กระทู้นี้เป็นกระทู้ต่อเนื่องจากกระทู้เดิม
http://ppantip.com/topic/34550774
ดิฉันขออนุญาตงดใช้ราชาศัพท์ตลอดทั้งกระทู้
หรือถ้าจะใช้ ดิฉันจะพยายามใช้ราชาศัพท์ให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
ชีวิตของทูลกระหม่อมบริพัตร และเจ้านายในราชสกุลบริพัตรทุกพระองค์
หลังออกจากแผ่นดินสยามแล้ว ก็ไปอยู่ที่ปีนังอยู่พัก
พลโทประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในคณะราษฎร์
มีข้อความตอนหนึ่งเขียนไว้ถึงพระดำรัสที่สมเด็จกรมพระนครสวรรค์มีรับสั่งกับตน
ที่พระที่นั่งอานันตสมาคมในเช้าวันนั้นว่า…
แกคงจะรู้จัก โรเบสเปียร์ มารา และดันตอง เพื่อนร่วมน้ำสาบานฝรั่งเศสดีแน่
ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีนเฉือนคอกันทีละคน...จำไว้ ฉันสงสารแก ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก
นี่แกเป็นกบฏแม้จะรอดจากอาญาแผ่นดินไม่ถูกตัดหัว แต่แกจะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้….
ซึ่งร้อยโทประยูรผู้ก่อการคนสำคัญที่เขามอบหมายให้มาคอยเฝ้าดูพระองค์กราบทูลตอบว่า
“ทราบเกล้าฯแล้ว ตามประวัติศาสตร์มันต้องเป็นเช่นนั้น อย่างมากแค่ตาย”
ปีนังเป็นที่นิยมของคนไทยเข้ามาเที่ยวกัน ในตอนนั้นมีข่าวลือว่า
มีคนรับจ้างถูกส่งไปเพื่อฆ่าทูลกระหม่อม กอรปกับมีเหตุการณ์บนรถไฟวันหนึ่งความว่า
มีชายฉกรรจ์หน้าตาดุดัน มาจ้องหน้าทูลหม่อมขณะนั่งอยู่บนรถไฟ ในกระเป๋าตุงๆเหมือนมีปืนอยู่
พระองค์หญิงอินทุรัตนาซึ่งนั่งอยู่กับพ่อต้องรีบไปนั่งตัก เพราะกลัวว่าพ่อจะถูกทำร้าย
พอลงสถานีก็รีบแจ้งตำรวจผู้ดูแล ทุกคนรู้เรื่องก็ไม่สบายใจ จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่บันดุง ชวา
ไม่ค่อยมีคนไทยไปเมืองนั้นสักเท่าใดนัก ช่วงแรกๆก็ลำบากหน่อย
ทูลหม่อมมีเงินติดตัวจากแผ่นดินสยามเพียง 9,000 บาท
ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวซึ่งมีสมาชิกหลายคน ช่วงหลังรัฐบาลอนุมัติส่งเงินไปให้บ้าง จึงพออยู่ได้ตามอัตภาพ
จากที่เคยอยู่สุขสบายราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่วังบางขุนพรหมที่โอ่อ่ากว้างใหญ่
ต้องมาอยู่ตำหนักเล็กๆรวมๆกันอยู่ เหมือนกับคนที่ตกจากที่สูงสุด ลงมาอยู่ที่ต่ำสุด
พวกท่านลองนึกภาพดูค่ะ ว่าเจ็บแค่ไหน
ความเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับถูกกรีดด้วยมีดปลายแหลมคม บาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
คงจะไม่มีคำไหนมาบรรยายความรู้สึกเจ็บแสบเหล่านั้นได้
ความทุกข์ใจที่ใครก็มิอาจเข้าถึง เพราะมันอยู่ลึกเกินกว่าที่หมอคนไหนจะรักษาให้หาย
เทิดพระเกียรติทูลกระหม่อมบริพัตร ผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ 7 (ตอนที่ 2)
ดิฉันขออนุญาตงดใช้ราชาศัพท์ตลอดทั้งกระทู้
หรือถ้าจะใช้ ดิฉันจะพยายามใช้ราชาศัพท์ให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
ชีวิตของทูลกระหม่อมบริพัตร และเจ้านายในราชสกุลบริพัตรทุกพระองค์
หลังออกจากแผ่นดินสยามแล้ว ก็ไปอยู่ที่ปีนังอยู่พัก
พลโทประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในคณะราษฎร์
มีข้อความตอนหนึ่งเขียนไว้ถึงพระดำรัสที่สมเด็จกรมพระนครสวรรค์มีรับสั่งกับตน
ที่พระที่นั่งอานันตสมาคมในเช้าวันนั้นว่า…
แกคงจะรู้จัก โรเบสเปียร์ มารา และดันตอง เพื่อนร่วมน้ำสาบานฝรั่งเศสดีแน่
ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีนเฉือนคอกันทีละคน...จำไว้ ฉันสงสารแก ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก
นี่แกเป็นกบฏแม้จะรอดจากอาญาแผ่นดินไม่ถูกตัดหัว แต่แกจะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้….
ซึ่งร้อยโทประยูรผู้ก่อการคนสำคัญที่เขามอบหมายให้มาคอยเฝ้าดูพระองค์กราบทูลตอบว่า
“ทราบเกล้าฯแล้ว ตามประวัติศาสตร์มันต้องเป็นเช่นนั้น อย่างมากแค่ตาย”
ปีนังเป็นที่นิยมของคนไทยเข้ามาเที่ยวกัน ในตอนนั้นมีข่าวลือว่า
มีคนรับจ้างถูกส่งไปเพื่อฆ่าทูลกระหม่อม กอรปกับมีเหตุการณ์บนรถไฟวันหนึ่งความว่า
มีชายฉกรรจ์หน้าตาดุดัน มาจ้องหน้าทูลหม่อมขณะนั่งอยู่บนรถไฟ ในกระเป๋าตุงๆเหมือนมีปืนอยู่
พระองค์หญิงอินทุรัตนาซึ่งนั่งอยู่กับพ่อต้องรีบไปนั่งตัก เพราะกลัวว่าพ่อจะถูกทำร้าย
พอลงสถานีก็รีบแจ้งตำรวจผู้ดูแล ทุกคนรู้เรื่องก็ไม่สบายใจ จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่บันดุง ชวา
ไม่ค่อยมีคนไทยไปเมืองนั้นสักเท่าใดนัก ช่วงแรกๆก็ลำบากหน่อย
ทูลหม่อมมีเงินติดตัวจากแผ่นดินสยามเพียง 9,000 บาท
ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวซึ่งมีสมาชิกหลายคน ช่วงหลังรัฐบาลอนุมัติส่งเงินไปให้บ้าง จึงพออยู่ได้ตามอัตภาพ
จากที่เคยอยู่สุขสบายราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่วังบางขุนพรหมที่โอ่อ่ากว้างใหญ่
ต้องมาอยู่ตำหนักเล็กๆรวมๆกันอยู่ เหมือนกับคนที่ตกจากที่สูงสุด ลงมาอยู่ที่ต่ำสุด
พวกท่านลองนึกภาพดูค่ะ ว่าเจ็บแค่ไหน
ความเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับถูกกรีดด้วยมีดปลายแหลมคม บาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
คงจะไม่มีคำไหนมาบรรยายความรู้สึกเจ็บแสบเหล่านั้นได้
ความทุกข์ใจที่ใครก็มิอาจเข้าถึง เพราะมันอยู่ลึกเกินกว่าที่หมอคนไหนจะรักษาให้หาย