[CR] Tsuta ร้านราเมงกับดาวมิชลินดวงแรกของโลก

ไม่รู้ว่ายังมีใครจำคนที่เคยติดอยู่ในสนามบินนาริตะท่ามกลางพายุหิมะถล่มคืนนั้นได้อยู่รึเปล่า
ผมกลับมารอบนี้ ไม่ได้เล่าการเอาชีวิตรอดในภาวะประสบภัย แต่มารีวิวราเมงมิชลินร้านแรกของโลกครับ


หากพูดถึงอาหารที่หากินง่าย สะดวกรวดเร็วและอร่อยในญี่ปุ่น คงหนีไม่พ้นราเมง ซึ่งมีเปิดเป็นร้านเล็กร้านน้อยทุกหัวระแหงในเมืองต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่เพราะความเป็นอาหารประเภทกินง่ายราคาไม่แพง ราเมงจึงมีภาพลักษณ์ของอาหารสำหรับชนชั้นรายได้น้อย ซึ่งตรงข้ามกับความหรูหราของอาหารฝรั่งเศสซึ่งเต็มไปด้วยพิธีรีตรองและราคาที่แพงกว่าอาหารทั่วไป

ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ไม่เคยมีร้านราเมงร้านไหนเคยได้รับดาวซักดวงจากคู่มือมิชลินเลยก็เป็นได้ แต่ในวันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ดาวดวงแรกได้ถูกมอบให้กับร้านราเมงเล็กๆแห่งหนึ่งในโตเกียว

Tsuta เป็นร้านราเมงเล็กๆ ขนาด 9 ที่นั่งใกล้สถานี Sugamo ในมุมหนึ่งของโตเกียว ร้านนี้ไม่ได้อยู่ติดริมถนนใหญ่ที่คนสัญจรมากมาย หากแต่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ซึ่งถ้าดูภายนอกเราคงมองผ่านเลยมันไปอย่างง่ายดาย เพราะหน้าร้านที่ตกแต่งแบบเรียบๆ มีเพียงสัญลักษณ์และชื่อร้านที่ลอยเด่นให้เห็นอยู่ด้านหน้าเพียงเท่านั้น

หลังข่าวการได้รับดาวมิชลินหนึ่งดวงของร้านนี้กระจายออกไป Tsuta ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและสนใจของผู้คนในวงกว้าง พาให้คนจากทั่วสารทิศต่างก็อยากจะลิ้มลองรสชาติของราเมงดาวมิชลินซักครั้งหนึ่ง ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลังจากตรวจสอบที่อยู่ร้านจากแผนที่ และเวลาเปิดปิด (11:00 - 16:00) ผมและเพื่อนชาวญี่ปุ่นจึงนัดกันในวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าจะลองไปกินกันซักครั้ง

พวกเราไปถึงร้านเวลาเกือบๆเที่ยง ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าอาจต้องนั่งรอคิวนานซักครึ่งชั่วโมงซึ่งก็พอทนได้ เราเห็นคนยืนรอต่อคิวอยู่ไม่ถึงสิบคน ทำให้รู้สึกว่าโชคดีที่มาตั้งแต่ร้านเพิ่งเปิด แต่พนักงานร้านกลับแจ้งว่าบัตรคิวของวันนี้ถูกจ่ายออกไปหมดแล้ว

ใช่แล้วครับ เพราะมีลูกค้ามารอกินกันมากมาย ทำให้ทางร้านซึ่งมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย ต้องจัดการปัญหาด้วยการจ่ายบัตรคิวในตอนเช้า ซึ่งคนที่ต้องการจะกินต้องมารับบัตรคิวที่จะแจกตั้งแต่ 6:30 - 8:00 ของทุกวัน และนั่นก็ทำให้เราต้องวางแผนมากันใหม่ในวันรุ่งขึ้น เพื่อมารับบัตรคิว

เช้าวันถัดมา ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อขึ้นรถไฟมายังสถานี Sugamo รอเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาสมทบ และเพราะมันเป็นช่วงหน้าหนาว แม้จะเป็นเวลาหกโมงครึ่งแต่ฟ้าก็ยังไม่สาง อากาศก็ช่างหนาวทรมานคนยิ่งนัก (อาห์ อยากกินราเมงร้อนๆ จริงเลย)


บรรยากาศหน้าสถานี Sugamo (JR) ในรุ่งสางวันอาทิตย์


ผมกับเพื่อนเดินจากสถานีไปยังร้านซึ่งอยู่หากออกไปเพียงแค่ร้อยเมตรจากสถานีเท่านั้น เราไปถึงร้านเวลาประมาณ 6:45 แต่ก็เห็นคนต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อรับบัตรคิวกันอยู่ก่อนแล้ว เราได้รับบัตรคิวซึ่งเป็นช่วงเวลา 12:00 นั่นหมายความว่าเราต้องกลับมาที่ร้านอีกครั้งในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อกินราเมง


คำแนะนำการรับบัตรคิวและการมาใช้บริการเป็นภาษาอังกฤษ


กฎการรับบัตรคิวคือ แจกเท่าจำนวนคนที่มารับ (รับแทนกันไม่ได้) ต้องฝากเงินกับทางร้าน 1000 เยนต่อบัตรหนึ่งใบ (เพื่อกันคนมารับบัตรแต่ไม่ยอมกลับมากิน) ร้านจะคืนเงินให้เมื่อเรากลับมาที่ร้านตามเวลา และบัตรจะมีสีตามเวลา เช่นสีขาวคือ 11โมง และสีเหลืองคือ 12โมง เป็นต้น ต้องกลับมานั่งรอที่ร้านภายในเวลาของบัตร

เรามารู้กันตอนหลังว่าบัตรของวันนั้นจ่ายหมดไปตั้งแต่ 7โมงครึ่งแล้ว ใครมาก่อนได้ก่อน หมดแล้วหมดเลย และห้ามทำบัตรหายครับ เพราะร้านจะไม่คืนเงินให้ (เราโชคดีที่มาทัน)


หน้าตาบัตรคิวของทางร้าน


ผมกับเพื่อนจึงต้องไปหาอย่างอื่นทำฆ่าเวลาในช่วงที่รอ แล้วเรากะว่าจะกลับมาที่ร้านก่อนเที่ยงเล็กน้อย เพราะถึงมีบัตรคิวแล้วก็คงต้องมาต่อคิวกันอีกอยู่ดี

เรากลับมาที่ร้านอีกครั้งตอนเกือบๆ เที่ยง และก็เห็นคนต่อคิวรอกันอยู่ข้างๆ ร้านเกือบยี่สิบคน เราต้องรอคิวนานถึงครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เข้าไปในร้าน ซึ่งร้านด้านในมีขนาดเล็กมาก และยังต้องรอคิวในร้านอีกสิบกว่านาที เพราะมีที่นั่งเพียงแค่ 9 ที่เท่านั้น (ไม่แนะนำให้ไปกันเป็นหมู่คณะใหญ่ เพราะทางร้านไม่สามารถจัดที่ให้ได้ครับ อย่างมากก็ที่นั่ง 2 คน ซึ่งก็ต้องรอให้มีที่ว่างสองที่ด้วยเช่นกัน)


ป้ายรางวัลจากคู่มือมิชลิน และรางวัลอื่นๆ


ในร้านจะมีตู้ขายตั๋ว ซึ่งพนักงานจะขอบัตรคิวของเราคืน และคืนเงินให้เรา 1000เยน เราก็ใช้เงินนั้นหยอดตู้เพื่อเลือกราเมงได้ โดยกำหนดว่าเลือกได้คนละ 1 เมนูเท่านั้น ลักษณะของตู้ขายตั๋วก็เหมือนร้านราเมงทั่วไป โดยจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด (ผมแปลให้คร่าวๆนะครับ)


เมนูบนตู้ขายตั๋วเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด


เราสองคนเลือกโชยุชาชูใส่ไข่ต้ม ซึ่งเป็นเมนูที่ถูกแนะนำลงคู่มือมิชลิน และเป็นเมนูเด็ดของร้าน จากนั้นส่งตั๋วให้พนักงานและนั่งรอคิวจนกว่าจะถึงคิวของเรา

โต๊ะนั่งทั้ง 9 ที่นั้นเป็นแบบเคาท์เตอร์ซึ่งหันหน้าเข้าหาครัวที่เชฟจะทำราเมงชามต่อชามให้เราดูกันสดๆ ไปด้วย ซึ่งเราโชคดีที่ได้นั่งมุมด้านข้างที่สามารถเห็นครัวได้เต็มๆ แต่น่าเสียดายที่ทางร้านไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครัวนะครับ (สามารถ่ายรูปอื่นๆ ได้ เช่นราเมงของเรา แต่ห้ามถ่ายครัวและเชฟ)

เรารอกันไม่เกิน 5 นาที ราเมงที่เราสั่งก็ถูกเสิร์ฟให้ตรงหน้า โดยระหว่างนั้นเราก็ได้เห็นขั้นตอนการปรุงราเมงชามต่อชามอย่างประณีตบรรจงของทางร้าน และผลที่ออกมาก็ดูน่ากินอย่างที่เห็นนี่แหละครับ


โชยุชาชูใส่ไข่ต้ม เมนูเด็ดของทางร้าน


ต้องออกตัวก่อนว่าผมนั้นเป็นคนชอบกินราเมงและอาหารจำพวกเส้นและซุปอยู่ก่อนแล้ว และก่อนนี้ก็เคยกินราเมงมาหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น ตั้งแต่เหนือจรดใต้ สำหรับผมแล้วอาหารจำพวกนี้คือ ง่าย ถูก และดี แต่ไม่ถึงกับอร่อยประทับใจไม่รู้ลืมอะไรทำนองนั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับเมนูที่มากินตั้งแต่แรก ออกจะกังขาด้วยซ้ำว่ามันก็คงจะเหมือนๆกับราเมงร้านอื่นๆที่ผมเคยกินมาละมั้ง

แต่พอซดซุปคำแรกแตะลิ้นเท่านั้นล่ะครับ... ทุ่งนาแสงทองผ่องอำไพลอยมาตรงหน้าเลยทีเดียว นี่มันไม่ใช่ซุปโชยุที่เคยกินที่ไหนมาก่อนในชีวิต ไม่ต้องถึงกับสาบานแต่รสชาติของซุปที่ไม่เข้มเกินไปจนเลี่ยน ออกหวานนิดๆ แบบกลมกล่อม เรียกว่ารสชาติละไมลิ้นเลยทีเดียว ผมกับเพื่อนหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน มันเป็นที่สุดของวันนี้แล้วครับ

หลังจากซดซุปซ้ำอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้หลอกตัวเอง ก็ยืนยันได้ว่ารสชาติของซุปนั่นแหละคือพระเอกตัวจริงของร้านนี้ จากนั้นก็เอาตะเกียบคีบเส้นเข้าปาก ก็พบว่าเส้นนั้นนุ่มกำลังดี ช่วยเน้นความอร่อยของซุปขึ้นมาอีกขั้น

ผมคีบเส้นเข้าปากและซดซุปอย่างลืมหายใจอยู่หลายนาที เส้น ซุป เส้น ซุป เส้น ซุป ... จนลืมไปเลยว่าในชามยังมีไข่ต้มและหมูชาชูลอยอยู่ด้วย คิดดูสิ แค่เส้นกับซุปก็ทำให้กินเพลินคล่องคอจนลืมเครื่องเคียงไปเลย พอได้สติเลยหันมาจัดการกับเจ้าไข่ต้มซึ่งข้างในเป็นยางมะตูม ส่วนหมูชาชูนั้นกึ่งสุกกึ่งดิบกำลังดี ไม่ยุ่ยไม่เหนียวเกินไป เคี้ยวได้กำลังมัน จากนั้นซดซุปตามอีกระลอกใหญ่

กินจนเส้นหมดเครื่องหมด ก็ยกชามขึ้นซดซุปจนหมดเกลี้ยง แล้วหันกลับไปดูเพื่อนที่ยกซดตามๆกันมา (ลูกค้าอีกคนข้างๆผมก็ซดเกลี้ยงนำไปก่อนแล้ว) ทำให้รู้สึกเสียดายที่เราไม่สั่งชามใหญ่พิเศษ (มีปุ่มกด "ใหญ่พิเศษ" 150 เยน ซึ่งต้องกดเพิ่มเอาแล้วยื่นพร้อมตั๋วตั้งแต่แรก)


สภาพชามที่ซดจนเกลี้ยง


เรากินกันไวมาก น่าจะไม่เกิน 10 นาทีสำหรับราเมงขนาดธรรมดา แต่ลิ้นเรายังอยู่ในวังวนของรสชาติที่ไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน เรายกชามคืนเคาท์เตอร์พร้อมเปล่งคำขอบคุณ โกะจิโซซะมะเดะชิตะ แล้วเดินออกจากร้านไป นับเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขอันแสนสั้นเหลือเกิน แต่ก็คุ้มค่าแล้วที่มา

ดาวมิชลินไม่ได้ให้กันง่ายๆ และราเมงของ Tsuta ก็มีรสชาติระดับดาวมิชลินสมราคา หากแต่ราคาที่เราจ่ายจริงกลับถูกอย่างเหลือเชื่อ เพราะราเมงชามหนึ่งราคาเพียง 850 - 1250 เยน (ขึ้นกับขนาดและเครื่องเคียง) แต่กลับได้รับประสบการณ์ทางรสชาติที่ยากจะลืมเลือน

ผมกับเพื่อนเดินกลับสถานีพร้อมกับรสชาติที่ยังฟุ้งอยู่ในปาก เราคิดกันว่าต้องกลับมาอีกครั้งเพื่อลองกินเมนูอื่นดูบ้าง (เช่นชิโอะราเมง หรือไม่ก็ทสึเคะเมง) ถึงจะต้องแหกตาตื่นแต่เช้าเพื่อมารับบัตรคิวอีกครั้ง มันก็คุ้มแสนคุ้มกับราคาที่ไม่ต่างกับราเมงร้านอื่นๆแต่มีหนึ่งดาวมิชลินที่การันตี และรสชาติที่เราพิสูจน์เองแล้วว่ามันใช่จริงๆ

รีวิวนี้ผมเขียนลง Blog ส่วนตัวด้วย ใครสนใจอ่านเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นแบบอินไซด์ก็ไปเยี่ยมชมกันได้นะครับ
http://www.japaninsider.info/#!Tsuta-ร้านราเมงกับดาวมิชลินดวงแรก/cjds/566d18b20cf2f7de56e6431e
ฝากเฟสบุ๊คของเว็บด้วยครับ https://www.facebook.com/www.japaninsider.info/

ข้อมูลเพิ่มเติม:
ที่อยู่ของร้าน 1-14-1 Sugamo, Toshima-ku, Tokyo
Facebook: https://www.facebook.com/jsn.tsuta
Website: http://ameblo.jp/yuki-onishi/
ชื่อสินค้า:   Tsuta ราเมงดาวมิชลิน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่