาเรือนจำมากนัก เพราะมันเริ่มเรียนรู้วิถีการอยู่คุกได้ระดับนึงแล้ว การอยู่ การกิน การนอน  แต่ที่มันรู้นั้นยังไม่มากพอ !!
             “ทั้งหมดลุก  เดินตามผมมาครับ” เสียงคำสั่งจากเสมียนแดนใหม่ดังขึ้น หลังจากการเช็คชื่อ นับยอดจนครบถ้วนแล้ว
            “นี่ทำรอบดีจริงๆนะไอ้หรั่ง” เสมียนแดนเริ่มทักทายไอ้หรั่งหลังจากเดินพ้นประตูแดนแรกรับ
             “ตอนนี้เป็นไงมั่งครับน้า ที่แดนยังเหมือนเดิมไหม” ไอ้หรั่งถามเสมียน
             “ก็วุ่นวายเหมือนเดิมหล่ะ ยิ่งมีนายใหม่มา เวรมันค้นขึ้นเรือนนอนเขี้ยวยิ้มเลย เอาขนมไปกินบนเรือนนอนไม่ได้เลย บุหรี่นี่ไม่ต้องพูดถึง เสี้ยนบุหรี่กันทั้งเรือนนอนเลย”เสมียนแดนเล่า
             เดินตรงเรื่อยมาสักระยะ จนถึงหน้าแดนคดีทั่วไป  มีป้ายแดนคดีทั่วไป และตัวหนังสือสีแดงตัวใหญ่  “คืนคนดีสู่สังคม” ติดอยู่ด้านบนกำแพงประตูแดน เสมียนพาคนใหม่เข้าผ่านประตูแดน แล้วนั่งนับยอดที่ที่ทำการแดน แล้วการตรวจค้นคนใหม่ทุกคนก็เริ่ม  พอค้นเสร็จเรียบร้อย เสมียนแดนก็เดินพามาที่ว่างใต้อาคารเรือนนอน  ระหว่างทางไปใต้อาคารไอ้หมูตื่นเต้น ตื่นกลัวมาก มีคนเดินควักไขว่มากมาย มีสนามบอลกว้างใหญ่  มีตึกกองงาน มีอาคารเรือนนอนใหญ่โตหลายชั้น  มีร้านค้าใหญ่กว่าแดนแรกรับ   มีสายตาหลากหลายคู่จับจ้องมาที่กลุ่มคนใหม่ พร้อมเสียงโฮ่ฮิ้ว  ทักทายเชิงปั่นประสาท
            ระหว่างนั่งรอใต้อาคารเพื่อรอการจำแนกห้องนอน ก็จะมีคนเก่ามายืนล้อมดูคนใหม่เพื่อจะดูว่ามีคนรู้จักไหม มีคนที่ดูอ่อนคุก บ้างไหม และจะมีคนอีก  3-4 คนที่มาด้วยจุดประสงค์อื่นคือ  หาคู่ !!  
           ตอนที่นั่งรอนี้  พวกมันจะเรียกว่า   ดูตัว !! คนไหน ที่มีหน้าตาสวย มองคล้ายๆผู้หญิง หรือมีท่าทางตุ้งติ้งๆ   เหมือนจะเป็นกระเทย ก็จะโดนคนพวกที่มาหาคู่นี้  ไปขอซื้อที่เสมียน  การซื้อคือไปจ่ายบุหรี่เพื่อจะเอาคนที่ต้องการไปนอนที่ห้องมัน  แต่หากถูกใจคนเดียวกันก็อาจถึงขั้นประมูลกันเลยก็มี คนใหม่รอบนี้ มีดาวเด่นอยู่ที่ ชายหนุ่มหน้าหมวย  พวกหาคู่หลายคนพุ่งเป้าไปที่มัน   แต่ว่าไม่ใช่น้าพจน์
           น้าพจน์เป็นชายผิวเหลืองร่างใหญ่ เรียกได้ว่าเกือบๆจะอ้วน แต่มันตัวสูง เลยทำให้ดูไม่อ้วนนัก อายุราว 40 ต้นๆ  น้าพจน์มีหน้าที่เป็นถึงเสมียนกองงาน  “ยาง”  กองงานนี้จะรับงานยางที่ปั้มติดๆมา แล้วนำมาตัดส่วนยางเกินออก ให้เป็นรูปที่สวยงาม อย่างเช่น ที่พักเท้าด้านหลังของมอเตอร์ไซค์ส่วนที่เป็นยาง  ตอนมาก็จะติดกันเป็นตับ
           กองงานนี้ก็จะมานั่งตัด แยกให้ออกมาเป็นตัวๆ แล้วตัดแต่งยางส่วนเกินๆออก ให้ดูสวยงาม น้าพจน์จำคุกมาแล้ว 4 ปีกว่าๆ จากโทษจริง 8 ปี  จากคดีจำหน่ายยาเสพติด น้าพจน์ได้วันลดตามชั้น ได้รับวันลดจากการพระราชทานอภัยโทษแล้ว  รวมตอนนี้น้าพจน์เหลือโทษจำคุกอีกประมาณ 2 ปี    
           น้าพจน์นับได้ว่าเป็นแถวหน้าๆเลย  หากพูดถึงคนที่ชอบเลี้ยงหน้าอ่อน น้าพจน์มีหลักการณ์มองหาหน้าอ่อนที่ไม่ธรรมดา  มันจะมองมากกว่าแค่หน้าตา   แต่มันจะมองหาแววตาที่หวาดกลัว ดูท่าทางไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร   ซึ่งมันก็เห็นได้ในแววตาของไอ้หมู  น้าพจน์ส่งลูกน้องคนสนิท  “ไอ้บอย” เข้าไปหาเสมียนแดน แล้วชี้ไปทางเป้าหมายที่น้าพจน์เลือกไว้
          ไอ้บอย ชายตัวดำ ตัวผอม ไม่สูงมากนัก อายุราว 25 ปี  เอกลักษณ์เด่นของมันคือฟันที่เหยิน และลอยสักหัวกระโหลกที่หัวไหล่ขวา จนได้ฉายาว่า “บอยเหยิน”  ไอ้บอยเป็นเด็กขายยาให้น้าพจน์มาตั้งแต่ข้างนอกแล้ว   มันเข้าออกที่นี่อยู่หลายรอบ  ก็คดีเดิมๆ  ยาเสพติด  
           “เอ้า ทุกคนฟังชื่อตัวเองและห้องที่ต้องไปลง   เอารอบเดียวนะ เดี๋ยวใครมาถามอีก มีค่าตอบนะ  เฮ้ย ๆๆ  ไอ้พวกคนเก่ารอบๆ นี่ก็เงียบๆหน่อยว่ะ”  เสมียนแดนสั่งเสียงดัง  
           แล้วก็เป็นไปตามตกลง  ไอ้หมูไปลงที่ห้อง 3/16 (ชั้น 3 ห้อง 16)เป็นห้องที่น้าพจน์ดูแลอยู่  และขั้นตอนการจีบหน้าอ่อนของน้าพจน์ก็เริ่มขึ้น  หลังจากเสมียนแดนแจกตู้ล๊อกเกอร์ และปล่อยให้คนใหม่ไปกินข้าวเที่ยง  น้าพจน์ส่งไอ้บอยเข้าไปตีสนิท หยั่งเชิง
             “เสื้อเขียวๆ นายชื่ออะไรอ่ะเพิ่งย้ายมาใช่ป่ะ” ไอ้บอยเข้าไปถามไอ้หมูขณะเข้าแถวรอกินข้าวเที่ยง
             “ใช่ครับ ผมชื่อหมูครับพี่”  ไอ้หมูตอบ แต่ในใจมันยังระมัดระวัง ว่าจะมาไม้ไหน
             “มีคู่กินข้าวยัง เราไม่มีคู่ เข้าด้วยได้ไหม” ไอ้บอยใช้เหลี่ยมเข้าตีสนิท
             “ครับ ๆ”  ไอ้หมูตอบแบบ งง ๆ
             บทสนทนาระหว่างกินข้าวต้มกับผักดอง ของไอ้บอยกับไอ้หมู ก็หนีไม่พ้น บ้านอยู่ไหน โดนคดีอะไรมา ตัดสินหรือยัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไอ้บอยมากกว่าที่ยิงคำถามเหล่านี้  เพราะมันต้องการข้อมูลให้เยอะที่สุด   ตามที่ได้รับหน้าที่มาจากน้าพจน์
             “นายลงห้องไหนหรอ” ไอ้บอยแกล้งโง่ถาม
             “ 3/16 ครับพี่” ไอ้หมูตอบ
             “จริงหรอ เราก็นอน 3/16  เออ  ดีหว่ะ  ห้องนี้ดี หัวหน้าห้อง  ฟรีสไตล์  ไม่ค่อยมายุ่งยากเป็นพ่อบ้านเราเอง ” ไอ้บอยพูดเชียร์
             “เออ จริงดิ แล้วหมูมีบ้านอยู่หรือยัง มาอยู่กับเราได้นะ ที่บ้านมีคนอีสานด้วย ชื่อน้าแมว แต่เราจำไม่ได้ว่าจังหวัดอะไร” ไอ้บอยเริ่มเข้ารุก
            “ เอ่อ แต่ผมไม่มีญาตินะครับ พ่อแม่ อยู่ต่างจังหวัดกันหมด”  ไอ้หมูตอบกึ่งรับกึ่งสู้
            “ไม่ใช่ ปัญหา น้าพจน์พ่อบ้าน ญาติแกมาเยี่ยมทุกอาทิตย์  เนี้ยเมื่อวานญาติแกก็เพิ่งมา เราเห็นแกดูซื่อๆ เลยชวนมาอยู่ด้วย ปกติไม่ค่อยชวนใครหรอก” ไอ้บอยยกเหตุผลต่อ
            ไอ้หมูนึกในใจว่ามีอะไรชอบมาพากลไหม เพราะมันก็เรียนรู้เรื่องหากไม่มีญาติมาเยี่ยม หรือไม่มีเงินในบัญชี  ก็จะไม่ค่อยมาค่านัก ในสายตาคนคุก  แต่ด้วยตอนนี้ คนที่มันสนิทที่สุดที่แดนแรกรับคือน้าหรั่ง เค้าก็ปลีกตัวไป อยู่กับบ้านเดิมของเค้าแล้ว  โดยปราศจากเยื่อใยหรือคำตอบที่ว่าจะให้มันไปอยู่ด้วยได้ไหม  และมันก็ไม่รู้ว่าที่นี่จะต่างจากแดนแรกรับ  แค่ไหน  ยังไง  ลองๆ เข้าไปก่อนก็ดี  หากมีไรไม่เข้าท่า ค่อยออกมาก็ได้ ที่สำคัญมีคนอีสานอยู่ด้วย ยิ่งพอทำให้มันอุ่นใจขึ้นมาระดับนึง  
            (ติดตามต่อในตอนที่ 5/2 ครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่